ไรท์มาต่อแล้วค่ะ หลังจากที่ผ่านมาปีกว่า 555555 //หัวเราะแห้ง// ตอนแรกว่าจะไปดูในโรงค่ะ
แต่เดชะบุญเพื่อนเบรกไว้ทัน .........เอ็งอย่าเอาตังค์ที่มีน้อยอยู่แล้วของเอ็งไปเสียให้กับหนังที่เอ็งจะต้องออกมาด่าแน่ๆ
เมื่อรู้ว่ามันไม่คุ้ม........เออ เพื่อนมันช่วยไรท์ไว้จริงๆ ค่ะ ขอบใจมากนะเบาหวิว
เราคิดถึงนายมากๆ เลยนะ T^T เฮ๊ย เดี๊ยววว! มันใช่เรื่องเดียวกันไหมเนี่ยห๊าาา
>{}< //รู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วค่ะ//
555555 ขอประทานอภัยค่ะ M_ _M เพราะงั้นไรท์ก็เลยรอให้แผ่นออกมาค่ะ
แต่ปรากฏว่านานมากกว่าจะได้ดูค่ะ! 5555555
แล้วขอบอกเลยค่ะ แคทนิสและเรื่องราวในภาคนี้ทำไรท์เครียดมากๆ
เลยค่ะ อูยยยยยย ไม่ไหวจะเคลียร์
-_-^ ปวดหัวเลยค่ะ และ...แล้วฟินนิคแมนของไรท์! พ่อคุณใครสูบเอาพลังงานอันล้นเหลือของคุณไปคะ!
-[]-
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย เสียงพากย์เปลี่ยนอ่ะ ไม่ชอบเลยยย
ในภาค 2 หรือ Catching Fire นี่หล่อสุดๆ
แล้วค่ะ เสียงหล่ออออ เอาเสียงนั้นเลย! //เสียงพากย์ก็เกี่ยวด้วย......ไรคท์ยังเอา
5555//
เข้าใจตรงกันนะคะ ว่าเสียงของฟินนิคนั้นหล่อและอบอุ่นอย่างในภาค
2 ที่เค้าได้ประทับจูบกับพีต้านะคะ >///< อร๊ายยยยย! ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเขินค่ะ โอ๊ยยยย
อะไรจะรวดเร็วเหมือนทำไปแบบไม่คิดแบบนี้นะ >////< (หัวใจสั่งมา
อิ้ววววววววววว //แซว//)
และใน SF – The Hunger Games : Mocking jay Part 1 ในเรื่องนี้ของไรท์
ก็เป็นตอนที่ต่อจากเรื่อง [SF – THG] The Impossible –Finnick x Peeta หรือภาคที่แล้วนั่นเองนะคะ^^ ต่อแบบกระชั้นชิด
แต่เวลาที่แต่งนี่ห่างเป็นโยชน์ 5555555
และแอนนี่ที่เป็นตัวถ่วงที่สมควรโดนเขี่ย(?)อีกคนหนึ่ง //ไรท์เป็นไรกับผู้หญิงคะเนี่ย
-*-// ในฟิคของไรท์ นางเป็นแค่น้องสาวของฟินนิคนะคะ //บิดเบือนสุดๆ 555 เอาให้ฟิคของเราสานต่อไปได้
แต่ก็ยังคงดำเนินเนื้อเรื่องในหนังต่อไป และบิดเบือนอีก 555555//
แบบว่านอกจากป้าแม็กซ์ที่ได้ตายไปแล้วนั้น
ฟินนิคก็เหลือแอนนี่ที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเพียงคนเดียวค่ะ
เลยค่อนข้างเป็นห่วงเธอว่าจะตายไหม
แต่ก็แค่จิ๊ดเดียวค่ะ เมื่อเทียบกับพีต้าาา 555555
และข้อพึงบ่งชี้ที่ไรท์คนนี้แนะนำให้รีดๆ ที่เคารพรักทุกท่านพึงปฏิบัตินะคะ.......คือให้ดูหนังเรื่องนี้แค่รอบเดียวค่ะ 555555 ไรท์กะตามเนื้อเรื่องในหนังไปเรื่อยๆ
จนจบล่ะค่ะ
แต่ว่ามันขัดใจไรท์อย่างมากเลยค่ะ! >< รีดๆ อ่านไปแล้วอาจจะ...เฮ้ยย
ตอนนี้มันไม่ใช่หนิ แต่ก็นั่นแหละค่ะ นั่นคือความคิดของไรท์ ที่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นค่ะ
555555 //บ้าไปแล้ว//
แล้วเดี๋ยวค่อยไปสานต่อความฟินในภาคต่อไป ง่อววววววววววว //โดนตบหัว//
-------------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันจันทร์ที่สดใส ผมเดินออกมาจากห้องของตัวเอง
สูดกลิ่นอายของดินและต้นหญ้าที่เขียวชอุ่มยามเช้าที่ถูกเกาะพราวเต็มไปด้วยน้ำค้างนับล้านดูสวยงาม หลังจากที่เมื่อคืนผมค่อนข้างเหนื่อยมาก แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังคงตื่นเช้า
อ่า บรรยากาศในท้องที่ๆ อยู่ในหุบเขาดีมาก ถึงแม้ว่าเราจะติดสงครามอยู่ก็ตาม
ผมก็ยังคงมีอารมณ์มาชื่นชมธรรมชาติรอบตัวในยามเช้า
ใช่ มันค่อยข้างดีหากคุณมีสิ่งเจริญหูเจริญตาให้สภาพจิตใจได้ผ่อนคลายบ้าง
ก่อนที่จะทำตัวเครียดหรือออกไปสู้ตายทั้งวัน
อาา
ผมสูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติเข้าไป
ช่วงเวลาสั้นๆ
ในตอนเช้าของผมมีค่าและไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะเลยเนื่องจากต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง
จนกระทั่ง...........
