มาแล้วค่ะ รีดๆ
ขาาาา โฮ่ลลลลล Part นี้น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ ย้ำว่า น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ 5-5-5-5-5-5
//ฉีกยิ้ม//
ไรท์ยิ้มแบบนี้ทั้งตอนก่อนรีดจะอ่านถึงฉากนั้นและหลังจากรีดอ่านจบแล้วค่ะ ฮี่ๆๆๆ
Part ก็จะตัดบทส่งรับระหว่างฟินนิคกับพีต้าอยู่เหมือนกับ
Part ที่แล้วค่ะ
และ...เอิ่ม ไร?ไม่พูดดีกว่าค่ะ
เดี๋ยวจะเป็นการสปอยลืไปอีก ฮี่ๆๆ
ไรท์ชอบหลุดปากอ่ะ เดี๋ยวก็หลุดไปอีก
เอาเป็นว่าอย่าให้ไรท์พูดอะไรมากดีกว่านะคะ ไรท์ว่ารีดๆ
ไปอ่านแล้วค้นหาด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ ^^
ไปกันเลยค่ะ ><
--------------------------------------------------------------------------------------
ผมบอกลาพวกเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขึ้นรถไฟเที่ยวที่เร็วที่สุดเพื่อเดินทางไปยังเขตแห่งถ่านหินและไฟ
*************************************************************
หนุ่มสาวทั้งสองคนออกจากบ้านไปทำธุระของตัวเอง
พีต้าดูแลความเรียบร้อยของบ้านและออกไปเป็นคนสุดท้าย
เด็กหนุ่มเหวี่ยงตะกร้าสะพายหลังไปด้วยและเดินเท้าต่อไปยังด้านหลังชายป่าอีกห้านาทีก่อนจะถึงเวิ้งทุ่งหญ้าโล่งๆ
ที่ทอดตัวลงเป็นเนินไปหาดวงอาทิตย์ที่คลอเคลียอยู่บนเส้นขอบฟ้า
ทุ่งหญ้าดูง่อนแง่นไม่เท่ากัน
ต้องขอบคุณฝีมือการตัดหญ้าของเฮย์มิช
เช้าวันหนึ่งเค้าบอกว่าจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยสีหน้าเมากรึ่ม
สามวันต่อมาแปลงของพีต้าก็กลายเป็นทุ่งหญ้าโล่งที่ดูไม่เป็นระเบียบนัก
เด็กหนุ่มวางตะกร้าแล้วนั่งลงข้างแปลงดอกคาซิโอลาเลียที่กำลังออกดอกสวยงาม เค้าพรวนดิน
กำจัดวัชพืช
และใส่ปุ๋ยบำรุงอย่างพิถีพิถัน
ซึ่งนอกจากดอกไม้แล้วพีต้ายังปลูกผักเอาไว้อีกฝั่งหนึ่งของทุ่งอีกด้วย เด็กหนุ่มปลูกทุกอย่างที่เค้าอยากจะปลูก
แม้แต่ดอกแคนตัสที่เค้าตัดใจทิ้งไว้พรวนดินเป็นแปลงสุดท้ายก็ยังได้อยู่ในรายชื่อดอกไม้ในทุ่งของเค้าด้วย
พีต้าไม่ชอบยุ่งกับมันมากนักเพราะต้นกระบอกเพชรของมันชอบทำให้เค้าเจ็บ
แต่สีสันของดอกแคนตัสก็สวยมากเกินกว่าที่พีต้าจะมองข้ามไปได้
เด็กหนุ่มดูแลแปลงดอกไม้และผักของตัวเองด้วยความใส่ใจ
เป็นเวลาที่แสงแดดทอเป็นสีส้มแก่แล้วในตอนที่เด็กหนุ่มรดน้ำเสร็จพอดี พีต้าลากตะกร้าไปที่แปลงกะหล่ำ
เก็บดอกที่อวบอ้วนแล้วเดินอ้อมไปเก็บที่แปลงถัดไป
เค้าสะพายสายตะกร้าขึ้นบ่าอีกครั้งในตอนที่ดวงอาทิตย์เริ่มอัสดง
เด็กหนุ่มผมบล์อนที่สวมเสื้อยืดสีเทาอ่อนหันไปมองราวกับว่านั่นทำให้เค้านึกถึงบางสิ่ง
