วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[SF - THG] + [Part 1] The Miracle...ขอปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแก่เรา - Finnick x Peeta



ไรท์มาต่อแล้วค่ะ หลังจากที่ผ่านมาปีกว่า 555555 //หัวเราะแห้ง//  ตอนแรกว่าจะไปดูในโรงค่ะ แต่เดชะบุญเพื่อนเบรกไว้ทัน .........เอ็งอย่าเอาตังค์ที่มีน้อยอยู่แล้วของเอ็งไปเสียให้กับหนังที่เอ็งจะต้องออกมาด่าแน่ๆ เมื่อรู้ว่ามันไม่คุ้ม........เออ เพื่อนมันช่วยไรท์ไว้จริงๆ ค่ะ ขอบใจมากนะเบาหวิว เราคิดถึงนายมากๆ เลยนะ T^T  เฮ๊ย เดี๊ยววว! มันใช่เรื่องเดียวกันไหมเนี่ยห๊าาา >{}< //รู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วค่ะ//

555555 ขอประทานอภัยค่ะ M_ _M เพราะงั้นไรท์ก็เลยรอให้แผ่นออกมาค่ะ แต่ปรากฏว่านานมากกว่าจะได้ดูค่ะ! 5555555  แล้วขอบอกเลยค่ะ แคทนิสและเรื่องราวในภาคนี้ทำไรท์เครียดมากๆ เลยค่ะ  อูยยยยยย ไม่ไหวจะเคลียร์ -_-^  ปวดหัวเลยค่ะ  และ...แล้วฟินนิคแมนของไรท์พ่อคุณใครสูบเอาพลังงานอันล้นเหลือของคุณไปคะ! -[]-

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย  เสียงพากย์เปลี่ยนอ่ะ  ไม่ชอบเลยยย  ในภาค 2 หรือ Catching Fire นี่หล่อสุดๆ แล้วค่ะ  เสียงหล่ออออ  เอาเสียงนั้นเลย//เสียงพากย์ก็เกี่ยวด้วย......ไรคท์ยังเอา 5555//

เข้าใจตรงกันนะคะ  ว่าเสียงของฟินนิคนั้นหล่อและอบอุ่นอย่างในภาค 2 ที่เค้าได้ประทับจูบกับพีต้านะคะ >///<  อร๊ายยยยย! ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเขินค่ะ  โอ๊ยยยย อะไรจะรวดเร็วเหมือนทำไปแบบไม่คิดแบบนี้นะ >////< (หัวใจสั่งมา อิ้ววววววววววว //แซว//)

และใน SF – The Hunger Games : Mocking jay Part 1 ในเรื่องนี้ของไรท์ ก็เป็นตอนที่ต่อจากเรื่อง [SF – THG] The Impossible  –Finnick x Peeta หรือภาคที่แล้วนั่นเองนะคะ^^  ต่อแบบกระชั้นชิด แต่เวลาที่แต่งนี่ห่างเป็นโยชน์ 5555555  และแอนนี่ที่เป็นตัวถ่วงที่สมควรโดนเขี่ย(?)อีกคนหนึ่ง  //ไรท์เป็นไรกับผู้หญิงคะเนี่ย -*-//  ในฟิคของไรท์ นางเป็นแค่น้องสาวของฟินนิคนะคะ //บิดเบือนสุดๆ 555 เอาให้ฟิคของเราสานต่อไปได้ แต่ก็ยังคงดำเนินเนื้อเรื่องในหนังต่อไป และบิดเบือนอีก 555555//

แบบว่านอกจากป้าแม็กซ์ที่ได้ตายไปแล้วนั้น ฟินนิคก็เหลือแอนนี่ที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเพียงคนเดียวค่ะ เลยค่อนข้างเป็นห่วงเธอว่าจะตายไหม  แต่ก็แค่จิ๊ดเดียวค่ะ เมื่อเทียบกับพีต้าาา 555555

และข้อพึงบ่งชี้ที่ไรท์คนนี้แนะนำให้รีดๆ ที่เคารพรักทุกท่านพึงปฏิบัตินะคะ.......คือให้ดูหนังเรื่องนี้แค่รอบเดียวค่ะ  555555  ไรท์กะตามเนื้อเรื่องในหนังไปเรื่อยๆ จนจบล่ะค่ะ  แต่ว่ามันขัดใจไรท์อย่างมากเลยค่ะ! ><  รีดๆ อ่านไปแล้วอาจจะ...เฮ้ยย ตอนนี้มันไม่ใช่หนิ  แต่ก็นั่นแหละค่ะ  นั่นคือความคิดของไรท์ ที่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นค่ะ 555555 //บ้าไปแล้ว//   แล้วเดี๋ยวค่อยไปสานต่อความฟินในภาคต่อไป ง่อววววววววววว //โดนตบหัว//


-------------------------------------------------------------------------------------------------


เช้าวันจันทร์ที่สดใส  ผมเดินออกมาจากห้องของตัวเอง  สูดกลิ่นอายของดินและต้นหญ้าที่เขียวชอุ่มยามเช้าที่ถูกเกาะพราวเต็มไปด้วยน้ำค้างนับล้านดูสวยงาม   หลังจากที่เมื่อคืนผมค่อนข้างเหนื่อยมาก  แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังคงตื่นเช้า

อ่า  บรรยากาศในท้องที่ๆ อยู่ในหุบเขาดีมาก  ถึงแม้ว่าเราจะติดสงครามอยู่ก็ตาม ผมก็ยังคงมีอารมณ์มาชื่นชมธรรมชาติรอบตัวในยามเช้า

 ใช่ มันค่อยข้างดีหากคุณมีสิ่งเจริญหูเจริญตาให้สภาพจิตใจได้ผ่อนคลายบ้าง ก่อนที่จะทำตัวเครียดหรือออกไปสู้ตายทั้งวัน  อาา  ผมสูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติเข้าไป  ช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนเช้าของผมมีค่าและไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะเลยเนื่องจากต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง จนกระทั่ง...........

