วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

[SF – THG] + [Prat 2] The Impossible – Finnick x Peeta




มา Prat 2 กันแบบต่อเนื่องเลยนะค่ะ..................ต้องขอบอกจริงๆ ค่ะว่า เป็นเรื่องแรก(?) ที่ไม่มี Nc จริงๆ ค่ะ(??)........................จริงๆ นะค่ะ  ไม่มี๊  ไม่มี ค่ะ ^0^".........................ถึงกับ นั่งงกะตัวเองเหมือนกัน  เรื่องนี้นี่มันปราศจาก Nc ได้อย่างไร ปรกติ........เอ็งเป็นคนชื่นชอบ Nc เป็นชิวิตจิตใจอยู่แล้วหนิ.........แต่ก็นั้นแหละค่ะ


ไม่รู้ว่าที่เรามโนหรือคิดเอาเองเนี่ย ทุกท่านจะชอบกันไหม.............ก็แบบว่า หลังจากป้าแมกซ์ตายไป  ฟินนิคก็คิดถึงแต่พีต้าคนเดียว.............กิ๊กกริ้วววว อ่ะ  บอกไม่ถูก


งั้นไปอ่านกันเลยค่ะ ^^



-----------------------------------------------------------------------------------------------------




“ฟินนิค  ฟินนิค......ฟินนิค! ตื่นได้แล้ว.....”


ผมสะดุ้งตื่น


ใครว่ะ!!.......! หูจะแตก.........เออ! ตื่นแล้วโว้ยย!


ผมผงกหัวขึ้นมาจากหมอนใบใหญ่หนานุ่ม มือก็ขยำผ้าห่มเหยียดออกไปข้างๆ เพื่อบิดขี้เกียจ


“อืมมม!......ตื่นแล้ว.......ใคร.......” ผมพูดแต่ก็ยังหลับตาแน่นสู้กับแสงอาทิตย์อยู่ .........ผมยังไม่อยากตื่น


“ผมเองครับ.......7.00 น. ได้เวลาตื่นแล้วครับ” ชายคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูตามระเบียบพัก พอพูดจบเค้าก็เดินออกไป   เอ่อ.......ตื่นก็ได้ ตื่นสายนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้เลยแฮะ แล้วเมื่อคืนใครกันที่ออกไปลาดตระเวนทั้งคืนแถมยังสู้กับพวกแคปปิตอลไปเป็นโหลอีกล่ะ ......ให้พักหน่อยเถอะ


ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นนั่ง เป็นผลให้ผ้าห่มที่คลุมตัวผมอยู่ ร่นลงมาอยู่บนหน้าตัก เผยให้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่าปราศจากเสื้อผ้าของผม............ แน่นอนล่ะ ผมไม่ได้ใส่อะไรเลยสักชิ้นเดียว


ผิวสีแทนที่อยู่บนตัว ทำให้ผมรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก........ถึงแม้จะเป็นช่วงสงครามแบบนี้ แต่การตื่นมาพบผิวคมเข้มของตัวเองก็ทำให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีทันใดเลยล่ะ...........ผมถลกผ้าห่มออกไปจากตัว แล้วเดินตัดข้ามห้องเข้าห้องน้ำไป............วันนี้ผมจะทำอะไรดีล่ะ  หน้าที่ของผมก็มีแค่หารือเรื่องกลยุทธ์พิชิตแคปปิตอล กับคนอื่นๆ เว้นซะแต่ว่าผมจะหาเรื่องใส่ตัวเอง อย่างเมื่อคืนนี้..........แต่เอาเถอะครับวันทั้งวันมันอยู่เฉยๆ ก็น่าเบื่อนา.........


*********************************************************************************************************


ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!


ผมไม่เข้าใจ ว่าจะถามตัวเองทำไมทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าจะเดินมาที่ไหน ตอนนี้ผมกำลังเดินทอดน่องอยู่ที่หน้าห้องครัวใหญ่ครับ เดินไปมาอยู่พักใหญ่แล้ว จนใครๆ ก็ถามว่ามาทำอะไร ผมเองก็ได้แต่ยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไร......ความจริง ผมรอใครสักคนอยู่ครับ คนที่...น่าจะเดินเข้าห้องครัวมาสักครั้งหนึ่ง แล้วจากนั้นกลิ่นหอมกรุ่นก็จะอบอวลไปทั่วทั้งห้อง จนใครๆ ที่ผ่านมาอดไม่ได้ที่จะหยุดถามว่ามันคืออะไร และก็จะได้ทั้งคำตอบและได้ชิมมันด้วย


ผมไม่ได้มาหาของกินนะ ไม่ใช่อย่างงั้นเลย...........ผมแค่อยากเจอเค้า หลังจากที่เราลงมาจากยาน ผมก็ไม่ได้เจอเค้าเลย.........บางครั้งผมก็อดด่าตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจะต้องทำแบบนี้ด้วย คิดถึงคนที่ไม่ควรจะคิดถึง แต่สองสามวันมานี่มันบ้ามากขึ้นทุกที ทำอะไรก็นึกถึงหน้าพีต้า บางครั้งก็เห็นหน้าพีต้าแทนหน้าของคนที่ยืนกับผมอยู่เลยด้วยซ้ำ และผมฝันเห็นเค้าทุกคืนเลย..............


บ้าน่า เค้าไม่ได้คิดอะไรกับผมสักหน่อย ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องคิดถึงคนที่ เค้าไม่เคยมองเรามากเกินกว่าคนที่แค่รู้ชื่อกันด้วย (ก็แหงล่ะ เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเคยช่วยชีวิตเค้าไว้) แต่ผมก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ไม่รู้จะมีอะไรเลวร้ายไปกว่าการที่ต้องมายืนรอหน้าห้องครัวทุกวันเพื่อเจอพีต้า........ก็แล้วไงล่ะ แต่ผมก็มาแล้วนี่ มายืนรอ เดินรอ นั่งรอ อยู่ที่เดิมทุกวันแบบเนียนสุดๆ แต่ว่าที่ผมยืนรออยู่นี่ก็เสียแรงเปล่าเหมือนกัน...........