“ฟินนิค!
ฟินนิค โอ้พระเจ้า.......เธอเอาอีกแล้ว แคทนิสเอาอีกแล้ว เธอจะฆ่าฉัน!” มีเสียงหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทางสนามซึ่งติดกับห้องของผม
หากย้อนไปเมื่ออาทิตย์ก่อนผมคงจะต้องชะโงกหน้าไปมองอย่างตื่นตกใจในเสียงเดือดเนื้อร้อนใจนั้นแน่นอน แต่ตอนนี้แม้ไม่ได้มองผมก็รู้ว่าเสียงที่ตะโกนขอความช่วยเหลือนั้นเป็นเสียงของใคร
............พีต้า............
ผมระบายยิ้มน้อยๆ
ออกมาอย่างเอ็นดูและไม่รู้ตัวเองเลย
ก่อนจะกอดอกน้อยๆ “คราวนี้เธอไปปลุกนายถึงห้องนอนเลยหรือพีต้า”
ผมถามและเกือบหลุดขำออกไป
เมื่อเห็นว่าเค้ายังอยู่ในชุดนอนสีขาวสะอาด.........เด็กหนุ่มหัวยุ่งเหยิงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาผม ปรกติแล้วพีต้าจะอยู่ในชุดที่ดูเตรียมพร้อมจะออกไปทำกิจวัตรมากกว่านี้
แต่เห็นทีว่าวันนี้เค้าคงจะถูกจู่โจมโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวจริงๆ
เสียด้วย
แต่พระเจ้า รู้อะไรไหม เค้าดูน่ารักมากๆ
เลยในตอนที่กางเกงชุดนอนเกือบทำเค้าลื่นล้มต่อหน้าของผม “โอ้ว
ระวังหน่อยพ่อหนุ่มเท้าไฟ”
ผมว่าในตอนที่รับตัวเค้าไว้แล้วพยุงพีต้าให้ยื่นขึ้นได้อย่างมันคงเหมือนเดิม
ผมจงใจใช้คำแทนท่าวิ่งลื่นล้มเหยียบขากางเกงของเค้า
พีต้ามองหน้าผมแล้วไหวไหล่ ก่อนที่ผมจะแววได้ยินเสียงแคทนิส
“โอ้ เธอมาแล้ว” ผมกระซิบ
ก่อนจะหลีกทางให้พีต้าเข้าไปหลบในห้องของผม............เค้ามักจะทำแบบนี้เสมอ
จนผมไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปหาที่ซ่อนให้เค้าแล้ว
เกือบสิบครั้งแล้วในสามอาทิตย์นี้ที่พีต้าโดนแคทนิสไล่ฆ่าออกมาจากห้องเพียงเพราะเธอต้องการจะแก้มือที่แพ้พีต้าในครั้งนั้น
และดูเหมือนเจ้าหนูเบเกอร์รี่ของผมจะไม่อยากเล่นกับเธอด้วยเสียเท่าไรเลย
“แคทนิส เธอเสียสติไปแล้ว”
พีต้าบอกผมในครั้งแรกที่เค้าโดนแคทนิสไล่หวดจนมาถึงห้องของผม
ใช่ พีต้าวิ่งแจ้นมาหาผมทันที เพราะคิดว่าผมจะสามารถช่วยเค้าได้
ซึ่งนั่นมันก็จริง
ผมช่วยเค้าเต็มที่ทุกครั้งที่เค้าต้องการที่ซ่อนหรือความช่วยเหลือ แต่มีเพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่เค้าจะมาหาผมทุกเช้าด้วยเหตุผลของแคทนิสผู้บ้าเลือด
(ใช่ ผมตั้งชื่อและออกความคิดเห็นกับพีต้าว่าอย่างนั้น)
แต่อีกสิบกว่าวันที่เหลือซึ่งปราศจากเหตุหนีตายจาก แคทนิส เอเวอร์ดีน นั้น
พีต้ามาด้วยเหตุผลอื่นที่ผมเองก็คาดไม่ถึง.............
เด็กหนุ่มผู้มากับแสงอาทิตย์ในยามเช้ามักจะมาเพื่อช่วยผมคุยเสมอ และที่สำคัญเค้าคงคิดว่าผมไม่รู้
พีต้าชอบทำเหมือนกับว่าเค้าบังเอิญเดินผ่านมาทางนี้พอดีทุกเช้า และเจอผมกำลังยืนสูดอากาศอยู่ที่สนามหญ้า
ซึ่งบางวันผมก็แอบอ้อยอิ่งรอการปรากฏตัวของเค้า.............
ฮ่ะ
ซึ่งจะว่าไปผมก็ไม่เคยคาดฝันว่าเค้าจะมาหาทุกเช้าเป็นเวลาติดกันหลายสัปดาห์โดยที่ไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแบบนี้หรอก
แต่รู้ไหม ผมชอบนะที่เค้ามาหาผมทุกเช้า
และให้ผมได้มีโอกาสเห็นหน้าเค้าถึงแม้ว่าบางวันผมจะไม่มีเวลาว่าง แอบย่องไปมองเค้าอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ
ก็ตาม
.............ต้องขอบคุณพีต้าไปเรื่องนั้น..............