ฟินนิค!  ฟินนิค โอ้พระเจ้า.......เธอเอาอีกแล้ว  แคทนิสเอาอีกแล้ว เธอจะฆ่าฉัน!” มีเสียงหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทางสนามซึ่งติดกับห้องของผม  หากย้อนไปเมื่ออาทิตย์ก่อนผมคงจะต้องชะโงกหน้าไปมองอย่างตื่นตกใจในเสียงเดือดเนื้อร้อนใจนั้นแน่นอน  แต่ตอนนี้แม้ไม่ได้มองผมก็รู้ว่าเสียงที่ตะโกนขอความช่วยเหลือนั้นเป็นเสียงของใคร

............พีต้า............

ผมระบายยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างเอ็นดูและไม่รู้ตัวเองเลย  ก่อนจะกอดอกน้อยๆ “คราวนี้เธอไปปลุกนายถึงห้องนอนเลยหรือพีต้า” ผมถามและเกือบหลุดขำออกไป เมื่อเห็นว่าเค้ายังอยู่ในชุดนอนสีขาวสะอาด.........เด็กหนุ่มหัวยุ่งเหยิงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาผม  ปรกติแล้วพีต้าจะอยู่ในชุดที่ดูเตรียมพร้อมจะออกไปทำกิจวัตรมากกว่านี้  แต่เห็นทีว่าวันนี้เค้าคงจะถูกจู่โจมโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวจริงๆ เสียด้วย

แต่พระเจ้า  รู้อะไรไหม เค้าดูน่ารักมากๆ เลยในตอนที่กางเกงชุดนอนเกือบทำเค้าลื่นล้มต่อหน้าของผม “โอ้ว ระวังหน่อยพ่อหนุ่มเท้าไฟ” ผมว่าในตอนที่รับตัวเค้าไว้แล้วพยุงพีต้าให้ยื่นขึ้นได้อย่างมันคงเหมือนเดิม  ผมจงใจใช้คำแทนท่าวิ่งลื่นล้มเหยียบขากางเกงของเค้า

พีต้ามองหน้าผมแล้วไหวไหล่  ก่อนที่ผมจะแววได้ยินเสียงแคทนิส

“โอ้  เธอมาแล้ว” ผมกระซิบ ก่อนจะหลีกทางให้พีต้าเข้าไปหลบในห้องของผม............เค้ามักจะทำแบบนี้เสมอ จนผมไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปหาที่ซ่อนให้เค้าแล้ว  เกือบสิบครั้งแล้วในสามอาทิตย์นี้ที่พีต้าโดนแคทนิสไล่ฆ่าออกมาจากห้องเพียงเพราะเธอต้องการจะแก้มือที่แพ้พีต้าในครั้งนั้น  และดูเหมือนเจ้าหนูเบเกอร์รี่ของผมจะไม่อยากเล่นกับเธอด้วยเสียเท่าไรเลย

“แคทนิส เธอเสียสติไปแล้ว” พีต้าบอกผมในครั้งแรกที่เค้าโดนแคทนิสไล่หวดจนมาถึงห้องของผม

ใช่  พีต้าวิ่งแจ้นมาหาผมทันที  เพราะคิดว่าผมจะสามารถช่วยเค้าได้ ซึ่งนั่นมันก็จริง  ผมช่วยเค้าเต็มที่ทุกครั้งที่เค้าต้องการที่ซ่อนหรือความช่วยเหลือ  แต่มีเพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่เค้าจะมาหาผมทุกเช้าด้วยเหตุผลของแคทนิสผู้บ้าเลือด (ใช่ ผมตั้งชื่อและออกความคิดเห็นกับพีต้าว่าอย่างนั้น)  แต่อีกสิบกว่าวันที่เหลือซึ่งปราศจากเหตุหนีตายจาก แคทนิส   เอเวอร์ดีน นั้น  พีต้ามาด้วยเหตุผลอื่นที่ผมเองก็คาดไม่ถึง.............

เด็กหนุ่มผู้มากับแสงอาทิตย์ในยามเช้ามักจะมาเพื่อช่วยผมคุยเสมอ  และที่สำคัญเค้าคงคิดว่าผมไม่รู้  พีต้าชอบทำเหมือนกับว่าเค้าบังเอิญเดินผ่านมาทางนี้พอดีทุกเช้า  และเจอผมกำลังยืนสูดอากาศอยู่ที่สนามหญ้า  ซึ่งบางวันผมก็แอบอ้อยอิ่งรอการปรากฏตัวของเค้า.............

ฮ่ะ  ซึ่งจะว่าไปผมก็ไม่เคยคาดฝันว่าเค้าจะมาหาทุกเช้าเป็นเวลาติดกันหลายสัปดาห์โดยที่ไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแบบนี้หรอก แต่รู้ไหม ผมชอบนะที่เค้ามาหาผมทุกเช้า และให้ผมได้มีโอกาสเห็นหน้าเค้าถึงแม้ว่าบางวันผมจะไม่มีเวลาว่าง แอบย่องไปมองเค้าอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ ก็ตาม

.............ต้องขอบคุณพีต้าไปเรื่องนั้น..............