ไม่สิ ไม่ใช่
ต้องพูดว่าคนๆ หนึ่งสิถึงจะถูก
สายลมพัดเข้าปะทะหน้าของเด็กหนุ่มที่มีคราบดินเปื้อนเสื้อและดวงอาทิตย์ก็กำลังโบกมือลาเค้าไป ภาพตรงหน้าช่างสวยงามแต่มันก็ชวนอ้างว่างในเวลาเดียวกัน
ดวงอาทิตย์ทำให้นึกถึงฟินนิคมากพอๆ กับการปลูกดอกไม้ มากพอๆ
กับการตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเลิกคิดถึงอีกฝ่ายไม่ได้เลย
พีต้าคิดถึงฟินนิค ถึงแม้จะรู้ว่าเค้าไม่อยู่แล้วก็ตาม
“ฟินนิค”
เด็กหนุ่มกระซิบแล้วบอกตัวเองในใจว่าอย่าร้องไห้
หลายครั้งพีต้ามักพบว่าตัวเองชอบร้องไห้ออกมาเสมอในตอนที่ทำอาหารหรือปลูกต้นไม้
ความกลวงโหวงอยู่ในใจนั้นช่างพาให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาและเดียวดายเหลือเกิน หลังเกิดสงครามไม่เคยมีอะไรดีขึ้นยกเว้นเสียแต่จะได้เจอกับฟินนิค
เด็กหนุ่มใช้มือเปื้อนดินเช็ดจมูกตัวเอง สูดหายใจเข้าลึกและพบว่ามันยากลำบากมากกว่าตอนปรกติก่อนจะทำใจหมุนตัวเดินกลับบ้านไป
เย็นแล้วแคทนิสอาจบ่นเค้าได้หากกลับบ้านช้า ใบหน้าขาวซีดนั้นก้มต่ำลงอย่างน่าสงสาร
ความทรงจำของเด็กหนุ่มกลับมาครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
กระทั่งเจอแคทนิสในระหว่างทางกลับบ้านทั้งคู่จึงเดินเคียงกันไปอย่างเงียบๆ
เพราะเธอรู้ว่าเพื่อนหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่
ช่วงพักหลังมานี้เธอมักเห็นพีต้าแอบร้องไห้ในตอนที่เจ้าตัวต้องทำอะไรคนเดียวเสมอ...ความเป็นห่วงและรู้สึกผิดจึงโถมเข้ามาหาเธอในเวลาเดียวกันอย่างหนักหน่วง
ค่ำนั้นพวกเค้าทานอาหาร พีต้าทำอาหารในจานพร่องไปเล็กน้อยตามเคยก่อนจะเก็บจานแล้วขอตัวเข้านอนอย่างเงียบเชียบ
แคทนิสจึงได้แต่มองตามและนั่งอยู่คนเดียวในครัวที่เปิดไฟสลัว
หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ตัดสินใจระเบิดฟินนิค
แต่แคทนิสก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะช่วยเพื่อนได้อย่างไร สำหรับเธอมันยากเกินไปที่จะทำให้สำเร็จ
*********************************************************
ผมอยู่บนรถไฟมาได้สามชั่วโมงแล้ว
และแปลกใจสุดขั้วเมื่อโบกี้ร้างคนมีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่โดยสารอยู่เพียงลำพังกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟเพียงแค่ไม่กี่คน
มันคือรถไฟขบวนเก่าอย่างที่ทุกเขตเคยใช้กัน
เป็นรถไฟที่คนธรรมดาจากทุกเขตไม่เคยมีใครได้ใช้นอกจากพวกคนรวยหรือมีหน้ามีตาทางการเมืองในยุคสมัยของสโนว์ ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าทำไม เพราะเหตุใดในเมื่อไม่มีกฎบังคับใช้แล้ว ทุกคนสามารถนั่งรถไฟได้แต่ทำไมพวกเค้าถึงไม่ใช้มัน