ผมอมยิ้มกับตัวเอง
ผมบล์อนหยักศกของผมไม่เป็นระเบียบยิ่งขึ้นเมื่อเพิ่งตื่นนอน
ก่อนผมจะหันหลังไปมองพีต้าที่ซ่อนตัวอยู่ที่ใต้เตียงของผม ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีเดียวกัน
แต่ทว่าสวยงามกว่าผมอย่างน่าหลงใหลมุดโผล่ออกมาจากผ้าปูเตียงกับกองผ้าห่มที่ร่นลงมาเหมือนกองผ้าล้นตะกร้าที่ยังไม่ได้ซัก
“อย่าบอกเธอนะ” พีต้าขยับปาก
ทำหน้าตาเหมือนมันเป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องปิดเป็นความลับระดับหก ผมหลุดหัวเราะท่าทางเหมือนเด็กๆ ของเค้า
ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
แววเสียงเดินตึงตังของแคทนิสมาแล้ว
พีต้าจึงมุดหัวกลับเข้าไป ทำราวกับว่าเค้าไม่เคยอยู่ตรงนั้น
ก่อนผมจะเอี่ยวตัวกลับมาไพ่มือไว้ด้านหลังแล้วทำท่าสูดอากาศอันบริสุทธิ์ดั่งเดิม ไม่
พีต้าไม่เคยมาที่นี่...........ผมเก็บยิ้มของตัวเองไว้ในตอนที่แคทนิสเดินผมสยาย กำหมัดแน่น
ริมฝีปากบางของเธอเม้มเข้าหากันแล้วเผยออ้าพูดกับผม ทั้งๆ
ที่ยังไม่ทันได้หยุดเดินเสียด้วยซ้ำ
“พีต้าอยู่ที่ไหน!” เธอดูพร้อมรบ ผมแอบคิดสงสัยอยู่ในใจ
เมื่อคืนเธอใส่ชุดนี้นอนด้วยรึเปล่า
แต่ให้ตาย เรื่องคิดนอกประเด็นยังไม่ใช่ตอนนี้
ผมทำตาปรือหันมามองแคทนิสแล้วทำท่าหาวใส่เธอช้าๆ
ผมเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ห่ะ
เอ่อ......ม่ายอ่ะ เช้านี้ฉันยังไม่เห็นเค้าเลย ฉันเพิ่งตื่นแล้วลุกจากเตียงเมื่อกี้นี้เอง”
ผมยืนตัวตรงแต่ก็ผ่อนคลายเล็กน้อย
ทำตัวให้เป็นธรรมชาติ เธอจะได้จับผิดผมไม่ได้.............ก็แคทนิสไม่เคยจับได้สักครั้งเลยนี่นา
“เค้าอยู่ไหน!” เธอตะคอกอีก
ริมฝีปากที่ดูบางของเธอเกือบจะหายไปเลยเมื่อเธอพูดไปด้วยเม้มมันไปด้วย
ผมยักไหล่ก่อนจะกลอกตาขึ้นฟ้า
“แคทนิสฟังนะ เธอมาที่นี่ เอ่อ.....สิบครั้งได้แล้วมั้ง มาถามหาพีต้า ซึ่งฉันก็บอกเธอไปทุกครั้งแล้วว่าเค้าไม่อยู่
ถ้าเค้าอยู่จริงฉันก็คงจะไม่เสี่ยงโกหกเธอหรอกว่าไหม?
และเธอไม่คิดว่าฉันจะเบื่อที่จะต้องโกหกให้เค้าจนเกือบสิบครั้งเลยอย่างงั้นหรือ”
ผมผายมือ และพูดเหมือนผมกลัวเธอใจแทบขาด
แคทนิสเหลือกตาใส่ผม
ดูผิดหวังและไม่ชอบใจที่พีต้าไม่อยู่ที่นี่
คล้ายๆ ว่าเธอเหนื่อยแล้วกับการตามหาเค้าที่ซึ่งอยู่ๆ ก็ไร้ร่องรอย ลมหายใจของเธอพรูออกมาอย่างแรงจนผมได้ยิน ก่อนจะกระแทกเท้าตึงตังเดินจากสวนปลีกวิเวกน้อยๆ
ของผมไป และทิ้งรอยย้ำไว้บนสนามของผมด้วย
พระเจ้า
ผมเกาหลังหูในขณะที่เริ่มผิวปาก แล้วพีต้าก็โผล่หัวออกมาจากใต้เตียง
ก่อนจะกลิ้งตัวออกมา
ผมชะโงกหน้าไปมองทิศทางที่แคทนิสเพิ่งจากไป
เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่กลับมาอีกแล้วหันกลับมาหาพีต้าอีกครั้ง
ผมพยุงเค้าไว้และเห็นท่าทางสะดุ้งเนื้อสะดุ้งตัวน้อยๆ นั่นใส่ผม ดวงตาในยามนี้ของเค้าส่องประกายราวกับดวงดาวเช่นเดียวกับเวลาอื่นๆ
ที่ผมได้สบตากับเค้า
“นายโอเคนะ?” ผมถาม
“ไม่” พีต้าปัดตัว
“เธอเป็นบ้าอะไร....ทุกเช้า
เกือบทุกเช้าเธอจะต้องมาบุกห้องฉันแล้วก็จ้องจะฆ่าฉันด้วยนะ บางทีนายอาจไม่รู้....เธอทำฉันนอนไม่หลับเลย
ผับผ่าสิ”
ผมกอดอกแล้วยิ้มขณะมองเค้า “อ๋อ
ฉันพอจะเดาออก” ก่อนจะยิ้มขึ้นมาอีก “เฮ้
ฉันน่าจะใส่ชุดนอนแบบนายบ้างนะ” ผมว่าหยอก
แต่พีต้ากลับทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้และกลายเป็นว่าอยากจะถอดมันออกไปต่อหน้าผมเสียอย่างนั้น
ผมเห็นพีต้ากระพริบตาไปมา
เลี่ยงการสบตาของผม
สองมือที่อบขนมปังได้อร่อยอย่างเหลือเชื่อของเค้าขย้ำเข้าที่ชายเสื้อนอนสีขาวตัวยาวเลยเข่าของตัวเอง