ผมอมยิ้มกับตัวเอง  ผมบล์อนหยักศกของผมไม่เป็นระเบียบยิ่งขึ้นเมื่อเพิ่งตื่นนอน  ก่อนผมจะหันหลังไปมองพีต้าที่ซ่อนตัวอยู่ที่ใต้เตียงของผม  ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีเดียวกัน แต่ทว่าสวยงามกว่าผมอย่างน่าหลงใหลมุดโผล่ออกมาจากผ้าปูเตียงกับกองผ้าห่มที่ร่นลงมาเหมือนกองผ้าล้นตะกร้าที่ยังไม่ได้ซัก

“อย่าบอกเธอนะ” พีต้าขยับปาก ทำหน้าตาเหมือนมันเป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องปิดเป็นความลับระดับหก  ผมหลุดหัวเราะท่าทางเหมือนเด็กๆ ของเค้า ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน  แววเสียงเดินตึงตังของแคทนิสมาแล้ว  พีต้าจึงมุดหัวกลับเข้าไป ทำราวกับว่าเค้าไม่เคยอยู่ตรงนั้น 

ก่อนผมจะเอี่ยวตัวกลับมาไพ่มือไว้ด้านหลังแล้วทำท่าสูดอากาศอันบริสุทธิ์ดั่งเดิม  ไม่ พีต้าไม่เคยมาที่นี่...........ผมเก็บยิ้มของตัวเองไว้ในตอนที่แคทนิสเดินผมสยาย  กำหมัดแน่น  ริมฝีปากบางของเธอเม้มเข้าหากันแล้วเผยออ้าพูดกับผม ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้หยุดเดินเสียด้วยซ้ำ

“พีต้าอยู่ที่ไหน!” เธอดูพร้อมรบ  ผมแอบคิดสงสัยอยู่ในใจ เมื่อคืนเธอใส่ชุดนี้นอนด้วยรึเปล่า

แต่ให้ตาย  เรื่องคิดนอกประเด็นยังไม่ใช่ตอนนี้

ผมทำตาปรือหันมามองแคทนิสแล้วทำท่าหาวใส่เธอช้าๆ ผมเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ห่ะ  เอ่อ......ม่ายอ่ะ เช้านี้ฉันยังไม่เห็นเค้าเลย  ฉันเพิ่งตื่นแล้วลุกจากเตียงเมื่อกี้นี้เอง” ผมยืนตัวตรงแต่ก็ผ่อนคลายเล็กน้อย  ทำตัวให้เป็นธรรมชาติ เธอจะได้จับผิดผมไม่ได้.............ก็แคทนิสไม่เคยจับได้สักครั้งเลยนี่นา

“เค้าอยู่ไหน!” เธอตะคอกอีก  ริมฝีปากที่ดูบางของเธอเกือบจะหายไปเลยเมื่อเธอพูดไปด้วยเม้มมันไปด้วย

ผมยักไหล่ก่อนจะกลอกตาขึ้นฟ้า “แคทนิสฟังนะ  เธอมาที่นี่  เอ่อ.....สิบครั้งได้แล้วมั้ง  มาถามหาพีต้า ซึ่งฉันก็บอกเธอไปทุกครั้งแล้วว่าเค้าไม่อยู่  ถ้าเค้าอยู่จริงฉันก็คงจะไม่เสี่ยงโกหกเธอหรอกว่าไหม?  และเธอไม่คิดว่าฉันจะเบื่อที่จะต้องโกหกให้เค้าจนเกือบสิบครั้งเลยอย่างงั้นหรือ” ผมผายมือ  และพูดเหมือนผมกลัวเธอใจแทบขาด

แคทนิสเหลือกตาใส่ผม ดูผิดหวังและไม่ชอบใจที่พีต้าไม่อยู่ที่นี่  คล้ายๆ ว่าเธอเหนื่อยแล้วกับการตามหาเค้าที่ซึ่งอยู่ๆ ก็ไร้ร่องรอย  ลมหายใจของเธอพรูออกมาอย่างแรงจนผมได้ยิน  ก่อนจะกระแทกเท้าตึงตังเดินจากสวนปลีกวิเวกน้อยๆ ของผมไป และทิ้งรอยย้ำไว้บนสนามของผมด้วย  พระเจ้า

ผมเกาหลังหูในขณะที่เริ่มผิวปาก   แล้วพีต้าก็โผล่หัวออกมาจากใต้เตียง ก่อนจะกลิ้งตัวออกมา  ผมชะโงกหน้าไปมองทิศทางที่แคทนิสเพิ่งจากไป เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่กลับมาอีกแล้วหันกลับมาหาพีต้าอีกครั้ง  ผมพยุงเค้าไว้และเห็นท่าทางสะดุ้งเนื้อสะดุ้งตัวน้อยๆ นั่นใส่ผม  ดวงตาในยามนี้ของเค้าส่องประกายราวกับดวงดาวเช่นเดียวกับเวลาอื่นๆ ที่ผมได้สบตากับเค้า

“นายโอเคนะ?” ผมถาม

ไม่” พีต้าปัดตัว “เธอเป็นบ้าอะไร....ทุกเช้า  เกือบทุกเช้าเธอจะต้องมาบุกห้องฉันแล้วก็จ้องจะฆ่าฉันด้วยนะ  บางทีนายอาจไม่รู้....เธอทำฉันนอนไม่หลับเลย ผับผ่าสิ”

ผมกอดอกแล้วยิ้มขณะมองเค้า “อ๋อ ฉันพอจะเดาออก” ก่อนจะยิ้มขึ้นมาอีก “เฮ้  ฉันน่าจะใส่ชุดนอนแบบนายบ้างนะ” ผมว่าหยอก แต่พีต้ากลับทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้และกลายเป็นว่าอยากจะถอดมันออกไปต่อหน้าผมเสียอย่างนั้น

ผมเห็นพีต้ากระพริบตาไปมา เลี่ยงการสบตาของผม  สองมือที่อบขนมปังได้อร่อยอย่างเหลือเชื่อของเค้าขย้ำเข้าที่ชายเสื้อนอนสีขาวตัวยาวเลยเข่าของตัวเอง “มันไม่ใช่ชุดคนป่วยนะ” พีต้าว่า.......เฮ้ ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม เค้าดูร้อนตัว