อาจเป็นเพราะทิฐิและบาดแผลที่เป็นผลมาจากสโนว์ก็เป็นได้
แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรในเรื่องนั้น
กระทั่งนั่งคนเดียวอย่างไร้ตัวตนอยู่นานจนฟ้ามืดผมก็เดินออกมายืดเส้นยืดสายจากโบกี้รับรองของตัวเอง
มันเคยเป็นโบกี้รับรองเก่าของพวกเศรษฐีมาก่อน
ผมเดินไปอีกที่หนึ่งเป็นห้องหรูหราไม่แพ้กับห้องที่ผมเคยจากมา
มีอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่อย่างพร้อมสรรพแต่ทว่าไม่มีคนเวียนมาเยี่ยมมันเลย แม้แต่ผมก็ผ่านไป
ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจแต่ตอนนี้ผมกินอะไรไม่ลง ในเมื่ออีกเพียงแค่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง
ผมก็จะได้พบกับคนที่รอคอยมาหลายต่อหลายเดือนแล้ว
ผมไร้สุ่มเสียง
ทำตัวเงียบเพราะไม่อยากถูกมองว่าก่อกวนแต่ก็ไม่อยากถูกหวาดระแวงหาว่าเป็นพวกหัวขโมยด้วยเช่นกัน ผมเดินดูไปตลอดทุกโบกี้ ไม่มีคนอย่างเช่นที่คิดเอาไว้จริงๆ
เพราะงั้นผมเลยได้แต่ชื่นชมความงามของเครื่องตกแต่งแต่เพียงเท่านั้น
จนกระทั่งคิดมาว่าจนสุดทางแล้วในตอนที่เจอเจ้าหน้าที่อยู่บนโบกี้ที่ผมเพิ่งเปิดประตูเข้าไป
ผมขอโทษเค้าบอกว่าผมไม่ควรเข้ามาในนี้แต่เค้ากลับบอกผมว่า
“ไม่เป็นไร
ควรมีคนหลงเข้ามาในนี้หลายคนแล้วนอกจากคุณ”
ผมมองหน้าเค้า ก่อนเค้าจะบอกว่ามันเป็นเรื่องดีที่ทุกคนในพาเน็มมีรถไฟใช้กันแต่ทว่ากลับน่าหดหู่เมื่อมันไม่เฟื่องฟูอย่างที่คิด เค้าดูเศร้าและผิดหวัง ผมจึงนั่งคุยกับเค้า
แล้วไงเล่า ไหนๆ ก็ต้องอยู่บนนี้อีกหลายชั่วโมงแท้ๆ
แถมเค้าเองก็เหมือนเพิ่งจะเคยเจอคนอื่นนอกจากตัวเองด้วย
เราคุยกันหลายเรื่องทั้งดีและน่าตึงเครียดจากการปกครองชุดที่แล้ว ก่อนเพื่อนคนอื่นของครูสจะเข้ามาอีกสองคน พวกเค้าดูงุนงง
แต่สุดท้ายก็ถูกครูสเรียกให้เข้ามาร่วมวงด้วย
และผมว่ามันเป็นเรื่องดีที่เราคุยกัน
พวกเค้าคุยสนุก
คุยกันออกรสทีเดียวเมื่อผมเล่าให้ฟังว่ากองกบฏลักลอบทำอย่างไรกับสโนว์ จนกระทั่งครูสและเพื่อนๆ
รู้จนได้ว่าผมเป็นกบฏแนวหน้า แล้วพวกเค้าก็พาผมไปห้องกัปตันที่หัวขบวน
“กัปตัน เค้าคือ...เค้าคือ ฟินนิค โอแดร์!” ครูสเปิดประตูแล้วชี้มาที่ผม
หลังจากที่เพื่อนอีกสองคนของเค้าดันผมเข้าไป
ในตอนแรกผมนึกว่าตัวเองจะโดนฆ่าซะแล้วแต่กลายเป็นว่าพวกเค้าเปิดแชมเปญยี่ห่อ
Veuve Clicquot ที่มีอยู่ขวดเดียวบนรถไฟฉลองกันอย่างพิศวงว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“ก็ไหนมีประกาศว่าเธอเสียชีพอย่างสมเกียตริไปแล้วยังไงล่ะเจ้าหนุ่ม”