............เฮ้อ สงสัยวันนี้เค้าคงจะไม่มาอีกแล้วล่ะฟินนิคเอ้ย...........


หลังจากที่ป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องครัวจนเกือบได้เวลาอาหารเที่ยงผมก็ถอดใจ แล้วหันหลังเตรียมจะเดินกลับห้องตัวเอง แต่หูผมก็ได้ยินเสียงกระหืดกระหอบเหมือนคนกำลังวิ่งอยู่...........เอ๊ะ หน้าห้องครัวแบบนี้มีคนรีบร้อนด้วยอย่างนั้นหรือ..........อาจจะมีคนมาตามผมเพราะเกิดเรื่องอะไรก็ได้  ผมจึงหันหลังกลับไปมอง เห็นพีต้าวิ่งรี่เข้ามาทางผม


“ฟินนิค ฟินนิค! โอ้ นายนั่นเอง” พีต้าวิ่งมาหยุดอยู่ที่ผม ในอ้อมกอดของพีต้าเป็นถุงกระดาษขนาดใหญ่


พีต้า...........อ๊ากกกก! พีต้าจริงๆ ด้วย ผมกะแล้วสักวันจะต้องได้เจอเค้า (ผมระบายยิ้มออกมา พีต้าทำหน้างง) ....เอ๊ะ แล้วผมจะดีใจทำไมว่ะเนี่ย


“ฟินนิคอย่าบอกแคทนิสนะว่าฉันอยู่ที่นี่.......ห้ามบอก ห้ามบอกใครทั้งนั้นเลย” ผมพยักหน้า ดูท่าทางพีต้ากำลังเดือดร้อน ผมเลยช่วยเค้าถือถุงกระดาษด้วยการแย่งมันมา


“ได้สิ นายโอเครึเปล่า.........มีอะไรที่ฉันช่วยได้ไหม” ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองดูไม่เป็นตัวของตัวเองสุดๆ


“เออ.....จะดีหรือ ฉันว่า....เออ แต่คนในครัวก็คงจะไม่มีใครว่างนี่เนอะ งั้นถ้านายไม่รังเกียจจะมาช่วยฉันก็ได้นะ” พีต้ายิ้มอายๆ นิ้วมือทั้งสองข้างเกี่ยวกันไปมา ............ผมคิดไปเองรึเปล่า ว่าเห็นเค้าหน้าแดงด้วย


ผมยิ้มอย่างกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ได้สิ นายจะทำอะไรล่ะ” แล้วพีต้าก็ผลักประตูห้องครัว และเราทั้งสองก็เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน


********************เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง*********************


ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันนานเท่าไร............ตอนนี้แสงสีส้มยามบ่ายกำลังส่องมาหาเราสองคน


และผมก็รู้ในทันใดนั้นเองที่เข้าห้องครัวไป ว่าถุงกระดาษใหญ่เบอเริ่มเทิ่มนั้นคือถุงแป้งข้าวสาลีซึ่งในที่แบบนี้และสถานการณ์แบบนี้มันหายากสุดๆ ไปเลย .........แต่พีต้าก็หามันมาจนได้ และดูเค้าจะหวงมันมากเหมือนกัน เพราะเค้าบอกว่า “มันเป็นถุงสุดท้ายแล้ว” นี่สินะ ถึงทำหน้าอายๆ แล้วเกี่ยวนิ้วตัวเองไปมา คงเพราะกลัวว่าผมจะไม่ถูกโรคกับอะไรที่มันออกแนว cooking man แบบนี้ (พีต้าคงคิดว่าผมรังเกียจ.......แต่ไม่เลยครับ ผมยินดีช่วย.....เป็นลูกมือให้เลยด้วยซ้ำ)


แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เค้าหนีคลาสฝึกการป้องกันตัวของแคทนิสมา “เธอและเฮมมิสจะต้องโกรธมากแน่ๆ เลย ที่ฉันแอบหนีเข้ามาขลุกอยู่ในห้องครัวอีกแล้ว” ตอนที่พีต้าบอกผม เค้าหนวดแป้งไปด้วยทำหน้าเหยเกไปด้วย ผมรู้สึกสงสารเค้าขึ้นมานิดๆ ............เป็นหนุ่มเบเกอร์รี่นี่เนอะ ถ้าจะให้หันไปฝึกจับอาวุธแทนที่นวดแป้ง มันก็คงจะลำบากอยู่เหมือนกัน............แต่ผมก็แอบดีใจ(มากกว่าหลายเท่าเลยครับ)ที่วันนี้ได้เจอพีต้าที่นี่ และได้ช่วยเค้าทำขนมปังกับคุกกี้แสนอร่อย......มันทำให้ผมเองเพิ่งรู้ว่าการทำขนมมันทั้งสนุก หอม อร่อย และมีความสุขมากขนาดนี้ (มีอยู่ครั้งหนึ่ง พีต้าบอกผมว่า “นั้นแป้งนะ ไม่ใช่ศัตรู” ตอนที่ผมเอามีดจ้วงแป้งที่มันแข็งเป้กจนนวดไม่ได้เพราะขาดน้ำ)