“เฮ้ ฉันยังไม่ว่าอะไรสักหน่อย แค่...มันดูอุ่นดีนะ นายต้องใส่กางเกงขายาวด้วยอย่างนั้นหรือ” ผมหลุดปากถามไป  เค้าไม่ตอบแต่แทบบิดตัวหนีหน้าผม นั่นทำให้ผมต้องกัดปากตัวเองไม่ให้ยิ้มในตอนที่เค้ามองไม่เห็น...........แต่เชื่อเถอะ  สาบานต่อพระเจ้าก็ได้ ผมไม่เคยดูถูกพีต้าเลย  ผมหลงรักทุกอย่างที่เป็นเค้า และชื่นชอบ เอ็นดูทุกสิ่งที่เค้าทำ

เค้าดู.......บริสุทธิ์  ไร้เดียงสาเสียยิ่งกว่าไร้เดียงสา

ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนบทสนทนาใหม่ “นายว่างไหมบ่ายนี้?” ผมเอ่ยถามออกไป งอตัวเล็กน้อยเพื่อทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น  และพีต้าก็หันมามองหน้าผมอย่างรวดเร็วก่อนจะมุ้ยปากขึ้นทำท่าครุ่นคิด

“อืมม ไม่รู้สิ....ก็ถ้าแคทนิสตอนอารมณ์บูดไม่บังเอิญมาเจอฉันซะก่อนน่ะนะ” พีต้ายังคงไม่เลิกกำชุดนอน “ฉันน่าจะว่าง” เค้ายิ้มน้อยๆ ใส่ผม ดังนั้นผมจึงปล่อยยิ้มทั้งหมดที่กลั้นไว้ออกมา โดยที่พีต้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าผมยิ้มให้เค้ามาโดยตลอด

“โอเค” ผมรับเป็นคำยืนยันสุดท้าย  เพราะถ้าหากเรานัดกันไว้แล้ว ผมจะเป็นคนไปหาพีต้าเสมอไม่ว่าเค้าอยู่ที่ไหนก็ตาม

พีต้ากำลังจะเดินออกไปในตอนที่ผมก้มหน้ามองพื้นแก้เก้ออยู่.....ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่ายังมีความรู้สึกพวกนี้อยู่อีกหรือ  ก่อนเด็กหนุ่มเบเกอร์รี่จะหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“เฮ้นี่  ฉันยังไม่ได้คำตอบเรื่องนั้นเลยนะ” ผมว่าเสียงของพีต้าดูสูงขึ้นเล็กน้อย และเห็นเค้าขยับห่างจากผมไปเล็กน้อย  ผมเลิกคิ้ว  พีต้าไหวไหล่ผายมือน้อยๆ เป็นเชิงเอ่ยถึงเรื่องนั้น  แล้วผมก็นึกขึ้นได้  ก่อนจะพยักหน้าใส่เค้า

“อ๋อ  ใช่  เรื่องนั้นเอง”

.............พีต้ายังไม่ได้รับคำตอบในเรื่องฮิปโปกริฟของผม  ผมได้ให้เค้าดูรูปจากหนังสือของผมแล้ว  เค้าดูตื่นตามากกับหนังสือของผม  ก็คงงั้น เพราะเค้าบอกว่ากระดาษในเขต 12 ค่อนข้างหายาก

ผมบอกว่าฮิปโปกริฟเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนบางสิ่งได้อย่างมีความหมาย  พีต้าถามว่ามันคืออะไร  แต่ผมไม่ตอบเค้าเพราะว่าเวลาของเราในวันนั้นหมดลงแล้ว ผมต้องไปลาดตระเวน  ดังนั้นผมเลยสัญญากับเค้าว่าจะบอกที่เหลือให้ฟังในครั้งต่อไปที่เรานัดเจอกัน

............ซึ่งอันที่จริงผมสามารถบอกเค้าตั้งแต่เช้าวันต่อมาที่เราเจอกันก็ได้  แต่ว่ามันเป็นการดีสำหรับผมเสมอที่จะหาข้ออ้างเพื่อที่จะให้ได้เจอเค้าบ่อยๆ .............

แต่ตอนนี้พีต้าคงอยากจะไปเปลี่ยนชุดแล้ว ผมคิด

“อ่อ แล้วอีกอย่าง” เค้าชี้มาที่ผม “นายน่าจะหัดใส่เสื้อนอน หรือหลังตื่นนอนซะบ้างนะ” ก่อนจะหันหน้าหนี แล้วเดินจากห้องผมไป

ห่ะ  เค้าบอกว่าอะไรนะ.........

ไม่เอาน่า  ผมต่างหากที่ต้องบอกว่าเค้าใส่ชุดนอนประหลาดน่ะ (อุ อย่าไปบอกเค้าว่าผมพูดงั้นนะ) ผมคลำหน้าอกเปลือยเปล่าของตัวเอง  และไม่นานก็ต้องระบายยิ้มให้กับพีต้าที่เขินอายใส่อย่างไม่มีเหตุผลเมื่อผมไม่ได้ใส่เสื้อ.........ผมเดินเข้าห้องน้ำไปพลางยิ้มแล้วส่ายหัวน้อยๆ

รู้ไหมพีต้าไม่เคยพลาดนัดของผมเลยสักครั้งเดียว  ถึงแม้เค้าจะบอกว่า “อาจจะ” แต่ในใจเค้าจะบอกว่า “ว่าง” ด้วยสายตาที่แสนกระตือรือร้นคู่นั้นเสมอ   ผมหลับตาในตอนที่สายน้ำรินรดตัวผมในขณะที่ผมเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้................