“มันไม่ใช่ชุดคนป่วยนะ” พีต้าว่า.......เฮ้ ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม เค้าดูร้อนตัว
“เฮ้ ฉันยังไม่ว่าอะไรสักหน่อย
แค่...มันดูอุ่นดีนะ นายต้องใส่กางเกงขายาวด้วยอย่างนั้นหรือ” ผมหลุดปากถามไป เค้าไม่ตอบแต่แทบบิดตัวหนีหน้าผม
นั่นทำให้ผมต้องกัดปากตัวเองไม่ให้ยิ้มในตอนที่เค้ามองไม่เห็น...........แต่เชื่อเถอะ สาบานต่อพระเจ้าก็ได้ ผมไม่เคยดูถูกพีต้าเลย ผมหลงรักทุกอย่างที่เป็นเค้า และชื่นชอบ
เอ็นดูทุกสิ่งที่เค้าทำ
เค้าดู.......บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาเสียยิ่งกว่าไร้เดียงสา
ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนบทสนทนาใหม่
“นายว่างไหมบ่ายนี้?” ผมเอ่ยถามออกไป
งอตัวเล็กน้อยเพื่อทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น
และพีต้าก็หันมามองหน้าผมอย่างรวดเร็วก่อนจะมุ้ยปากขึ้นทำท่าครุ่นคิด
“อืมม ไม่รู้สิ....ก็ถ้าแคทนิสตอนอารมณ์บูดไม่บังเอิญมาเจอฉันซะก่อนน่ะนะ”
พีต้ายังคงไม่เลิกกำชุดนอน “ฉันน่าจะว่าง” เค้ายิ้มน้อยๆ ใส่ผม
ดังนั้นผมจึงปล่อยยิ้มทั้งหมดที่กลั้นไว้ออกมา
โดยที่พีต้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าผมยิ้มให้เค้ามาโดยตลอด
“โอเค”
ผมรับเป็นคำยืนยันสุดท้าย
เพราะถ้าหากเรานัดกันไว้แล้ว
ผมจะเป็นคนไปหาพีต้าเสมอไม่ว่าเค้าอยู่ที่ไหนก็ตาม
พีต้ากำลังจะเดินออกไปในตอนที่ผมก้มหน้ามองพื้นแก้เก้ออยู่.....ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่ายังมีความรู้สึกพวกนี้อยู่อีกหรือ
ก่อนเด็กหนุ่มเบเกอร์รี่จะหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“เฮ้นี่ ฉันยังไม่ได้คำตอบเรื่องนั้นเลยนะ”
ผมว่าเสียงของพีต้าดูสูงขึ้นเล็กน้อย และเห็นเค้าขยับห่างจากผมไปเล็กน้อย ผมเลิกคิ้ว
พีต้าไหวไหล่ผายมือน้อยๆ เป็นเชิงเอ่ยถึงเรื่องนั้น แล้วผมก็นึกขึ้นได้ ก่อนจะพยักหน้าใส่เค้า
“อ๋อ ใช่
เรื่องนั้นเอง”
.............พีต้ายังไม่ได้รับคำตอบในเรื่องฮิปโปกริฟของผม ผมได้ให้เค้าดูรูปจากหนังสือของผมแล้ว เค้าดูตื่นตามากกับหนังสือของผม ก็คงงั้น เพราะเค้าบอกว่ากระดาษในเขต 12
ค่อนข้างหายาก
ผมบอกว่าฮิปโปกริฟเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนบางสิ่งได้อย่างมีความหมาย พีต้าถามว่ามันคืออะไร
แต่ผมไม่ตอบเค้าเพราะว่าเวลาของเราในวันนั้นหมดลงแล้ว
ผมต้องไปลาดตระเวน
ดังนั้นผมเลยสัญญากับเค้าว่าจะบอกที่เหลือให้ฟังในครั้งต่อไปที่เรานัดเจอกัน
............ซึ่งอันที่จริงผมสามารถบอกเค้าตั้งแต่เช้าวันต่อมาที่เราเจอกันก็ได้ แต่ว่ามันเป็นการดีสำหรับผมเสมอที่จะหาข้ออ้างเพื่อที่จะให้ได้เจอเค้าบ่อยๆ
.............
แต่ตอนนี้พีต้าคงอยากจะไปเปลี่ยนชุดแล้ว
ผมคิด
“อ่อ แล้วอีกอย่าง” เค้าชี้มาที่ผม
“นายน่าจะหัดใส่เสื้อนอน หรือหลังตื่นนอนซะบ้างนะ” ก่อนจะหันหน้าหนี
แล้วเดินจากห้องผมไป
ห่ะ เค้าบอกว่าอะไรนะ.........
ไม่เอาน่า ผมต่างหากที่ต้องบอกว่าเค้าใส่ชุดนอนประหลาดน่ะ
(อุ อย่าไปบอกเค้าว่าผมพูดงั้นนะ) ผมคลำหน้าอกเปลือยเปล่าของตัวเอง
และไม่นานก็ต้องระบายยิ้มให้กับพีต้าที่เขินอายใส่อย่างไม่มีเหตุผลเมื่อผมไม่ได้ใส่เสื้อ.........ผมเดินเข้าห้องน้ำไปพลางยิ้มแล้วส่ายหัวน้อยๆ
รู้ไหมพีต้าไม่เคยพลาดนัดของผมเลยสักครั้งเดียว ถึงแม้เค้าจะบอกว่า “อาจจะ” แต่ในใจเค้าจะบอกว่า
“ว่าง” ด้วยสายตาที่แสนกระตือรือร้นคู่นั้นเสมอ
ผมหลับตาในตอนที่สายน้ำรินรดตัวผมในขณะที่ผมเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้................