ชายร่างอ้วนหนวดกับผมเป็นสีแดงที่ถูกรัดด้วยเครื่องแบบถือแชมเปญแล้วพูดกับผมเสียงตื่นเต้น
ผมห้ามไปก่อนแล้วว่าพวกเค้าเป็นเจ้าหน้าที่ไม่ควรดื่มในเวลางาน
“ผมก็คิดว่าตัวเองตายไปแล้ว” แต่ก็อย่าอะไรเลยเถอะ แม้แต่คนคุมคันโยกก็ยังนั่งชนแก้วกับผมเลย
“โอ้
แล้วนายรอดมาได้ยังไงเหรอเพื่อน?” เพื่อนคนแรกของครูสถามผม ยื่นหน้าเข้ามาในวงอย่างกระตือรือร้น
“ผมโดนระเบิด
เกือบไม่รอดแล้วในตอนที่มีคนมาเจอเข้าและพวกเค้าก็ช่วยผมไว้” ผมกล่าวสั้นๆ
ก่อนจะโดนกัปตันตบบ่าจนตัวเอียง
“โชคดีจริงๆ พ่อหนุ่ม ฉันได้ยินชื่อเสียงของเธอมานานตั้งแต่มีแข่งควอเตอร์เควสแล้ว เธอนี่มันเยี่ยมจริงๆ”
“อันที่จริงเราก็ด้วย” ครูสว่า
เค้ายกแก้วขึ้นมาเรียกร้องความสนใจว่าพวกเค้าก็รู้จักผมผ่านจอแสดงภาพเหมือนกัน
เราคุยอะไรกันหลายๆ
อย่างซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเรื่องที่นายขบวนของผมอยากรู้และรบเร้าถามกันซะมากกว่า ผมตอบเค้าเกี่ยวกับทุกอย่างที่พอตอบได้ ครูสถามถึงแคทนิสว่าเธอเป็นอย่างไงบ้าง ฟังดูเหมือนเค้าจะชอบสาวๆ มาก
“ไม่ ผมไม่คิดว่าเธอจะเป็นสเป็คสาวในอุดมคติของคุณนะ
เธออาจฆ่าคุณได้เลยขอเพียงแค่คุณทำให้เธอไม่พอใจ”
ครูสทำปากเบี้ยว
แล้วยอมรับว่าแคทนิสอาจเป็นผู้หญิงพวกสุดท้ายที่ผู้ชายหลายคนคิดถึง
และโชคดีมากที่ผมไม่เคยมองเธออย่างที่ครูสกับเพื่อนๆ เคยมอง
ก่อนกัปตันจะบอกว่าเราใกล้ถึงที่หมายแล้ว
*************************************************************************
และแล้ววันที่เรียบง่ายก็ผ่านไปอีกแล้วเช่นเคย
เด็กหนุ่มผู้สวมเสื้อยืดตัวบางนั่งหนีบขาเข้าหากันอยู่ที่ข้างเตียง พีต้ายังไม่นอน ขอบตาของเค้าร้อนผ่าว
จะร้องไห้ให้แคทนิสเห็นไม่ได้เพียงแค่การที่เธอคอยตามเค้านั่นก็ทำให้รู้แล้วว่าผู้หญิงผมสยายคนนั้นเป็นห่วงมากแค่ไหน
หลายครั้งเด็กหนุ่มคิดว่าเธอน่ากลัวยิ่งกว่าแม่ของเค้าเสียอีก
เด็กหนุ่มส่ายหน้า บอกตัวเองว่าให้เลิกงี่เง่าได้แล้วเสียที
ก่อนจะล้มตัวลงนอนสอดขาเข้าไปใต้ผ้าห่มแต่เค้าก็ร้องไห้ออกมาอีกในตอนที่กอดมัน ขย้ำมันเอาไว้ในมือแล้วคิดถึงฟินนิคอีกครั้ง
ถ้าทำได้เค้าเลือกที่จะจับมือฟินนิคไว้
จะไม่ยอมทำตัวเป็นเด็กดีขึ้นมาข้างบนก่อนอย่างที่ฟินนิคว่าและปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องตาย
พีต้าสะอื้นเมื่อคิดถึงจูบครั้งแรกที่ฟินนิคฝากไว้ จูบนั้นกดย้ำและหนักหน่วง แต่ริมฝีปากของฟินนิคนั้นช่างอบอุ่นอ่อนโยน
และเด็กหนุ่มก็สะอื้นหนักขึ้นเมื่อรู้ว่ามันจะไม่มีอีกแล้ว จะไม่มีจูบจากร่างสูงอีกแล้ว
เพราะไม่มี
ฟินนิค โอแดร์ อีกต่อไป......