แต่สุดท้าย พอเราทำขนมปังและคุกกี้กองมโหฬารเสร็จ มันก็ถูกแจกจ่ายไปยังผู้คนทั่วศูนย์อพยพ (ถึงแม้ผมคิดว่ามันออกจะไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกคนก็ดูมีความสุขที่ได้กินของดีๆ เท่าที่ตอนนี้เราจะหาได้) และก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยเลยเช่นกัน กว่าเราสองคนจะออกมาจากห้องครัว พีต้านำเอาห่อผ้าเล็กๆ ออกมาด้วย มันคืออะไรไม่รู้ตอนนั้นผมไม่ได้ติดใจที่จะถาม เราเดินกันต่อ  ไปที่ด้านหลังของศูนย์บัญชาการใหญ่ จนถึงทางเดินเชื่อมอาคารที่ทั้งสองข้างทางถูกล้อมรอบไปด้วยสนามหญ้าสีเขียว มันเป็นสีอมส้มเพราะถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ พีต้าหยุดแล้วนั่งลง เค้ากอดเข่านั่งเปะที่ขอบทางเดินนั้น ทำตัวราวกับเป็นเด็กในชนบทธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ชายคนที่ชักนำทุกคนไปสู่สงครามใหญ่ซึ่งกำลังจะมาถึง...............จริงสิ ไม่น่าล่ะ แคทนิสถึงเขี้ยวเข็ญให้พีต้าฝึกจับอาวุธให้คล้องเข้าไว้................


“นายไม่ชอบต่อสู้หรือ” ให้ตายสิ ผมถามได้ทื่อสุดๆ ไปเลย......พูดให้มันสวยหรูกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ เจ้าบ้าเอ้ย!


 พีต้าซุกหน้ากับแขนของตัวเองจนเหลือแต่ดวงตา


“ฉันไม่ได้อยากฆ่าใคร แค่อยากรอด.....อยากให้ทุกคนมีความสุข” พีต้าตอบเสียงอู้อี้แล้วเงียบไป


ความเงียบในสถานการณ์แบบนี้ผมไม่ชอบเอาเสียเลย มันชวนให้ผมเองก็คิดอะไรไม่ออกเช่นกัน.........ผมกระชับสามง่ามที่อยู่ข้างๆ ตัว (เออ ใช่ครับ ผมเอามันติดตัวไปตลอดแหละ) “แล้วฝึกกับแคทนิสเป็นไงบ้าง” ในที่สุดผมก็นึกคำถามทำลายความเงียบได้  และได้ผล พีต้าหันมาหาผม “นายไม่อยากรู้หรอก.......ว่าฉันน่าหัวเราะแค่ไหน”


ผม(หูผึง+)พูดทันควัน “ทำไมล่ะ” ในที่สุดเค้าก็หันมาคุยกับผมจริงๆ จังๆ สักที


“เธอรุนแรงชะมัด......ตอนนั้นที่เธอตีขาฉันจนล้ม เธอก็ตะโกนใส่หน้าฉันว่า ลุกขึ้น!’ จากนั้นก็กระทืบซ้ำ ถ้าฉันลุกขึ้นช้า” พีต้าทำหน้าเหมือนจำมันได้ดี .................เจ็บปวดสุดๆ เลยสินะ................


แล้วพีต้าก็กลับเข้าไปอยู่ในโลกมืดของตัวเองต่อ.........เงียบอีกแล้วแฮะ..........ผมก็เลยกระชับสามง่ามอีกครั้งอย่างใช้ความคิด และมันก็ได้ผล! ผมจะลองพูดดู เผื่อพีต้าจะสนใจ........


ผมเลยหันไปยิ้มน้อยๆ “งั้นฉันจะสอนให้นายเองเอาไหม” พีต้าหันมาอีกรอบ แต่กลับมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ ........รอยยิ้มน้อยๆ ของผมเริ่มน้อยลงทุกที “........เออ แบบว่าแค่นายกับฉัน เราสองคน .......แบบ...ไม่มีกฎ ไม่โหด มีอะไรก็พูดกันตรงๆ .......ฉันเป็นคนใจเย็นนะ รับรองนายได้อะไรเยอะเลยล่ะ......และเราเป็นผู้ชายด้วยกัน ฉันว่าน่าจะไปได้สวยกว่าฝึกกับแคทนิส....และ เออ.....” เอาล่ะสิ ผมก็เลยแถไปเรื่อยๆ กันเงียบ แล้วจู่ๆ พีต้าก็ตบไหล่ผม แล้วพูดว่า “จริงหรือ!  นายจะช่วยฉันงั้นหรือ” หน้าตาชื่นบานขึ้นมาทันทีเลยครับ (ตอนนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าพีต้าอาจจะประมวลผลช้าหรืความรู้สึกช้า)


“อืม จริงสิ.....ลองเลยไหมล่ะ” ผมฉีกยิ้มอย่างมั่นใจ พร้อมกับชูสามง่ามที่อยู่ในมือ แล้วลุกขึ้นไปที่บริเวณสนามหญ้ากว้างขวาง  พีต้าลุกขึ้นตามผม สาบานได้เลย ผมไม่ได้คิดไปเองว่าเห็นรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของพีต้าอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเผลอยิ้มออกมา แต่ผมเห็นมัน....เป็นรอยยิ้มที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย รอยยิ้มที่อาบไปด้วยแสงอาทิตย์สดใสของพีต้า.....