เฮ้ นี่เค้าโชคดีนะที่พักนี้ผมใส่กางเกงนอนน่ะ
***********************************************************************************
“โอแดร์.....คุณโอแดร์.....เอ่อ
ขอโทษนะคุณโอแดร์ เธอฟังเราอยู่รึเปล่า”
“เอ่อ...ครับผม” ผมเลิกเอานิ้ววางบนร่องใต้จมูกในตอนที่เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเจาะจงอยู่ข้างหูผม
“ผมมีสมาธิอยู่” ผมบอกหญิงแก่ข้างๆ ที่ฉุดผมออกมาจากภวังค์ของตัวเอง ก่อนคนอื่นๆ
ในโต๊ะประชุมจะหันกลับมาหารือกันต่อ
“เรากำลังพูดถึงเรื่องของเขต 13
ที่มีกองกำลังหลักของเราอยู่ที่นั่น” พลูตาร์ชพูด
แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดถึงตอนที่พีต้าอบขนมให้ผมอยู่ เค้ายังคงพูดต่อไปและผมก็เริ่มตั้งใจฟัง หญิงสูงอายุที่สะกิดโสตประสาทเรียกผมคอยอธิบายเพิ่มเติมจากเค้า
บอกตามตรง
เมื่อไม่นานมานี้ผมนึกว่าเขต 13 ถูกระเบิดจนไม่เหลือซากและไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ไปเสียแล้ว
แต่ตอนนี้หลายสิ่งก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าผมคิดผิดถนัดไปเลยเรื่องเขต 13
.............ที่นั่นยังคงมีคนอาศัยอยู่ และยังเป็นกองกำลังสำคัญของเราอีกด้วย
ผมว่างั้นน่ะนะ
พลูตาร์ชยังคงยืนอยู่เพื่อพูดประโยคสุดท้าย
ในขณะที่เลขานิรนามของเค้านั่งลงแล้ว
ชายอ้วนผมขาวหันหน้ามาทางโต๊ะประชุมที่มีสมาชิกร่วมอยู่ไม่มากนัก
“ทุกท่าน ไม่นานเราจะย้ายไปสมบทกับกองกำลังในฐานลับของเขต
13”
“ไปเหรอ?” ผมทวนถาม
ยืดตัวตรงหลังจากเอนหลังพิงเก้าอี้จนมันเอนไปด้านหลังมาตลอดการประชุม.........เขต
13 จากแผนที่ทางภูมิศาสตร์ที่เรามีคือราบเรียบ ไม่มีวี่แววของการอยู่อาศัย
ซึ่งนั่นก็บ่งชี้ชัดเจนแล้วว่าคนที่จะสามารถอ้างตัวว่าอยู่ที่นั่นได้
จะต้องไม่ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เหล่านั้นแน่นอน........พวกเค้าคงจะใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกับตัวตุ่นใต้ดินไปแล้วแหงๆ
ผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าคนในเขต 13
จะต้องแอบซ่องสุมกำลังอยู่ใต้ดิน หากจะรอดพ้นหูตาของแคปปิตอลไปได้ แต่ที่ผมถามน้ำเสียงท้วงติงออกไปนั้น
ก็เพราะว่าเราจะต้องลงไปอุดอู้อยู่กับพวกเค้าอย่างงั้นหรือ
พีต้าคงจะอึดอัดแย่...........เค้าชอบดูพระอาทิตย์ตกบนลาดไหล่ของภูเขา
และออกเดินไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ผมจะอนุญาต........ผมไม่สบายใจแทนเค้าเอาเสียเลย
“ใช่ เราต้องไป
หลายสัปดาห์มานี้เราถูกแคปปิตอลบุกบ่อยมากเกินไป
จนเกรงว่าเราจะโดนหาตำแหน่งเจอในที่สุด.....เราจะเสี่ยงต่อไปไม่ได้”
พลูตาร์ชท้าวโต๊ะ พูดเป็นการเป็นงานกับผม
ทำราวกับว่าผมไม่ใช่คนแรกๆ
ที่เป็นกำลังสำคัญในการกีดกันพวกมันออกไปให้พ้นจากอาณาบริเวณโดยรอบของเรา
“แล้วพลเรือนคนอื่นๆ
ที่อยู่กับเราล่ะครับ” ผมถามออกไปอีก
แต่ครั้งนี้เฮย์มิชที่ซบหน้าลงกับโต๊ะประชุมตอบแทนพลูตาร์ช
“ก็ไปด้วยไง จะทิ้งไว้ทำซากอะไรที่นี่ล่ะ
ปล่อยเอาไว้ให้พวกแคปปิตอลฆ่าทิ้งเล่นๆ หรือไงเล่าเจ้าหนุ่ม”
เฮย์มิชพูดเป็นประโยคแรก และดูเค้าไม่ได้เมาน้อยลงเลยหลังจากที่หลับไปเมื่อครู่นี้
เฮย์มิชดูพูดจาหาเรื่อง
แต่ผมก็ไม่ถือสาเค้าเพราะมันเป็นนิสัยถาวรยามติดสุราของเค้าไปเสียแล้ว
ผมยักไหล่ให้เฮย์มิช “ก็ถามดูไม่เสียหายหนิ” เฮย์มิชยิ้มเมาๆ ให้ผม
เค้าเป็นคนที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าหากไม่เมาบ่อยๆ น่ะนะ กระทั่งพลูตาร์ชกระแอ้มไอน้อยๆ
หนึ่งทีแล้วกล่าวสรุปปิดการระชุม
“เอาล่ะ ทุกท่าน สุดสัปดาห์นี้เราจะเริ่มเคลื่อนย้ายกองกำลังอย่างเงียบเชียบที่สุด
โดยที่ไม่ให้พวกแคปปิตอลรับรู้ความเคลื่อนไหวและจุดหมายของเราได้.....”