ความจริงนั้นมันชวนให้ปวดใจและมากเกินจะรับไหวเสมอสำหรับเด็กหนุ่มที่รู้ว่าตัวเองขี้ขลาดหวาดระแวงและสูญเสียคนที่รักไป
ฟินนิคไม่มีโอกาสได้รู้ด้วยซ้ำว่าพีต้าก็รักเค้าถึงแม้เด็กหนุ่มจะไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มที่จูบเจ้าตัวจะรู้สึกรักมากมายเหมือนกันหรือไม่......พีต้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่ออยู่ใกล้กันแล้ว
ฟินนิคจะแอบหัวใจเต้นรัวเหมือนอย่างที่เค้าเป็นหรือเปล่า
หากฟินนิคไม่ได้รักเค้า
ถึงแม้ชายที่คอยช่วยเหลือเหมือนเป็นคนสำคัญคนนั้นจะชอบคนอื่นแต่มันก็ยากลำบากสำหรับพีต้าอยู่ดีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจากไป ความเจ็บปวดมักแล่นเข้ามาทำร้ายหัวใจเสมอเมื่อพีต้าอยู่คนเดียว
เด็กหนุ่มไม่เคยสกัดกลั้นหรือเอาชนะมันได้เลยสักครั้ง
ถึงแม้จะพยายามแล้วแต่ที่สุดก็แพ้อย่างราบคาบ
เด็กหนุ่มเบเกอร์รี่ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป จะปลูกต้นไม้
อบขนมไปจนตายหรือร้องไห้จนขาดใจไปเลยดีหรือไม่ แต่พีต้าไม่อยากให้ใครว่าเค้างี่เง่า ไม่อยากให้แคทนิสต้องมาสมเพสเค้าอีกแล้ว ที่ทำอยู่ทุกวันนี้แคทนิสเองก็คงจะคิดว่าเค้างี่เง่าที่พยายามปกปิดความเศร้าในใจของตัวเอง ไม่มีที่ไหนน่าอยู่เลยสำหรับพีต้า
เด็กหนุ่มโหยหาการมีอยู่ของชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเค้าคนนั้นอย่าสุดหัวใจ
เด็กหนุ่มเบเกอร์รี่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เค้ากลับคืนมา
ฟินนิคทั้งฉลาด เก่งกาจ
และใจดี
หนุ่มผู้อยู่กับสายน้ำมาทั้งชีวิตในเขต 4
ทำดีกับพีต้ามากเกินกว่าที่เค้าจะควรได้รับด้วยซ้ำ......มากเกินไปที่เด็กขี้ขลาดอย่างเค้าควรจะได้
แต่ฟินนิคก็ไม่เคยบ่นอะไรเลยถึงแม้จะต้องมาขลุกทำขนมกับพีต้าทั้งวันหรือคอยมองดูท่าทางเงอะงะเวลาร่างเล็กเพิ่งเคยทำอะไรเป็นครั้งแรก
มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนดีและน่าจดจำในวันวานที่มีฟินนิคคอยอยู่ด้วย หลังจากกลับมาอยู่ที่เขต 12
อันตายซากและไม่เหลืออะไรแล้วพีต้าก็มักจะวนถามตัวเองอยู่เสมอว่าตลอดระยะเวลาที่ทั้งคู่เคยอยู่ด้วยกันนั้นเจ้าตัวเคยทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อฟินนิคหรือไม่ เคยทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจหรือสบายใจไหม
หรือว่าจะรั้งแต่หาเรื่องปวดหัวมาให้ชายหนุ่มคอยตามดูแลอยู่ตลอด
ถึงแม้จะไม่ได้ทำตัวดูโง่เง่าขนาดนั้น
แต่สุดท้ายแล้วเมื่อพีต้าย้อนมองไปรอบข้างตัวก็จะเห็นฟินนิคคอยยิ้มให้เสมอ ไม่ใช่รอยยิ้มที่ให้กำลังใจแต่ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มแห่งความสบายใจ
ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นดูเหมือนมองโลกในแง่ดีเสมอถึงแม้พีต้าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ในตอนที่สงครามกำลังปะทุขึ้นอย่างรุนแรง แต่เมื่ออยู่ใกล้แล้วกลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นใจอย่างยิ่ง ฟินนิคมักจะคอยจับมือเอาไว้เสมอ ถึงแม้เค้าไม่ได้พูดอะไรแต่พีต้าก็ชอบมัน
หลายครั้งเด็กหนุ่มมักกระชับฝ่ามือเข้าไปหาเองอย่างแนบเนียนพอๆ
กับตอนที่อีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาจับในตอนแรก
มันคงจะดีไม่น้อยถ้าได้จับมือหยาบกร้านจากการออกกำลังนั้นอีกครั้ง แรงบีบของฟินนิคช่างหนักแน่นแต่ทว่ามันกลับอ่อนโยนอย่างยิ่งมือโอบอุ้มอุ้งมือที่ทำได้เพียงแค่อบขนมกับวาดรูปของพีต้า
แผ่นหลังของฟินนิคในตนที่วิ่งตามนั้นผายกว้าง หัวไหล่ของฟินนิคเมื่อมองเห็นอยู่เคียงข้างช่างทำให้รู้สึกปลอดภัย
ถึงแม้ในเวลานี้ไม่มีความวุ่นวายโกลาหนให้หวาดวิตกอีกต่อไปแล้วแต่พีต้ายังอยากขอให้ได้อยู่กับฟินนิคอีกครั้งเหมือนเมื่อยามที่เกิดสงคราม
แต่ฟินนิคตายไปแล้ว.....