เฮ้  นี่เค้าโชคดีนะที่พักนี้ผมใส่กางเกงนอนน่ะ


***********************************************************************************


“โอแดร์.....คุณโอแดร์.....เอ่อ ขอโทษนะคุณโอแดร์  เธอฟังเราอยู่รึเปล่า”

เอ่อ...ครับผม” ผมเลิกเอานิ้ววางบนร่องใต้จมูกในตอนที่เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเจาะจงอยู่ข้างหูผม “ผมมีสมาธิอยู่” ผมบอกหญิงแก่ข้างๆ ที่ฉุดผมออกมาจากภวังค์ของตัวเอง   ก่อนคนอื่นๆ ในโต๊ะประชุมจะหันกลับมาหารือกันต่อ

“เรากำลังพูดถึงเรื่องของเขต 13 ที่มีกองกำลังหลักของเราอยู่ที่นั่น” พลูตาร์ชพูด  แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดถึงตอนที่พีต้าอบขนมให้ผมอยู่  เค้ายังคงพูดต่อไปและผมก็เริ่มตั้งใจฟัง  หญิงสูงอายุที่สะกิดโสตประสาทเรียกผมคอยอธิบายเพิ่มเติมจากเค้า

บอกตามตรง เมื่อไม่นานมานี้ผมนึกว่าเขต 13 ถูกระเบิดจนไม่เหลือซากและไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ไปเสียแล้ว  แต่ตอนนี้หลายสิ่งก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าผมคิดผิดถนัดไปเลยเรื่องเขต 13 .............ที่นั่นยังคงมีคนอาศัยอยู่ และยังเป็นกองกำลังสำคัญของเราอีกด้วย

ผมว่างั้นน่ะนะ

พลูตาร์ชยังคงยืนอยู่เพื่อพูดประโยคสุดท้าย ในขณะที่เลขานิรนามของเค้านั่งลงแล้ว   ชายอ้วนผมขาวหันหน้ามาทางโต๊ะประชุมที่มีสมาชิกร่วมอยู่ไม่มากนัก “ทุกท่าน  ไม่นานเราจะย้ายไปสมบทกับกองกำลังในฐานลับของเขต 13”

ไปเหรอ?” ผมทวนถาม  ยืดตัวตรงหลังจากเอนหลังพิงเก้าอี้จนมันเอนไปด้านหลังมาตลอดการประชุม.........เขต 13 จากแผนที่ทางภูมิศาสตร์ที่เรามีคือราบเรียบ ไม่มีวี่แววของการอยู่อาศัย ซึ่งนั่นก็บ่งชี้ชัดเจนแล้วว่าคนที่จะสามารถอ้างตัวว่าอยู่ที่นั่นได้ จะต้องไม่ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เหล่านั้นแน่นอน........พวกเค้าคงจะใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกับตัวตุ่นใต้ดินไปแล้วแหงๆ

ผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าคนในเขต 13 จะต้องแอบซ่องสุมกำลังอยู่ใต้ดิน หากจะรอดพ้นหูตาของแคปปิตอลไปได้  แต่ที่ผมถามน้ำเสียงท้วงติงออกไปนั้น ก็เพราะว่าเราจะต้องลงไปอุดอู้อยู่กับพวกเค้าอย่างงั้นหรือ

พีต้าคงจะอึดอัดแย่...........เค้าชอบดูพระอาทิตย์ตกบนลาดไหล่ของภูเขา และออกเดินไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ผมจะอนุญาต........ผมไม่สบายใจแทนเค้าเอาเสียเลย

“ใช่  เราต้องไป หลายสัปดาห์มานี้เราถูกแคปปิตอลบุกบ่อยมากเกินไป  จนเกรงว่าเราจะโดนหาตำแหน่งเจอในที่สุด.....เราจะเสี่ยงต่อไปไม่ได้” พลูตาร์ชท้าวโต๊ะ พูดเป็นการเป็นงานกับผม  ทำราวกับว่าผมไม่ใช่คนแรกๆ ที่เป็นกำลังสำคัญในการกีดกันพวกมันออกไปให้พ้นจากอาณาบริเวณโดยรอบของเรา

“แล้วพลเรือนคนอื่นๆ ที่อยู่กับเราล่ะครับ” ผมถามออกไปอีก  แต่ครั้งนี้เฮย์มิชที่ซบหน้าลงกับโต๊ะประชุมตอบแทนพลูตาร์ช

“ก็ไปด้วยไง  จะทิ้งไว้ทำซากอะไรที่นี่ล่ะ ปล่อยเอาไว้ให้พวกแคปปิตอลฆ่าทิ้งเล่นๆ หรือไงเล่าเจ้าหนุ่ม” เฮย์มิชพูดเป็นประโยคแรก และดูเค้าไม่ได้เมาน้อยลงเลยหลังจากที่หลับไปเมื่อครู่นี้

เฮย์มิชดูพูดจาหาเรื่อง  แต่ผมก็ไม่ถือสาเค้าเพราะมันเป็นนิสัยถาวรยามติดสุราของเค้าไปเสียแล้ว ผมยักไหล่ให้เฮย์มิช “ก็ถามดูไม่เสียหายหนิ” เฮย์มิชยิ้มเมาๆ ให้ผม เค้าเป็นคนที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าหากไม่เมาบ่อยๆ น่ะนะ  กระทั่งพลูตาร์ชกระแอ้มไอน้อยๆ หนึ่งทีแล้วกล่าวสรุปปิดการระชุม

“เอาล่ะ ทุกท่าน  สุดสัปดาห์นี้เราจะเริ่มเคลื่อนย้ายกองกำลังอย่างเงียบเชียบที่สุด โดยที่ไม่ให้พวกแคปปิตอลรับรู้ความเคลื่อนไหวและจุดหมายของเราได้.....” ผมและพวกคนอื่นๆ พยักหน้ารับไม่เว้นแม้แต่เฮย์มิชที่เพิ่งตื่นนอน

“......ขอบคุณทุกท่าน  ปิดการประชุมได้”

เรากำลังจะออกไปจากเขตอพยพในเวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์นี้...............

ทุกคนเดินออกจากห้องประชุมไปอย่างรวดเร็ว  ผมเดินรั้งท้ายและคิดเรื่อยเปื่อยอย่างอ้อยอิ่งรอการทยอยเดินออกไปจากประตูแคบๆ นั่น  ผมนึกเสียดายตึกอาคารและทัศนียภาพที่เรามีในตอนนี้  ถ้าถามผมแล้วที่นี่มันเป็นเขตอพยพซ่องสุมกำลังของกบฏที่ใช้ได้เลย  ใช่  มันให้ความรู้แบบนั้น ก่อนที่เรากำลังจะได้เข้าไปอยู่ในที่รูหนู ซึ่งให้ความรู้สึกปลอดภัยอันน่าหดหู่

ผมควรบอกเรื่องนี้กับพีต้าด้วย  เพราะเค้าคงจะรู้สึกเสียดายไม่น้อย ที่ไม่ได้สัมผัสสายลมเย็นๆ ที่เข้ามาปะทะใบหน้าเมื่อยามออกวิ่งอีกแล้ว   ผมเดินไปตามเรื่อยๆ จนกระทั่งพบเด็กหนุ่มที่กำลังคิดถึง อยู่กับหัวหน้าหน่วยพลเรือน.......ผมบอกแล้วว่าผมรู้เสมอว่าเค้าอยู่ที่ไหน

ผมยิ้มทักทายเค้าอย่างสดชื่น ในตอนที่บุคคลซึ่งกำลังคุยอยู่กับหนุ่มเบเกอร์รี่หมดธุระไปพอดี  พีต้าหันมายิ้มตอบน้อยๆ กับผม  มือทั้งสองข้างของเค้าแอบอยู่ด้านหลัง แต่ผมไม่ได้สนใจ

“ไง” ผมเอ่ยคำทักทายง่ายๆ กับพีต้า  เค้ายังคงยิ้มเปล่งประกายให้ผม

“ประชุมเป็นไงบ้าง?” เค้าถามผมกลับมาแทนคำทักทายที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ  แต่ผมจะเก็บทุกอย่างเอาไว้พูดในตอนที่เราอยู่กันสองคนเสมอ

“พลูตาร์ชพูดมาก ส่วนเฮย์มิชก็เมาเหมือนเดิมน่ะ.......แต่มันก็มีเรื่องสำคัญมากๆ อยู่เหมือนกัน” ผมกล่าวออกไป และทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าของผมหลุดขำออกมาเมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่น่าพูดถึงในการประชุม  แต่แล้วสีหน้าของผมก็เผยออกมาทำให้พีต้าจับสังเกตได้ในส่วนท้ายของประโยค......ผมเผลอทำให้เค้ารู้แล้วว่าการประชุมครั้งนี้ไม่ใคร่มีเรื่องน่ายินดีนัก

พีต้ามองหน้าผม ก่อนรอยยิ้มน้อยๆ ที่ผมชื่นชอบจะเหือดหายไป  พีต้าช้อนสายตามองผมอย่างเห็นใจเล็กน้อยแล้วอุทาน “โอ้ นั่นคงจะแย่มากเลยสินะ” เด็กหนุ่มว่าเสียงไม่ดังมาก ทำให้ผมนึกโทษตัวเองที่ทำให้เค้ารู้สึกกังวล

.............บ้าจริง  ไปทำให้พีต้ารู้สึกหดหู่แบบนั้นได้ยังไงกัน  แค่สถานการณ์อพยพในตอนนี้ของเราก็พาให้ยิ้มไม่ออกไปมากโขอยู่แล้ว  ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงแค่ไหน แต่คนที่ผมอยากให้รู้เรื่องพวกนั้นเป็นคนสุดท้ายมากที่สุด ก็คือพีต้า..............

ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนสีหน้าซะ ก่อนจะปั้นยิ้มใหม่แล้วเปลี่ยนประเด็น “แต่ดูๆ แล้วนายคงจะยุ่งอยู่สินะ” ผมว่า กล่าวออกไป  เมื่อนี่ก็จวนจะถึงเวลาบ่ายที่ผมได้เอ่ยนัดเค้าไว้แล้ว

แต่จู่ๆ พีต้าก็สะบัดหน้ารัวใส่ผมอย่างรวดเร็ว  ไม่ปล่อยให้ผมได้พูดอะไรต่อ  พร้อมทั้งยกไหล่ไปด้วยในตอนที่พูดกับผม  ราวกับเค้าเกรงว่าผมจะด่วนสรุปไปว่า นัดบ่ายนี้ของเราเป็นอันต้องยกเลิกไป

“เอ่อไม่  ไม่  ไม่หรอก ฉันว่างนะ....จริงๆ ถ้านายเองก็ว่าง” เค้าดูรีบร้อนจนเกินเหตุ  ผมมองดูท่าทางที่เหมือนเด็กกลัวเสียคำสัญญาของเค้าอย่างนึกเอ็นดู  และรู้ว่าพีต้ามักจะซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเสมอ.........เค้าว่าง สามารถมาพบผมได้  และยอมรับ ผมเองก็ดีใจที่เค้าว่าง  ผมยิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ บอกกล่าวกับเด็กหนุ่ม ก่อนจะไปหารือกับฝ่ายลาดตระเวนในอีกห้านาทีต่อจากนี้