ผมและพวกคนอื่นๆ พยักหน้ารับไม่เว้นแม้แต่เฮย์มิชที่เพิ่งตื่นนอน
“......ขอบคุณทุกท่าน ปิดการประชุมได้”
เรากำลังจะออกไปจากเขตอพยพในเวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์นี้...............
ทุกคนเดินออกจากห้องประชุมไปอย่างรวดเร็ว ผมเดินรั้งท้ายและคิดเรื่อยเปื่อยอย่างอ้อยอิ่งรอการทยอยเดินออกไปจากประตูแคบๆ
นั่น
ผมนึกเสียดายตึกอาคารและทัศนียภาพที่เรามีในตอนนี้
ถ้าถามผมแล้วที่นี่มันเป็นเขตอพยพซ่องสุมกำลังของกบฏที่ใช้ได้เลย ใช่
มันให้ความรู้แบบนั้น ก่อนที่เรากำลังจะได้เข้าไปอยู่ในที่รูหนู
ซึ่งให้ความรู้สึกปลอดภัยอันน่าหดหู่
ผมควรบอกเรื่องนี้กับพีต้าด้วย เพราะเค้าคงจะรู้สึกเสียดายไม่น้อย
ที่ไม่ได้สัมผัสสายลมเย็นๆ ที่เข้ามาปะทะใบหน้าเมื่อยามออกวิ่งอีกแล้ว ผมเดินไปตามเรื่อยๆ จนกระทั่งพบเด็กหนุ่มที่กำลังคิดถึง
อยู่กับหัวหน้าหน่วยพลเรือน.......ผมบอกแล้วว่าผมรู้เสมอว่าเค้าอยู่ที่ไหน
ผมยิ้มทักทายเค้าอย่างสดชื่น
ในตอนที่บุคคลซึ่งกำลังคุยอยู่กับหนุ่มเบเกอร์รี่หมดธุระไปพอดี พีต้าหันมายิ้มตอบน้อยๆ กับผม มือทั้งสองข้างของเค้าแอบอยู่ด้านหลัง
แต่ผมไม่ได้สนใจ
“ไง” ผมเอ่ยคำทักทายง่ายๆ
กับพีต้า เค้ายังคงยิ้มเปล่งประกายให้ผม
“ประชุมเป็นไงบ้าง?”
เค้าถามผมกลับมาแทนคำทักทายที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่ผมจะเก็บทุกอย่างเอาไว้พูดในตอนที่เราอยู่กันสองคนเสมอ
“พลูตาร์ชพูดมาก
ส่วนเฮย์มิชก็เมาเหมือนเดิมน่ะ.......แต่มันก็มีเรื่องสำคัญมากๆ อยู่เหมือนกัน”
ผมกล่าวออกไป
และทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าของผมหลุดขำออกมาเมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่น่าพูดถึงในการประชุม
แต่แล้วสีหน้าของผมก็เผยออกมาทำให้พีต้าจับสังเกตได้ในส่วนท้ายของประโยค......ผมเผลอทำให้เค้ารู้แล้วว่าการประชุมครั้งนี้ไม่ใคร่มีเรื่องน่ายินดีนัก
พีต้ามองหน้าผม ก่อนรอยยิ้มน้อยๆ
ที่ผมชื่นชอบจะเหือดหายไป
พีต้าช้อนสายตามองผมอย่างเห็นใจเล็กน้อยแล้วอุทาน “โอ้
นั่นคงจะแย่มากเลยสินะ” เด็กหนุ่มว่าเสียงไม่ดังมาก
ทำให้ผมนึกโทษตัวเองที่ทำให้เค้ารู้สึกกังวล
.............บ้าจริง
ไปทำให้พีต้ารู้สึกหดหู่แบบนั้นได้ยังไงกัน แค่สถานการณ์อพยพในตอนนี้ของเราก็พาให้ยิ้มไม่ออกไปมากโขอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงแค่ไหน
แต่คนที่ผมอยากให้รู้เรื่องพวกนั้นเป็นคนสุดท้ายมากที่สุด
ก็คือพีต้า..............
ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนสีหน้าซะ
ก่อนจะปั้นยิ้มใหม่แล้วเปลี่ยนประเด็น “แต่ดูๆ แล้วนายคงจะยุ่งอยู่สินะ” ผมว่า
กล่าวออกไป
เมื่อนี่ก็จวนจะถึงเวลาบ่ายที่ผมได้เอ่ยนัดเค้าไว้แล้ว
แต่จู่ๆ
พีต้าก็สะบัดหน้ารัวใส่ผมอย่างรวดเร็ว
ไม่ปล่อยให้ผมได้พูดอะไรต่อ
พร้อมทั้งยกไหล่ไปด้วยในตอนที่พูดกับผม
ราวกับเค้าเกรงว่าผมจะด่วนสรุปไปว่า นัดบ่ายนี้ของเราเป็นอันต้องยกเลิกไป
“เอ่อไม่ ไม่
ไม่หรอก ฉันว่างนะ....จริงๆ ถ้านายเองก็ว่าง”
เค้าดูรีบร้อนจนเกินเหตุ
ผมมองดูท่าทางที่เหมือนเด็กกลัวเสียคำสัญญาของเค้าอย่างนึกเอ็นดู
และรู้ว่าพีต้ามักจะซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเสมอ.........เค้าว่าง
สามารถมาพบผมได้ และยอมรับ
ผมเองก็ดีใจที่เค้าว่าง ผมยิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ
บอกกล่าวกับเด็กหนุ่ม ก่อนจะไปหารือกับฝ่ายลาดตระเวนในอีกห้านาทีต่อจากนี้
“งั้นฉันคงเสียใจที่จะต้องบอกนายว่า
เราอาจจะเจอกันตอนบ่ายนี้ไม่ได้แล้วนะ
บ่ายนี้ฉันมีเรื่องต้องคุยกับหัวหน้าหลายฝ่ายน่ะ ซึ่ง....เอ่อ
มันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายที่ไม่สามารถเลี่ยงได้เลยน่ะ แต่เรานัดกันไว้แล้ว