พีต้าร้องไห้อีก
ดวงตาโผล่พ้นออกมาอยู่นอกผ้าห่มเมื่อเจ้าตัวกอดมัน เค้าสะอื้นจนตัวสั่นเทิ้ม
หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้อย่างจนใจว่าทำไมถึงได้เจ้าน้ำตาขนาดนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วเมื่อไม่มีฟินนิค และพีต้าก็อ่อนแอมากกว่าที่เป็นอยู่
เด็กหนุ่มร้องไห้จนเหนื่อย ความอ่อนล้าแวะเข้ามาหาในที่สุด
พรุ่งนี้แคทนิสจะต้องรู้โดยไม่ต้องถามเป็นแน่ว่าเมื่อคืนนี้เค้าร้องไห้มาอีกแล้ว ดวงตาที่บวมช้ำนั้นกระพริบเบาๆ อย่างอ่อนแรง
จ้องมองออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับลมเข้ามาเพื่อความเย็นสบายในยามค่ำคืน พีต้าหลับตาลงอย่างปรือปรายแล้วหลับไปในที่สุด
.
.
.
ร่างเล็กเจ้าของห้องในบ้านหลังใหญ่อันเปลี่ยวเหงาหลับไปแล้ว ลมเย็นที่พัดละเลียดพื้นดินหมุนตัวเกี่ยวเอากลิ่นโรสแมรี่ที่เค้าปลูกให้คลุ้งเข้าไปในห้อง พีต้าขยับใต้ผ้าห่มไปมา ก่อนบานหน้าต่างใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าเค้าจะปรากฏเป็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินกว้าข้ามมันเข้ามา ชายคนนั้นเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เค้าวางกระเป๋าลงแล้วเดินเข้าไปหาพีต้าอย่าเงียบเชียบราวกับว่าไม่อยากรบกวนให้เด็กหนุ่มตื่น
ชายหนุ่มทรุดตัวลงข้างเตียง
มองใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ทว่ากลับดูอ่อนล้าและเศร้าสอยถึงแม้จะอยู่ในยามหลับของพีต้า เค้าสูดหายใจเข้าลึก
บอกตัวเองว่าอย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องตื่นเพราะตกใจ ฟินนิคไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือหัวเราะดีที่ได้พบกับพีต้าอีกครั้ง
ชายหนุ่มปลายนิ้วสั่นเทาอยู่ชั่วแวบหนึ่งก่อนจะแตะสัมผัสไปบนโหนกแก้มที่เมื่อนานมาแล้วเคยมีรอยช้ำของเด็กหนุ่ม มันเย็นและเนียนลื่น
ฟินนิคเกลี่ยนิ้วไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทาบมือลงไปบนแก้มที่เย็นเชียบเพราะลมเย็นในตอนกลางคืนของพีต้า
ความอุ่นจากฝ่ามือนั้นทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงระริกเปลือกตาด้วยความรู้สึกแปลกใหม่
และแล้วพีต้าก็ลืมตาตื่นขึ้นมาดูความอบอุ่นที่ข้างแก้มที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดออกไป
เด็กหนุ่มสะดุ้งในทันใดเมื่อพบว่ามีคนนั่งอยู่ข้างเตียง ร่างเล็กลุกขึ้น เมื่อปรับโฟกัสได้ก็ไม่เชื่อสายตาในคราแรก
ร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหน้าเค้าไม่ได้พูดอะไร ฟินนิคหยุดนิ่ง
วาดยิ้มอบอุ่นมาให้เด็กหนุ่มที่มองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ฟินนิค”
พีต้ากระซิบ ยังคงไม่เชื่อสายตา
“ไง”
ร่างสูงยิ้มและกระซิบตอบเช่นกัน
รอยยิ้มของฟินนิคดูยินดีแต่ดวงตาของเค้าเคลือบวาวเต็มไปด้วยน้ำตา
พีต้าแตะเข้าไปที่แขนของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าอย่างเบามือ สัมผัสได้ถึงความแข็งแรงที่ยังคงเหมือนเดิม
“ฉันกลับมาแล้ว”
ร่างสูงพูด ยิ้มน้ำตาคลออีกในตอนที่พีต้าน้ำตาไหลและร้องไห้ออกมาในที่สุด เด็กหนุ่มแตะไปบนใบหน้าของร่างสูงอย่างแผ่วเบาแล้วน้ำตาไหลไม่หยุด
โถมกอดฟินนิคในตอนที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ดึงเค้าเข้าหาอ้อมอก
พีต้ากอดร่างที่สูงกว่าเอาไว้แน่น...แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ราวกับกลัวว่าฟินนิคจะหายไปอีก
คำถามมากมายลอยคว้างอยูในหัวของเด็กหนุ่มแต่ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเวลาสำหรับให้คำถามแทรกกลางเข้ามาได้
เด็กหนุ่มผมสีบล์อนรู้สึกถึงสันจมูกที่กดอยู่ตรงซอกคอของตัวเอง ฟินนิคสูดหายใจ แผ่นหลังของเค้าที่พีต้ากอดไว้ค่อยๆ
ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า เสียงที่สูดเอากลิ่นเส้นผมดังขึ้นอยู่ข้างหูของเด็กหนุ่ม นอกจากจะสะอื้นแล้วพีต้ายังหน้าแดงอีกด้วย ร่างสูงที่กลับมาจากความตายไม่ได้พูดอะไรมากนัก
พีต้าอยากให้เค้าพูดหรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การทำให้หัวใจดวงน้อยๆ
นั้นต้องเต้นระรัวไม่เป็นส่ำแบบนี้
“ฟินนิค...”