“งั้นฉันคงเสียใจที่จะต้องบอกนายว่า เราอาจจะเจอกันตอนบ่ายนี้ไม่ได้แล้วนะ  บ่ายนี้ฉันมีเรื่องต้องคุยกับหัวหน้าหลายฝ่ายน่ะ  ซึ่ง....เอ่อ มันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายที่ไม่สามารถเลี่ยงได้เลยน่ะ  แต่เรานัดกันไว้แล้ว เพราะงั้นฉันคิดว่าเย็นนี้คงเหมาะถ้านายยังสะดวกอยู่” ผมว่า ดูยาวยืดแต่นั่นก็เป็นเพราะผมต้องการบอกปัดพร้อมกับรักษาความตั้งใจของพีต้าเอาไว้ด้วย........ผมเป็นคนเอ่ยนัดเค้าเองแท้ๆ ผมไม่ควรที่จะทำเหมือนมันไม่มีค่า

แต่การเลื่อนเวลานั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอบใจที่พอใช้ได้ที่สุดแล้ว   พีต้าตอบตกลงในทันทีและดูโล่งใจที่ผมไม่ยกเลิกนัดของเราไป

“เยี่ยม  นายคงมีเวลาวิ่งหนีแคทนิสอีกหน่อยกว่าจะได้เจอฉันอีกในตอนเย็น” ผมว่าหยอก ก่อนจะโดนหนุ่มเบเกอร์รี่กลอกตาใส่อย่างดูแง่งอน......นั่นไง ผมชอบคิดไปเองฝ่ายเดียวอีกแล้ว  ผมชอบคิดเสมอว่าเค้าทำตัวเหมือนน้องชายที่ชอบเรียกร้องความสนใจจากผม

............แต่ผมคงทำใจลำบากหน่อย ถ้ามีน้องชายอย่างพีต้า  เพราะผมไม่สามารถหยุดคิดเรื่องแบบนั้นกับเค้าได้เลยสักครั้งหนึ่ง หลังจากคืนนั้นที่ผมดันปล่อยให้ตัวเอง.....เอ่อ อย่าให้ผมพูดต่อเลยดีกว่านะ...........

มันเป็นความลับที่ในเวลานี้ผมจะไม่มีวันบอกใครเด็ดขาด  แม้แต่ตัวพีต้าเอง  ถ้าเค้ารู้ผมมีหวังจะต้องแย่แน่ๆ ความเป็นเพื่อนของเราและความใกล้ชิดที่ผมได้จะไม่มีอีกแล้ว  แต่แล้วเมื่อไรล่ะที่ผมจะหมดความอดทน เผลอบอกเค้าไปว่าผมชอบรอยยิ้มและความร่าเริงเจิดจรัสดุจแสงตะวันของเค้ากขนาดไหน

.............นั่นคงอีกไม่นานหรอก  หลังจากที่เราโค่นล้มสโนว์ได้  หนึ่งในสิ่งที่ผมอยากทำให้ได้ก่อนตายก็คือบอกให้เค้ารู้ว่าผมนั้นคิดเช่นไร  ผมไม่สนหรอกว่าจะถูกมองว่าอะไร  แต่ตอนนี้เรื่องกำลังเข้าขั้นวิกฤตเป็นอย่างมาก เราทุกคนมีเรื่องคิดให้ปวดหัวอยู่แล้วในตอนนี้  ผมจึงต้องเก็บความลับนี้ไว้ก่อน  และไม่บอกใคร............

ผมยิ้มให้พีต้าในตอนที่เค้าเผยอริมฝีปากบางๆ นั่นออกมา “นายคงมีเรื่องที่ต้องไปทำสินะ” เค้าพูด  พีต้ารู้เสมอว่าเวลาว่างของผมจะเป็นของเค้า  ยกเว้นเสียแต่ตอนที่มีงานเจรจาประสานงานจ่อก้นผมอยู่

“โอ้ เอ่อ...ใช่” ผมชอบที่เห็นว่าพีต้ารู้ใจผม  แต่แล้วกลับเป็นเด็กหนุ่มผมทองผู้ที่มีรอยยิ้มเนียมอายที่น่ามองที่สุดเสียเอง ที่จำต้องปลีกตัวออกไปเสียก่อน

พีต้า! เฮ้  มีคนอยากคุยกับนายแหนะ  ทำไมถึงออกมาล่ะ ตอนนี้เค้านั่งรอนายอยู่นะรู้ตัวไหม รีบไปเร็วเข้า”

พีต้าสะดุ้งตัวเล็กน้อย “โอ้ จริงสิ  ฉันแอบออกมานี่นา......โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” ผมได้ยินเค้าพึมพำกับตัวเองก่อนจะตะโกนกลับไปยังเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่เดินสวนมาแต่ห่างออกไป  ชายคนนั้นมีงานอยู่ในมือและดูใจดีที่อุตส่าห์มาเตือนพีต้า

“หึ  นายต้องไปแล้วสินะ  ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฉันแค่คนเดียวที่มีงานรัดตัวนะ” ผมยิ้มอย่างมีอารมณ์ขัน  ถึงแม้งานจะมีเยอะแค่ไหนแต่การเจอหน้าพีต้าทำให้ผมมีความสุขได้เสมอ

“ใช่  ฉันต้องไปแล้ว  ฝากนี้ไว้ที....” พีต้าทำหน้าตาตื่นเพราะกำลังจะโดนบ่น ก่อนจะยื่นบางอย่างให้ผม  ผมรับมันไว้ รู้สึกฉงนเล็กน้อยกับสิ่งที่ขยุกขยุยอยู่ในฝ่ามือ  ผมมองหน้าพีต้าและเค้าก็เอ่ยเฉลยคำ

“......มันเป็นเชือกผูกถุงแป้งของแม่ฉันน่ะ  แม่มักชอบใช้มันเสมอ ฉันเอามันติดตัวมาด้วยจนเมื่อพักที่แล้วแม่ครัวในโรงครัวเพิ่งเอามาให้ฉันเพราะลืมมันไว้ในครัวน่ะ” พีต้ายักไหล่เขินๆ เค้าคงจะใช้มันผูกถุงแป้งแล้วลืมมันทิ้งไว้ที่ห้องครัวแหงๆ เลย..........หนุ่มเบเกอร์รี่ที่ขี้ลืมของผม

“โอ้ ดีนะที่นายได้มันคืน”

“ขอบใจ....ฝากไว้ก่อนนะ  อย่าทำหายล่ะนั่นของแม่ฉัน” ฉันรู้แล้ว  ผมพยักหน้ายิ้มๆ ให้เค้าก่อนพีต้าจะโบกมือลาแล้ววิ่งออกไปอีกทางหนึ่ง

.............ผมนึกสงสัยในใจกับตัวเอง  แม่ของพีต้าไม่มีของอะไรเอาไว้ให้ดูต่างหน้ามากถึงขนาดนั้นเลยหรือ.............

เชือกผูกถุงแป้งที่ดูแข็งแรง แต่ทว่าก็เก่าจนรู้ถึงอายุการใช้งานนี้.........ผมมองสิ่งที่วางพาดอยู่บนฝ่ามือของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะเข้าใจว่าพีต้าเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมากแค่ไหน  ดังนั้นการที่ใช้เชือกเส้นนี้ที่แม่ของเค้าใช้มันในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ก็คงจะทำให้พีต้ารู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ๆ แม่ก็เป็นได้ 

บางครั้งผมเคยเห็นพีต้ากำเชือกเก่าๆ เส้นนี้ไว้แน่นแล้วยิ้มบางๆ ออกมาราวกับมีแม่นั่งกอดไหล่เค้าอยู่ข้างๆ ด้วย..........รอยยิ้มของพีต้าถูกสาดกระทบด้วยแสงอาทิตย์  เส้นไหมสีทองของเค้าส่องประกายแข่งกับแสงตะวัน  และผมจำได้ว่าผมไม่สามารถละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

..........พีต้าคงคิดถึงแม่มาก..........

และผมเองก็รักเค้ามากด้วยเช่นกัน  คงจะ....คิดถึงเค้ามากถ้าสักวันหนึ่งพีต้าหายไปหรือผมต้องห่างเค้า  เรื่องนั้นผมไม่อยากจะคิดถึงเลย และไม่คิดว่ามันจะมีวันเกิดขึ้นด้วย.............

ผมละสายตามาจากฝ่ามือของตัวเอง  มองไปทางที่พีต้าวิ่งเหยาะๆ หายออกไป  ก่อนผมจะกำเชือกนั้นไว้แน่นอย่างทะนุถนอมแล้วมุ่งหน้าไปยังกองลาดตระเวนเพื่อเริ่มหารือเป็นรอบแรกของบ่ายนี้


.


.


.


TBC.


------------------------------------------------------------------------------------------------


อ๊ากกก  นี่คือ Part แรกค่ะ.....ยังไม่มีอะไร ฮาาาาา  แต่งเสร็จ  พิสูจน์อักษรเสร็จไรท์เอาหัวโขกกับโต๊ะเลยค่ะ โป๊ก! //เอฟเฟ็คประกอบ//.............นี่คืออัลไล!?  มันจะต้องเป็นภาคที่เครียดที่สุดในเรื่องแน่ๆ เลยค่ะ  //เปล่า...แกเครียดมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว -*-//  แคทนิสทำไรท์อยากเปลี่ยนนางเอกเป็นพีต้าเลยค่ะ 5555555 (อ้าว) ให้ฟินนิคขึ้นแท่นเป็นพระเอกเต็มตัวแล้วเปลี่ยนโครงเรื่องใหม่เป็นหนังวายสุดร้อนแรงและแสนตื่นเต้น (?) //สักพักโดน ซูซาน   คอลลินส์ ตบหัว// .............อูย แต่ถ้าได้คงฟินไม่ใช่น้อยเลย ว่าไหมคะ? >///<

เอาละคะ  ฟิคเรื่องนี้กำลังจะหมุนวนเข้าสู่เค้าโครงเรื่องตามหนังแล้วนะคะ  มาร่วมติดตามกันค่ะว่าจู่ๆ การลี้ภัยอันปลอดภัยของเหล่ากบฏแห่งพาเน็มจะผันแปรไปเป็นการซ่อนตัวอันแสนหดหู่ได้อย่างไร  และพีต้าล่ะจะลงเอ่ยเช่นไร  เค้าจะเป็นเช่นในหนังหรือไม่

ร่วมติดตามกันใน SF – The Hunger Games เรื่องนี้เลยค่ะ  และแปะเฟส  เพื่อเอาไว้ไปร่วมพูดคุยกับไรท์ได้ค่ะ ที่ >>แฟนฟิคฮอลลีวู้ด<<  ขอบคุณสำหรับการติดตาม  และรักรีดทุกท่านมากๆ เลยค่ะ ><

ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund



1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

โอ้ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านซะทีค่ะ... ชอบตอนที่ฟินนิคนึกขึ้นได้ในห้องน้ำ ว่าเขาโชคดีนะที่ช่วงนี้ผมใส่กางเกงนอน เฮ้ยยยไรท์ชอบมุขนี้ค่ะ เฮ้ออ่านฟิคนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นจริงๆค่ะ คิดภาพฟินนิคพีต้าออกเลย เท่าที่ดูแล้วนี่มีไรท์คนเดียวละมั้งค่ะที่แต่งคู่นี้ซึ่งขอบคุณมากๆค่ะเพราะหาอ่านยากจริงๆเลยเชียว แต่งต่อไปเรื่อยๆนะคะ รักค่ะ //ปาหัวใจใส่ไรท์