เพราะงั้นฉันคิดว่าเย็นนี้คงเหมาะถ้านายยังสะดวกอยู่” ผมว่า
ดูยาวยืดแต่นั่นก็เป็นเพราะผมต้องการบอกปัดพร้อมกับรักษาความตั้งใจของพีต้าเอาไว้ด้วย........ผมเป็นคนเอ่ยนัดเค้าเองแท้ๆ
ผมไม่ควรที่จะทำเหมือนมันไม่มีค่า
แต่การเลื่อนเวลานั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอบใจที่พอใช้ได้ที่สุดแล้ว
พีต้าตอบตกลงในทันทีและดูโล่งใจที่ผมไม่ยกเลิกนัดของเราไป
“เยี่ยม
นายคงมีเวลาวิ่งหนีแคทนิสอีกหน่อยกว่าจะได้เจอฉันอีกในตอนเย็น” ผมว่าหยอก
ก่อนจะโดนหนุ่มเบเกอร์รี่กลอกตาใส่อย่างดูแง่งอน......นั่นไง
ผมชอบคิดไปเองฝ่ายเดียวอีกแล้ว
ผมชอบคิดเสมอว่าเค้าทำตัวเหมือนน้องชายที่ชอบเรียกร้องความสนใจจากผม
............แต่ผมคงทำใจลำบากหน่อย
ถ้ามีน้องชายอย่างพีต้า
เพราะผมไม่สามารถหยุดคิดเรื่องแบบนั้นกับเค้าได้เลยสักครั้งหนึ่ง
หลังจากคืนนั้นที่ผมดันปล่อยให้ตัวเอง.....เอ่อ
อย่าให้ผมพูดต่อเลยดีกว่านะ...........
มันเป็นความลับที่ในเวลานี้ผมจะไม่มีวันบอกใครเด็ดขาด แม้แต่ตัวพีต้าเอง ถ้าเค้ารู้ผมมีหวังจะต้องแย่แน่ๆ
ความเป็นเพื่อนของเราและความใกล้ชิดที่ผมได้จะไม่มีอีกแล้ว แต่แล้วเมื่อไรล่ะที่ผมจะหมดความอดทน
เผลอบอกเค้าไปว่าผมชอบรอยยิ้มและความร่าเริงเจิดจรัสดุจแสงตะวันของเค้ากขนาดไหน
.............นั่นคงอีกไม่นานหรอก หลังจากที่เราโค่นล้มสโนว์ได้
หนึ่งในสิ่งที่ผมอยากทำให้ได้ก่อนตายก็คือบอกให้เค้ารู้ว่าผมนั้นคิดเช่นไร ผมไม่สนหรอกว่าจะถูกมองว่าอะไร แต่ตอนนี้เรื่องกำลังเข้าขั้นวิกฤตเป็นอย่างมาก
เราทุกคนมีเรื่องคิดให้ปวดหัวอยู่แล้วในตอนนี้
ผมจึงต้องเก็บความลับนี้ไว้ก่อน
และไม่บอกใคร............
ผมยิ้มให้พีต้าในตอนที่เค้าเผยอริมฝีปากบางๆ
นั่นออกมา “นายคงมีเรื่องที่ต้องไปทำสินะ” เค้าพูด
พีต้ารู้เสมอว่าเวลาว่างของผมจะเป็นของเค้า
ยกเว้นเสียแต่ตอนที่มีงานเจรจาประสานงานจ่อก้นผมอยู่
“โอ้ เอ่อ...ใช่”
ผมชอบที่เห็นว่าพีต้ารู้ใจผม
แต่แล้วกลับเป็นเด็กหนุ่มผมทองผู้ที่มีรอยยิ้มเนียมอายที่น่ามองที่สุดเสียเอง
ที่จำต้องปลีกตัวออกไปเสียก่อน
“พีต้า! เฮ้ มีคนอยากคุยกับนายแหนะ ทำไมถึงออกมาล่ะ
ตอนนี้เค้านั่งรอนายอยู่นะรู้ตัวไหม รีบไปเร็วเข้า”
พีต้าสะดุ้งตัวเล็กน้อย “โอ้
จริงสิ ฉันแอบออกมานี่นา......โอเค
ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” ผมได้ยินเค้าพึมพำกับตัวเองก่อนจะตะโกนกลับไปยังเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่เดินสวนมาแต่ห่างออกไป
ชายคนนั้นมีงานอยู่ในมือและดูใจดีที่อุตส่าห์มาเตือนพีต้า
“หึ นายต้องไปแล้วสินะ
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฉันแค่คนเดียวที่มีงานรัดตัวนะ”
ผมยิ้มอย่างมีอารมณ์ขัน ถึงแม้งานจะมีเยอะแค่ไหนแต่การเจอหน้าพีต้าทำให้ผมมีความสุขได้เสมอ
“ใช่ ฉันต้องไปแล้ว
ฝากนี้ไว้ที....” พีต้าทำหน้าตาตื่นเพราะกำลังจะโดนบ่น
ก่อนจะยื่นบางอย่างให้ผม ผมรับมันไว้
รู้สึกฉงนเล็กน้อยกับสิ่งที่ขยุกขยุยอยู่ในฝ่ามือ
ผมมองหน้าพีต้าและเค้าก็เอ่ยเฉลยคำ
“......มันเป็นเชือกผูกถุงแป้งของแม่ฉันน่ะ แม่มักชอบใช้มันเสมอ
ฉันเอามันติดตัวมาด้วยจนเมื่อพักที่แล้วแม่ครัวในโรงครัวเพิ่งเอามาให้ฉันเพราะลืมมันไว้ในครัวน่ะ”
พีต้ายักไหล่เขินๆ เค้าคงจะใช้มันผูกถุงแป้งแล้วลืมมันทิ้งไว้ที่ห้องครัวแหงๆ เลย..........หนุ่มเบเกอร์รี่ที่ขี้ลืมของผม
“โอ้ ดีนะที่นายได้มันคืน”
“ขอบใจ....ฝากไว้ก่อนนะ อย่าทำหายล่ะนั่นของแม่ฉัน” ฉันรู้แล้ว ผมพยักหน้ายิ้มๆ
ให้เค้าก่อนพีต้าจะโบกมือลาแล้ววิ่งออกไปอีกทางหนึ่ง
.............ผมนึกสงสัยในใจกับตัวเอง แม่ของพีต้าไม่มีของอะไรเอาไว้ให้ดูต่างหน้ามากถึงขนาดนั้นเลยหรือ.............
เชือกผูกถุงแป้งที่ดูแข็งแรง
แต่ทว่าก็เก่าจนรู้ถึงอายุการใช้งานนี้.........ผมมองสิ่งที่วางพาดอยู่บนฝ่ามือของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะเข้าใจว่าพีต้าเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมากแค่ไหน ดังนั้นการที่ใช้เชือกเส้นนี้ที่แม่ของเค้าใช้มันในชีวิตประจำวันบ่อยๆ
ก็คงจะทำให้พีต้ารู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ๆ แม่ก็เป็นได้
บางครั้งผมเคยเห็นพีต้ากำเชือกเก่าๆ
เส้นนี้ไว้แน่นแล้วยิ้มบางๆ ออกมาราวกับมีแม่นั่งกอดไหล่เค้าอยู่ข้างๆ
ด้วย..........รอยยิ้มของพีต้าถูกสาดกระทบด้วยแสงอาทิตย์
เส้นไหมสีทองของเค้าส่องประกายแข่งกับแสงตะวัน
และผมจำได้ว่าผมไม่สามารถละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
..........พีต้าคงคิดถึงแม่มาก..........
และผมเองก็รักเค้ามากด้วยเช่นกัน
คงจะ....คิดถึงเค้ามากถ้าสักวันหนึ่งพีต้าหายไปหรือผมต้องห่างเค้า เรื่องนั้นผมไม่อยากจะคิดถึงเลย
และไม่คิดว่ามันจะมีวันเกิดขึ้นด้วย.............
ผมละสายตามาจากฝ่ามือของตัวเอง มองไปทางที่พีต้าวิ่งเหยาะๆ หายออกไป
ก่อนผมจะกำเชือกนั้นไว้แน่นอย่างทะนุถนอมแล้วมุ่งหน้าไปยังกองลาดตระเวนเพื่อเริ่มหารือเป็นรอบแรกของบ่ายนี้
.
.
.
TBC.
------------------------------------------------------------------------------------------------
อ๊ากกก นี่คือ Part แรกค่ะ.....ยังไม่มีอะไร
ฮาาาาา แต่งเสร็จ พิสูจน์อักษรเสร็จไรท์เอาหัวโขกกับโต๊ะเลยค่ะ
โป๊ก! //เอฟเฟ็คประกอบ//.............นี่คืออัลไล!?
มันจะต้องเป็นภาคที่เครียดที่สุดในเรื่องแน่ๆ เลยค่ะ //เปล่า...แกเครียดมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว -*-// แคทนิสทำไรท์อยากเปลี่ยนนางเอกเป็นพีต้าเลยค่ะ
5555555 (อ้าว) ให้ฟินนิคขึ้นแท่นเป็นพระเอกเต็มตัวแล้วเปลี่ยนโครงเรื่องใหม่เป็นหนังวายสุดร้อนแรงและแสนตื่นเต้น
(?) //สักพักโดน ซูซาน คอลลินส์ ตบหัว//
.............อูย แต่ถ้าได้คงฟินไม่ใช่น้อยเลย ว่าไหมคะ? >///<
เอาละคะ ฟิคเรื่องนี้กำลังจะหมุนวนเข้าสู่เค้าโครงเรื่องตามหนังแล้วนะคะ มาร่วมติดตามกันค่ะว่าจู่ๆ การลี้ภัยอันปลอดภัยของเหล่ากบฏแห่งพาเน็มจะผันแปรไปเป็นการซ่อนตัวอันแสนหดหู่ได้อย่างไร และพีต้าล่ะจะลงเอ่ยเช่นไร เค้าจะเป็นเช่นในหนังหรือไม่
ร่วมติดตามกันใน SF – The Hunger Games เรื่องนี้เลยค่ะ และแปะเฟส เพื่อเอาไว้ไปร่วมพูดคุยกับไรท์ได้ค่ะ ที่ >>แฟนฟิคฮอลลีวู้ด<< ขอบคุณสำหรับการติดตาม
และรักรีดทุกท่านมากๆ เลยค่ะ ><
ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund
1 ความคิดเห็น:
โอ้ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านซะทีค่ะ... ชอบตอนที่ฟินนิคนึกขึ้นได้ในห้องน้ำ ว่าเขาโชคดีนะที่ช่วงนี้ผมใส่กางเกงนอน เฮ้ยยยไรท์ชอบมุขนี้ค่ะ เฮ้ออ่านฟิคนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นจริงๆค่ะ คิดภาพฟินนิคพีต้าออกเลย เท่าที่ดูแล้วนี่มีไรท์คนเดียวละมั้งค่ะที่แต่งคู่นี้ซึ่งขอบคุณมากๆค่ะเพราะหาอ่านยากจริงๆเลยเชียว แต่งต่อไปเรื่อยๆนะคะ รักค่ะ //ปาหัวใจใส่ไรท์
แสดงความคิดเห็น