“นายต้องจับแบบนี่นะ.....จับให้มั่น ศัตรูจะได้แย่งมันออกจากมือนายไม่ได้........” ผมอธิบายพร้อมกับเข้าไปสอนจับให้จากทางด้านหลัง หลังจากที่อีกคนเก่ๆ กังๆ เต็มที่ จนผมอดไม่จริงๆ ที่จะเข้าไปช่วย “หวดแบบนี่” ผมจับมือเค้าให้หวดอย่างเร็วและแรง “นี่คือหวด....เหมือนตอนที่นายตบแป้งขนมปังไง”ผมพยายามพูดให้เป็นการเป็นงาน แต่ให้ตายสิ ยกตัวอย่างได้แย่ชะมัดเลยแฮะ


แต่พีต้ากลับหัวเราะน้อยๆ แล้วบอกว่า “ฉันไม่ได้ทำอย่างงี้กับขนมปังสักหน่อย......” แล้วบรรยายกาศรอบข้างเราก็ดูเหมือนจะสนุกสนานขึ้นมาทันที ปรากฏว่าผมห่างเค้าไม่ได้เลย ตอนแรกที่ฝึกท่าต่างๆ พีต้าจะทำหน้าเหมือนหนุ่มเบเกอร์รี่ขายขนมปังไม่หมด แล้วหันมาทางผม........มีหรือครับฟินนิคคนนี้จะอยู่เฉยได้ ผมก็ต้องตามประกบคู่ สอนแบบเอ็กส์ครูซีปให้กับเด็กหนุ่มน่าสงสารไป  แผ่นหลังของพีต้าและหน้าอกของผม เราสัมผัสกัน .........อุณหภูมิในกายของเราทั้งสองไหลเวียนอยู่ด้วยกัน มันทำให้ผมแทบหายใจไม่ทั่วท้องเลยด้วยซ้ำกับระยะที่ใกล้ แต่ทำให้รู้สึกดีจนไม่อยากแยกจากกัน แบบนี้


การฝึกของเราสองคนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เพราะแสงรอบตัวเราเริ่มกลายเป็นสีส้มแก่ๆ “ฮ่าๆ นายไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร........สองขาหน้าเป็นอินทรีย์ สองขาหลังเป็นม้าน่ะ” ผมพูด


“โธ่.....ก็ได้ ฉันยอมนายก็ได้.....มันคืออะไรล่ะ” พีต้านั่งอยู่ข้างๆ ผม เค้ายอมแพ้ขอคำตอบ...........หลังจากที่เราฝึกซ้อมกันได้พอสมควร ผมก็คิดว่าพีต้าควรพักได้แล้ว เพราะเค้าเพิ่งเริ่มฝึกเป็นครั้งแรก ถ้าหักโหมมากไปมันจะไม่ดี  แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกตื่นเต้นและชอบมันมากๆ  ดูยังไม่เหนื่อยและรบเร้ากับผมว่าขอฝึกต่อสักหน่อย  แต่สุดท้ายผมก็ต้องทำใจแข็งปฏิเสธไป ก่อนจะบอกเค้าว่า “เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้.......สอนนายซะหมดเปลือกภายในวันเดียว แล้วพรุ่งนี้ฉันจะเหลืออะไรล่ะ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ  จากนั้นผมก็พาเค้าไปนั่งขอบทางเดินที่เดิม


“เย็นมากแล้ว........คนอื่นๆ คงจะตามหานายแย่แล้วล่ะมั่งพีต้า.....” ในขณะที่ผมพูดอยู่ พีต้าเค้าไม่ได้สนใจฟังผมเลยแม้แต่นิดเดียว กลับไปสนใจห่อผ้าที่หอบเอาออกมาจากครัวตั้งแต่ตอนบ่าย มันคืออะไรกัน....ผมชักจะอยากรู้ซะแล้วสิ


“นั่นอะไรหรือพีต้า.......ฉันเห็นนายเอามาด้วยตอนเราออกจากห้อง.......หืม....คุกกี้หรือ?” ไม่ต้องให้พีต้าพูด ผมก็ได้คำตอบ  จากห่อผ้าที่ถูกคลี่ออกบนฝ่ามือทั้งสองของพีต้า .....ใช่ คุกกี้จริงๆ ครับ ผมจำได้ มีทั้งคุกกี้ของผมและของพีต้า.........เออ ผมก็หมายถึง คุกกี้นั้นแหละ! -///-


ผมทำหน้างงเล็กน้อย “คุกกี้.....นี่...” ผมชี้ไปที่มือของพีต้าที่มีคุกกี้อยู่เกือบสิบชิ้น...........พีต้าก้มลงมองคุกกี้ จนใบหน้าเกือบติดกับอก แล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่านายยังไม่ได้ชิม......ฉันก็เลย .....เออ....เก็บไว้ให้นายนิดหน่อยน่ะ” ให้ตายสิ! เค้าทำผมใจเต้นอีกแล้ว มองภาพนั้นไม่ได้เลย.......มันน่ารักเกินไป!!  โอ๊ยยยย! ฟินนิคคิดอะไรของแกเนี่ยย! โรคจิตเกินไปแล้ว.........แต่ผมก็ยังไม่เลิกใจเต้น


“ยังไงก็ขอบคุณนะ......” พีต้าเหลือบมองผม แล้วเค้าก็ดูตกใจเล็กน้อย ที่เงยหน้าขึ้นมาเจอผมกำลังจ้องเค้าอยู่เช่นกัน  พีต้าเลยหันมามัดห่อผ้านั้นอีกรอบแล้วโยนให้ผมแทน “นายก็เป็นคนทำ ก็ควรได้กินด้วย.....”


“อะ ออ ขอบใจนะ” ผมยิ้มตามแบบตัวเองอย่างลอยๆ


“นายยังไม่บอกเลย ว่านั้นมันตัวอะไร”


“หะ......ออ ที่ฉันทายนายเมื่อกี้นั้นน่ะ ” พีต้าพยักหน้า.........แย่จริง ช่วงนี่ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองบ่อยชะมัดเลยแฮะ............พูดยังกะคนจิตหลุดแนะ


“มันคือ ฮิปโปกรีฟ ไงล่ะ” ผมยิ้ม พีต้าทำหน้าสงสัย แน่นอนว่าเค้าไม่รู้จัก เขตสิบสองคงไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่านกันบ่อยๆ สินะ


“มันคืออะไรล่ะ” เค้าถามผม ดวงตาลุกวาวสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ดูเหมือนเด็กซุกซนที่กำลังโดนผู้ใหญ่หลอกล่อด้วยนิทาน


ผมเลยยิ้มอีกรอบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “มันก็คือ........”


“พีต้า!” มีเสียงก้องออกมาจากทางเดิน  ผมกับพีต้าหันไปสนใจทันที   นั่นคือแคทนิสนั่นเอง.......เธอเดินดุ่มๆ มาทางผมและพีต้า หน้าตาเธอดูเหมือนเพิ่งมีคนไปหักธนูคันโปรดของเธอยังไงยังงั้นแหละ  และข้างหลังเธอ เฮมมิสผู้กำลังพยายามวิ่งตามแคทนิสให้ทัน เค้าหอบแฮก..........และตอนนี้พีต้ากำลังตัวสั่น..........เค้าคงกลัวว่าจะโดนแคทนิสบ่น หรือไม่ก็โดนอย่างอื่น............(ทำโทษหรือ.....วู้ว...พีต้าคิดเหมือนผมอยู่รึป่าวนะ)


ผมจับมือพีต้าก่อนที่เค้าจะลุกขึ้น  มันเป็นการจับมือเพื่อให้กำลังใจ ผมอยากให้พีต้ารู้ว่าผมยังอยู่ข้างเค้า ไม่ได้คิดจะหนีไปไหนในยามที่เค้ากำลังกลัว  ผมลุกขึ้นพร้อมกับเค้าและไปยืนอยู่ข้างหน้าพีต้า บังเด็กหนุ่มจาก ม็อกกิ้งเจย์ที่กำลังกระพือปีกไฟไปมาอย่างโมโห.............อืม ดูเหมือนแคทนิสจะเหมาะกับคำนี่ที่สุดแล้วล่ะ............ผมดูพอใจอยู่เล็กน้อยที่มีอารมณ์ศิลป์หาคำเหมาะให้เธอได้ แต่คงจะพอใจกว่านี้ ถ้าแคทนิสจะไม่ทำให้สถานการณ์ต่อไปนี้ดูแย่ลงจนน่าอึดอัด  ผมไม่ชอบเลย.......ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเพราะแคทนิสอารมณ์เสีย  แต่ผมไม่ชอบเพราะแคทนิสทำให้พีต้ากลัวต่างหาก


แคทนิสเดินมาเผชิญหน้ากับผม เธอมองหน้าผมอยู่แว็บหนึ่ง จากนั้นก็ตวัดสายตาไปหาพีต้าที่ยืนอยู่ข้างหลังผม........ผมสังเกตเห็นความไม่พอใจในสายตาเธอได้อย่างดีเลยล่ะ   แคทนิสเริ่มพูด “พีต้า ฉันหวังว่านายคงจะมีคำแก้ตัวดีๆ มาให้ฉันนะ”


“เป็นเพราะฉันเองแคทนิส  ฉันเป็นคนชวนเค้ามาที่นี่เอง” ผมพูดขึ้นทันควัน และกระชับฝ่ามือพีต้าให้แน่นขึ้น  แต่แคทนิสก็พูดขึ้นเร็วพอๆ กับผม


“นายไม่ต้องแก้ตัวแทนเค้าเลยฟินนิค!.......ผู้ชายอย่างพวกนาย มีดีแต่เข้าข้างกันทั้งนั้น..........ฉันนึกไม่ออกเลยว่า คนอื่นจะทำหน้ายังไง ถ้าเค้ารู้กันว่าพีต้า   เมลลาร์ค ผู้กอบกู้และหนึ่งในกำลังสำคัญแห่งม็อกกิ้งเจย์จับอาวุธไม่เป็น!” เธอกระแทกเสียง ผมรู้สึกได้ว่าพีต้าก้มหน้าลงแล้วขยับเข้ามาหาผมจนศีรษะเค้าแนบชิดอยู่กลางหลังของผม......ตัวพีต้าสั่นยิ่งกว่าเดิม “เกือบเป็นแล้ว” ผมได้ยินเสียงพีต้ากระซิบ


ผมกระชับมือพีต้าอีกครั้ง เพื่อบอกเค้าว่าผมยังอยู่ตรงนี้ “มอบเค้าให้ฉัน.......ฉันจะเป็นคนฝึกเค้าเอง” ผมพูด คนอื่นๆ พากันตะลึงโดยเฉพาะพีต้า “และฉันรับรองฝีมือการต่อสู้ของพีต้าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน  ที่เค้าไม่ชอบฝึกกับเธอก็เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง...เป็นผู้หญิงที่เก่งกว่าเค้า.......ผู้ชายน่ะ ไม่ชอบให้ผู้หญิงที่เก่งกว่ามาสอนนั้นนี่หรอกนะ เพราะงั้นเค้าเลยเรียนรู้อะไรไม่ได้เต็มที่  ถึงแม้พีต้าจะอายุแค่สิบเจ็ดก็ตาม เค้าก็รู้ว่าไม่ควรให้ผู้หญิงมาเหยียบหน้า” ผมพูดคำสุดท้ายช้าๆ เพื่อให้แคทนิสได้ฟังอย่างชัดเจน


  ผมเอาเรื่องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายมาอ้างและคิดว่ามันจะใช้ได้  ทำไมผมจะไม่รู้ ผมดูออกหรอกว่าพีต้าน่ะกลัวแคทนิสมากแค่ไหน ไม่งั้นเค้าคงไม่สั่นหงึกๆ อย่างข้างหลังผมแบบนี้หรอก..........ผมแค่อยากให้พีต้ามีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้นเท่านั้นเอง   ได้ข่าวว่าแคทนิสฝึกเค้าเกือบสิบห้าชั่วโมงต่อวันเลยด้วยซ้ำ  เวลานอนก็ปาเข้าเกือบสิบชั่วโมงแล้ว และเวลาส่วนตัวของพีต้าก็อย่าพูดถึงเลยครับ  แคทนิสเอาไปเรียบ มิน่าพีต้าถึงดูอมทุกข์ยังไงบอกไม่ถูก........วันนี้ผมจะทำให้เค้าเป็นของผมให้ได้  เอ่อ....ผมหมายถึงในความดูแลของผมน่ะ -*-


และแคทนิสดูเหมือนจะช่างใจ กระทั่งเฮมมิสผู้หยุดหอบแล้วหันมากระซิบบางอย่างกับเธอ ถึงแม้สีหน้าของเธอจะยังดูไม่พอใจ  แต่แคทนิสก็หันมาหาผมแล้วพยักหน้าเชิดๆ ไว้เชิงอย่างผู้หญิงกับผมแล้วพูดว่า “ก็ได้ ถ้านั่นจะทำให้เค้าดีขึ้น  ฉันให้เวลานายหนึ่งเดือน ทำให้ฉันเห็นว่าพีต้าแตกต่างจากตอนนี้มากแค่ไหน......” เสียงเธอดูแข็งกร้าวกับผมมาก  แต่ผมก็พยักหน้าให้เธอน้อยๆ ผมยินดีเกินกว่าจะสนใจกับน้ำเสียงเธอ “ขอบใจ” ผมพูด


“.....สำหรับนายตอนนี้พีต้า  นายต้องมากับฉันก่อน” แคทนิสพูดเสียงเข้มก่อนจะจ้วงเอาแขนอีกข้างหนึ่งของพีต้าไปจากผม  เธอกระชากพีต้าอย่างแรงจนหลุดออกจากการเกาะกุมของผม  ผมได้ยินเสียงพีต้าหลุดอยู่ในลำคออย่างตกใจ


“ฉันจะต้องไปเจอกับกลุ่มคนงี่เง่าที่อยากเจอฉันจนเนื้อเต้นอีกกลุ่ม........และฉันจะไม่ยอมยืน-อมพะนำ-อยู่คนเดียวแน่พีต้า.....หน้าที่พูดเป็นหน้าที่นาย” แล้วแคทนิสก็เดินออกไปยังทางเดิมที่เธอมา แต่ก็ไม่ลืมกระชากแขนพีต้าให้ตามเธอไปด้วย และเฮมมิสก็เตรียมออกตัวกระหืดกระหอบตามแคทนิสไปให้ทันอีกเช่นเคย แต่ก่อนไปเค้าหันมาชูนิ้วโป้งให้ผมแล้วพูดแบบไม่ออกเสียงว่า “โครตเจ๋ง” ใช่ ถ้าผมอ่านปากเค้าไม่ผิดน่ะนะ...........ผมยิ้มให้เฮมมิสอย่างเป็นมิตร


ผมเห็นว่าพีต้าหันหลังมามองผมอยู่สักครู่ก่อนจะถูกแคทนิสพาเลี้ยวเข้าไปในตัวอาคาร .......ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า ว่าเห็นสายตาขอบใจจากพีต้าและสายตาที่เศร้าสร้อยของเค้าในเวลาเดียวกัน


.............ช่วงนี้หลังจากที่เราก่อตั้งกองกำลังเสร็จ  แคทนิสก็เริ่มทำตัวเหมือนเป็นราชินี  สั่งโน่นสั่งนี้  จอมบงการ  และเจ้ากี้เจ้าการไปซะทุกอย่าง  บางทีผมก็คิดไปว่าเธอจิตตกรึเปล่า ผมก็เข้าใจว่าทุกคนคาดหวังในตัวเธอและเธอก็คงจะรู้เลยพยายามทำให้ตัวเองดูเข้มแข็ง  แต่เธอดูคร่ำเคร่งไปซะทุกอย่างจนดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย............


ผมถอนหายใจ แล้วกระชับสามง่ามที่อยู่ในมือพร้อมออกเดิน  แต่ผมก็ต้องชะงักทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมเอาของสำคัญกลับไปด้วย....คุกกี้ของพีต้า.....ผมหยิบมันขึ้นมาอย่างเบามือสุด แล้วกุมมันไว้ในฝ่ามือหยาบของผมเพียงข้างเดียว ต่างจากเมื่อมันอยู่ในมือของพีต้า เค้าต้องใช้ถึงสองมือในการกอบกุมมัน........สิ่งนั้นชี้ให้ผมเห็นถึงความแตกต่างระหว่างผมกับเค้า........


หลายๆ คนที่เข้ามาอยู่ในกองกำลังม็อกกกิ้งเจย์แห่งนี้ก็ต่างเคยเป็นตัวของตัวเอง เช่นเดียวกับแคทนิส ซึ่งตอนนี้เธอได้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปแล้ว.......สงครามเปลี่ยนทุกสิ่ง......แน่นอน มันอาจเปลี่ยนทุกคน  แต่คนเดียวที่ผมจะไม่ให้เค้าสูญเสียตัวตนไปก็คือพีต้า.....ผมจะไม่ให้เค้าลืมวิธียิ้ม และสาเหตุที่เค้าสมควรจะยิ้มหรือหัวเราะ  ผมจะไม่ให้เค้าลืมวิธีทำขนมหรือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก  ไม่ให้เค้าลืมว่าตัวเองเคยเป็นใคร...........แน่นอน ผมจะปกป้องเค้าเมื่อเวลานั้นมาถึง


พีต้าจะต้องสู้เธอได้แน่แคทนิส.....แต่นั้นคงไม่พอสำหรับสงครามในครั้งนี้ ที่ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งอาวุธล้ำสมัย ทั้งกำลังคนที่เยอะกว่าเรา......เค้าจะป้องกันตัวเองได้....หากแต่มันไม่พอ  ฉันก็จะปกป้องเค้าเอง.............


*************************************************************************************************


ใครจะไปรู้ว่าเวลาหนึ่งเดือนจะผ่านไปเร็วขนาดนี้.............


ใช่  ผมไม่รู้เลยว่าหนึ่งเดือน มันจะผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้  สาบานได้เลยว่านี่เป็นหนึ่งเดือนที่เร็วที่สุดในชีวิตของผมเลย.............


ทุกวันที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วของผมได้อุทิศให้กับพีต้า ........สอนเค้าเกี่ยวกับทุกอย่างที่ผมรู้  และเท่าที่เค้าจะสามารถเก็บเกี่ยวไปจากผมได้..........ผมเฝ้ามองพีต้าอยู่ใกล้ๆ  และในเวลาหนึ่งเดือนมานี้ทำให้ผมได้เห็นหลายๆ อย่างของหนุ่มเบเกอรร์รี่จากเขต 12


เค้าเหมือนจะเคร่งเครียดไปหน่อยเพื่อให้ตัวเองเรียนรู้ได้เยอะๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมดุเค้าไปชุดใหญ่เช่นกัน   การเรียนรู้เพื่อทักษะต่างๆ ไม่ใช่ว่าพอให้ผ่านไปได้แล้วก็เริ่มเรียนรู้อย่างอื่น  แต่มันต้องค่อยๆ ซึมซับทุกอย่างที่เค้าต้องรู้  แล้วพอถึงเวลา....เค้าจะใช้มันได้อย่างไม่ลังเลเลยทีเดียว


พีต้าเข้าใจ  เค้าเรียนรู้ทุกอย่างที่ผมสอนได้ดี และคงต้องค่อยเป็นค่อยไปกับเค้าจริงๆ  ถึงกระนั่นความอดทนของผมก็ยังไม่ลดลงเลย (ถ้าเทียบกับแคทนิส.........โอ้ นี่ผมเหน็บเธออยู่รึนี่) ผมทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลงด้วยการพูดคุยเรื่องต่างๆ  ทายปัญหา  หรือแม้กระทั่งเล่นมุขตลกเล็กๆ น้อยๆ กับพีต้า  ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเค้าเป็นคนร่าเริง  มองโลกในแง่ดี  เข้มแข็งแต่ทว่าอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน.........นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยมองเห็น  แคทนิสหรือคนอื่นอาจมองว่าเค้าอ่อนแอ  แต่ผมเห็นความอ่อนโยนในตัวเค้า  ความอ่อนโยนที่เราอาจควรมีให้แก่กันและกันในเวลานี้


ตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้วครับ  ผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมๆไม่มีพนักพิง อยู่ในห้องโถงสำหรับซ้อมการต่อสู้หมายเลขสอง(หรือที่เรามักเรียกกันว่า ห้องโถงฝึกซ้อมหมายเลขสอง) มันกว้างกว่าขนาดสนามฟุตบอลสองสนามรวมกันซะอีก  แต่ในห้องนี้มีแค่ผมนั่งอยู่เพียงคนเดียว  แสงสีส้มของดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ถูกเจาะไว้นับสิบช่อง เป็นแนวยาวตลอดผนังฝั่งตะวันตก  แสงอาทิตย์สาดทับลงมาบนหลังของผมและเลยขึ้นไปยังพื้น ที่อยู่ไกลออกไปข้างหน้าผม


สามง่ามคู่ใจของผมถูกผมปล่อยให้นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างเท้า  ส่วนผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็โน้มตัวลงมาใช้ศอกทั้งสองข้างท้าวกับต้นขาของตัวเองอยู่อย่างกลุ้มใจ  มือทั้งสองของผมเกาะกุมกันอย่างเป็นกังวล..............ใช่แล้วครับ ผมกำลังทั้งกลุ้มใจ ทั้งกังวลเป็นอย่างมาก   วันนี้ครบกำหนดหนึ่งเดือนที่แคทนิสได้ขีดเส้นเอาไว้แล้ว เธอต้องการเห็นความแตกต่างของพีต้า จึงให้เค้าไปสู้กับเธอตัวต่อตัวในห้องโถงฝึกซ้อมหมายเลขหนึ่ง


ผมเลือกที่จะมานั่งรออยู่ในห้องนี้  แทนที่จะไปให้กำลังใจพีต้าอยู่ข้างๆ อย่างที่เคยเป็นมาตลอด   เหตูผลที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะต้องการแน่ใจว่าพีต้าจะสามารถใช้ทุกอย่างได้โดยไม่มีผม ให้เค้าเข้มแข็งแม้อยู่เพียงคนเดียว  ผมกลัวว่าถ้าผมยังอยู่ในนั้นกับเค้า พีต้าจะไม่สู้ต่อแล้วหันมาขอความช่วยเหลือจากผมแทน เนื่องจากตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมใจดีกับเค้าตลอด ถึงจะมีบทที่ต้องทำเสียงเข้มบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนักและพีต้าก็เข้าใจ  ผมกลัวเหลือเกินว่าถ้าผมอยู่ด้วยอาจจะไม่สามารถทนเห็นเค้าโดนทำร้ายได้............นั่นล่ะ ที่ผมกลัวที่สุด


...............กลัวว่าทุกคนจะรู้ว่าผมคิดยังไงกับพีต้า


...............กลัวว่าถ้าพีต้ารู้แล้ว ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม เราคงมองหน้ากันไม่ติด


..............กลัวว่าพีต้าจะไม่ยิ้มให้ผม หรือหัวเราะให้ผมอีก


.............ผมกลัวว่าจะไม่ได้ทำขนมกับพีต้าอีก ถึงแม้ที่ผ่านมาเราจะได้ทำมันเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตามเถอะ


..............มันจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมกลัว...............


(ถ้าไม่รวมว่าเค้าตายนะ เพราะนั่นจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ผมสาบานต่อพระเจ้าเลยเชียวล่ะ)


-------------------------------------------------------------------


 ..................เวลาล่วงมาหลายชั่งโมงแล้วตั้งแต่ตอนเที่ยงที่ผมนั่งรออยู่แบบนี้  ผมอดไม่ได้ที่จะคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพีต้าบ้าง   แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรมากเกินกว่านั่น จู่ๆ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ตรงหน้าผม...............


ตึงงง............!


“ฟินนิค” คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาพูดขึ้นและเสียงนั้นฟังดูอ่อนล้าเต็มที


“พีต้า!” ผมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาพีต้าที่ยืนจับประตูบานใหญ่อยู่ เออ หรือจะพูดให้ถูกผมว่าเค้ากำลังท้าวประตูเพื่อหาที่ยึดมากกว่า แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ............ตอนนี้ดูเค้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน


“นายโอเคไหม” ทันทีที่ไปถึงตัว ผมก็เข้าไปเสนอตัวเป็นที่ยึดแทนประตูให้พีต้า ด้วยการจับแขนเค้ามาพาดบ่าของผมแทน และผมถามออกไปด้วยความเป็นห่วงยิ่ง


พีต้ายิ้มแห้งๆ มาให้ผม และผมก็คิดว่าเค้าคงจะฝืนตัวเองเพื่อให้ยิ้มออกมาได้ “นายต้องถามอย่างอื่นสิ.......ไม่ใช่...โอเคไหม” รอยช้ำตรงมุมปากของเค้าให้ความรู้สึกเจ็บออกมาอย่างเห็นได้ชัด


“งั้น  นายชนะแคทนิสรึเปล่า” ผมถาม


พีต้ายิ้มอีกครั้งทำให้ผมประหลาดใจนิดๆ ......เจ็บขนาดนี้แล้วนายยังมีอารมณ์ขันอีกอย่างนั้นหรือ......แต่ยิ้มครั้งนี้ดูเหมือนว่าพีต้าจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งไปเลย พร้อมกับที่เค้าพูดว่า “ถ้าฉันแพ้จะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงล่ะ  แคทนิสบอกว่าถ้าฉันแพ้ เธอจะลากฉันกลับไปแล้วไม่ให้ฉันเจอใครอีก จนกว่าจะเอาชนะเธอได้............เธอปล่อยมุขจี้ชะมัด นายว่าไหมล่ะ ฮ่าๆ”


คำตอบของพีต้าทำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าพีต้าจะทำได้  เค้าค่อยอยู่ใต้เงาของแคทนิสมาตลอด  แต่วันนี้เค้าคงจะสู้จนสุดใจเลยทีเดียว ถึงเอาชนะเธอมาได้  ผมบอกไม่ถูกเลยว่าภูมิใจในตัวเค้ามากแค่ไหน แทบจะยกตัวเค้าลอยได้เลยด้วยซ้ำ  แต่ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าเสียงพูดที่ร่าเริงของพีต้าเมื่อครู่ขาดหายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะท้ายประโยค......เสียงหัวเราะของเค้าแทนที่จะเต็มไปด้วยความดีใจ กลับแหบแห้งลงจนเงียบไป  เหมือนพีต้าโดนต่อยจนจุก  อยู่ๆ พีต้าทรุดตัวลงกับพื้น “อึกก...”



“พีต้า!  นายโอเครึเปล่า” ผมคุกเข่าลงตามเค้าแล้วโอบรอบตัวเค้าไว้


.


.


.


TBC.




------------------------------------------------------------------------------------------------


อร๊ายยยยยยยยยยยยย!!   ชอบประโยคนั้นน่ะ  >>>  "พีต้าจะต้องสู้เธอได้แน่แคทนิส.....แต่นั้นคงไม่พอสำหรับสงครามในครั้งนี้ ที่ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งอาวุธล้ำสมัย ทั้งกำลังคนที่เยอะกว่าเรา......เค้าจะป้องกันตัวเองได้....หากแต่มันไม่พอ  ฉันก็จะปกป้องเค้าเอง............. " <<<<


กรี๊ดดด  ฟินแตกอ่ะ.....ลอกนึกภาพฟินนิคทำหน้าจริงจังแล้วพูดคำนี้ต่อหน้าแคทนิส โดยมีพีต้าอยู่ในอ้อมอกดิ.....สุดยอดอ่ะ   อร๊ายยยยยยยยยยย  ฟิน! //////สลบตาย - 3- /////


แคทนิส ผงะเงิบไปลยอ่ะ 55555

2 ความคิดเห็น:

k-k กล่าวว่า...

เย้! ไม่นึกไม่ฝันว่ามีคนคิดเหมือนเราด้วย และลงมือเขียนฟิคเลยด้วยยยยยยย
ชอบมากค่ะ อยากเจอไรเตอร์จังจะหอมแก้มสักสิบที น่ารักมากอ่าาาาาา
ชอบมาก สู้ๆ พยายามต่อไปนะค่ะะะ ^^

Unknown กล่าวว่า...

ชอบคู่นี้มากกกก แคทนิสหลบไป โอ้ยยอยากอ่านเป็นฟิคยาวเลยไรท์ อ่านแล้วร้อนนนนน