พีต้าเรียก ฝืนสะอื้นไว้ได้สำเร็จแต่ร่างสูงกลับจูบซอกคอเค้า
ฟินนิคกอดพีต้าไว้แน่น พรมริมฝีปากร้อนไปบนลำคอของเด็กหนุ่มอย่างโหยหาจนอีกฝ่ายหนึ่งต้องหดคอหนีอย่างตื่นตกใจ
“ฟินนิค”
เด็กหนุ่มคลายอ้อมแขนออกมาแล้วใช้มือดันอกของอีกคนหนึ่งให้ออกห่าง แต่กลับโดนจับไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้
“ฟินนิค!” พีต้านิ่วหน้า
รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือทั้งสองข้างและต้นคอที่โดนกัด เสียงหายใจของร่างสูงดังขึ้น
เค้าผละหน้าออกมาจากคอที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงของเด็กหนุ่ม
มือยังคงกำรอบข้อมือเล็กที่เวลานี้เอาแต่ปลูกดอกไม้นั้นไว้อย่างแน่หนา
ดวงตาสีอ่อนสบกับแววตาอันไหวระริกของเจ้าของห้อง แล้วร่างสูงก็กดร่างเล็กลงกับเตียง ลมหายใจร้อนผะผ่าวของพวกเค้าปะทะกัน พีต้ายังคงมีน้ำตารื้นอยู่ไม่เหือดหาย เด็กหนุ่มหายใจอย่างรุนแรง
พยายามอย่างหนักที่จะรวบรวมสติแล้วเอ่ยเป็นคำออกมา
และฟินนิคก็ดับสตินั้นด้วยจูบของเค้า
ร่างสูงทาบจูบลงไป
ขณะที่มือก็ยังคงกดตรึงแขนของร่างเล็กเอาไว้กับพื้นเตียง พีต้ายอมอ้าปาก
เด็กหนุ่มต้องการอากาศเอาไว้หายใจมากกว่านี้แต่ทว่าร่างสูงกลับใช้โอกาสนั้นตักตวงเข้าไปในปากของร่างเล็กอย่างบ้าคลั่ง ฟินนิคใช้ลิ้นตวัดเลียเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว ริมฝีปากของพวกเค้าบดเบียดและฟันก็กระทบกัน
พีต้าถูกสูบเอาเรี่ยวแรงไปด้วยรสจูบอันดุเดือดของฟินนิค ร่างเล็กได้รับการปลดปล่อยในที่สุด ไม่ได้ถูกจับแล้วในตอนที่รู้สึกถึงฝ่ามือกร้านซึ่งสอดเข้ามาใต้เสื้อนอน ร่างสูงลูบแผ่นหลังแน่นลื่นด้วยความคิดถึงพอๆ
กับจูบของเค้า พีต้าดิ้นและขยับตัวอยู่ใต้ร่างและการลูบไล้ของฟินนิค
การจู่โจมสัมผัสทำให้เด็กหนุ่มตกใจมากเกินกว่าจะมีสติ
หนุ่มเบเกอร์รี่ถูกดันศีรษะให้เริดขึ้นด้วยนิ้วมือที่แตะอยู่ใต้คางของตัวเอง เค้าเงยหน้า
ผมสีประกายทองนั้นถูกับผ้าปูที่นอนเพราะร่างสูงของชายหนุ่มกำลังไล่จูบไปตามต้นคอและกกหูของเค้าอยู่ พีต้าร้องเสียงเบา ฟังดูไม่กล้าหรือเพราะกลัวก็ไม่แน่ชัดนัก
แม้แต่จะขยับแขนก็ทำไม่ได้เลยเนื่องจากถูกอีกคนหนึ่งกอดรัดเอาไว้ ฟินนิคเลิกเสื้อพีต้าขึ้น
ไล่สันจมูกไปตามแผ่นอกบริสุทธิ์นั้นอย่างรีบร้อน
ร่างสูงกอดรัดแผ่นหลังลื่นมือนั้นเอาไว้แน่น ไม่คลายแรง
ส่วนอีกมือหนึ่งของเค้าก็สอดเข้าไปใต้กางเกงที่ตัวเล็กกว่า
พีต้าสะดุ้งเมื่อโดนบีบสะโพก
“อือ ฟินนิค...”
เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูตื่นตระหนก
แต่ร่างสูงไม่ได้ฟังอะไรเลย
เค้ากลับใช้ริมฝีปากขย้ำไปบนแอ่งชีพจรของพีต้าอย่างโหยหา
“ฟินนิค!
อย่า...ไม่” พีต้าเริ่มดิ้นแรงขึ้น “ฟินนิคเดี๋ยวก่อน!”
เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหอบหายใจของคนด้านบนตามมาด้วยเสียงขาดของเสื้อผ้า
ฟินนิคฉีกเสื้อผ้าของเค้าออกและใช้ลิ้นลากไล่ไปบนเรือนร่างเช่นเดียวกับที่ทำในโพรงปากของเค้า
“ฟินนิคอย่า ได้โปรดเถอะ...ฟังฉันหน่อย ไม่!”
“พีต้า...”
ฟินนิคยังคงฝังใบหน้ากับหน้าอกของพีต้า แต่เสียงที่เรียกนั้นไม่ใช่เสียงของร่างสูง
“พีต้า”
เสียงนั้นดังขึ้นอีก
พีต้าได้ยินแต่กลับทำเป็นสนใจมันไม่ได้
ฟินนิคถอดกางเกงเค้าออก เด็กหนุ่มขดตัว
กอดตัวเองแล้วพลิกกายหนีอีกคนหนึ่งด้วยความอายและหวาดกลัว
“พีต้า!”
.
.
.
“พีต้า
ตื่นได้แล้ว!”
คนถูกเรียกสะดุ้งตัวในที่สุดและบนว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว
.
.
.
TBC.
--------------------------------------------------------------------------------------------
อาย อ้าย
อ๊ายย
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อร๊ายๆๆๆๆๆๆๆๆ!! >[]< ฟิน-นิคคคคคคค ฟินนิค!! อูยยยยยย เกือบไปแล้วค่ะ เกือบ เกือบๆๆๆๆ เกือบจะทำให้เราสมใจกันแล้ว
อูยยยยยยยยยย //ถ้าไรท์เป็นรีด
จะเอากำปั้นทุบโต๊ะค่ะ// คนปลุกอ่ะถ้าเธอมาช้ากว่านี้บางทีเค้าอาจจะได้อะไรๆ กันมากกว่านี้ก็ได้! อร๊ายๆๆๆๆๆ >[]< //ดิ้นเองและเขียนเองค่ะ -^-
มิ//
โอยยยยยยย ไรท์แอบรู้สึกผิดที่ให้รีดอ่านอะไรส่งท้าย Part แบบนี้ค่ะ
เพราะงั้นไงค่ะ ไร?เลยฉีกยิ้มตั้งแต่
talk ข้างต้นเลย 555555
//สรุปกินยำตีนรีด 55555//
จะเป็นอย่างไรต่อไป ฟินนิคใกล้มาถึงแล้วหรือว่ายังไม่ถึงในเร็วๆ
นี้กันแน่ ต้องติดตาม Part หน้าค่ะ
หัวใจของพวกเค้ากำลังได้พบกันแล้วค่ะ >////<
ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่เข้ามาอ่านนะคะ เฟสของไรท์เจ้าค่าา แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด และอย่าลืกกดไลค์เพจให้ไรท์ด้วยนะเออ อยู่ทางด้านขาวมือในบล็อกเลยจ้า
สำหรับคนที่เล่นในเว่อร์ชั่นมือถือให้เปลี่ยนเป็นเว่อร์ชั่นหน้าเว็บของท้ายบล็อกในมือถือก่อนนะคะแล้วจะเห็นเพจเจ้าค่ะ
><
ขอบพระคุณและรักรีดมากมายเลยค่ะ
//วาดหัวใจใส่จอ//
ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund