วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[SF – Star Trek] + [Part 3] FONFA – Spock x Kirk , McCoy x Chekov



อร๊ายยยยยยยยยยย!!!!  สวัสดีค่ะรีดๆ ที่รักยิ่งของยิ่งของไรท์ขาา TMT  มาลงฟิค Part นี้นี่น้ำตาซึมไปด้วยเลยค่ะ  คิดว่าจะไม่ได้มาลงซะแล้วค่ะ  ตอนที่คอมเสียแล้วช่างโทรมาบอกว่าอาจกู้ข้อมูลกลับมาไม่ได้นะครับ  หรือหากเอามาได้ก็น้อยมาก  ไรท์นี่ใจหายแวบเลยค่ะ....แต่สุดท้ายแล้ว ฟิคของไรท์ก็ปลอดภัยค่ะ TwT    งานหายทำใหม่ได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าฟิคหายจบกันเลยชีวิต! //ดูความคิดมัน -*-//

อูยยย  ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไรท์หายไปนานเลย  เพราะคอมเสียด้วย เพราะเรื่องเรียนด้วยเลยช้าน่ะค่ะ  แต่วันนี้มาไถ่โทษแล้วค่าาา ^^   จาก Part ที่แล้วก็ส่อแววว่าจะได้เห็นเค้าออกกำลังกายช่วงเอวไปแล้วเนอะ แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกันซะก่อน 555555555

แต่ว่าตอนนี้เค้าอยู่ในห้องของตัวเองแล้วล่ะค่ะ 555555  เชิญรีดๆ ไปตามติดที่ห้องของพวกเค้ากันได้เลยค่ะ ><  //ไรท์ไปส่องลาดลาวแล้วล่ะ คนหนึ่ง 5555// 

จิมมี่ที่รัก >////<





-----------------------------------------------------------------------------------------




เจมส์ ไทบีเรียส เคิร์ก หอบหายใจเอาไอร้อนผะผ่าวออกมาอย่างแรงจนเห็นได้ชัด  ร่างเล็กบอกตัวว่าให้ลืมการขัดขืนในตอนแรกของตัวเองเสีย จะอย่างไรสป็อคก็เก่งเสมอ อีกฝ่ายหนึ่งจุดประกายไฟในอกของเค้าได้เสมออยู่แล้ว  ดังนั้นกัปตันเคิร์กจึงเหลือบตามองรองกัปตันของตัวเองด้วยหางตา



.



.



.



*******************************************************************************




.



.



.



ตึ้งง!

“ฮา...ฮาา สป็อค! อ้า!” ร่างเล็กลั่นชื่อของอีกฝ่ายออกมาและคำรามในลำคออย่างทรมาน  จิมเกร็งนิ้วและหนีบขาปัดป้ายเสียดสีกับสีข้างของสป็อคไปมา  ไม่ได้จดจ่ออยู่กับการใช้ขายืนอีกต่อไปเนื่องจากอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นวัลแคนหนุ่มแน่นเต็มวัยและมีความแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไปกำลังยืนแทนเค้าอยู่

“สป็อค!” จิมตะโกนอีก มือปัดป้ายไปตามผนังซีเมนต์เสริมเหล็กกล้าที่ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรให้ยึดเกาะแต่เค้าก็ยังอยากที่จะขอพักพิงกับมันราวกับว่าจะขอยืมที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ลาดเอียงลงจากตำแหน่งของตัวเองได้ 

ร่างเล็กร้องเสียงดังอีกสองสามคำต่อจากนั้น มันฟังดูทรมานและเจ็บปวดเป็นอย่ายิ่ง......แต่ทว่าความจริงแล้วกลับไม่ใช่เลย  เสียงครวญครางที่คลอเคล้ากับการอุทานชื่อของอีกฝ่ายนั้นบังเกิดมาจากความเสียวซ่านที่กระตุ้นสันไปจนหมดทุกส่วน  ร่างเล็กรู้สึกได้เลยว่าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วนอกจากการทำรักแล้วทำรักอีก......ถึงแม้จะถูกสอดใส่ซ้ำไปซ้ำมาแต่กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่พอ  ความร้อนรุ่มของพื้นดาววัลแคนอาจเทียบเทียมไม่เท่าความร้อนที่ก่อตัวขึ้นในกายของเจ้าตัวได้และจิมมั่นใจว่าสป็อคเองก็เช่นกัน

ฟอนฟาของวัลแคนเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ  มันช่างวิเศษจริงๆ แม้แต่ตัวร่างเล็กเองที่เป็นเพียงแค่มนุษย์ก็ยังรับรู้ได้ถึงการหลั่งไหลที่ไม่รู้จักคำว่าพอนั้น  แล้วเมื่อไรมันจะถึงเวลาหยุดล่ะ?  จิมนึกคำถามเลือนรางนี้ขึ้นมาในหัวสมองอันขาวโพลนของตนเองพลางเด้งสะโพกขึ้นหนีบางสิ่งที่กำลังแหวกกายของเจ้าตัวอยู่อย่างเร้าร้อนและเคลื่อนเข้าออกเสียจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ  มีน้ำมากมายไหลออกมาจากช่องทางของมนุษย์โลกที่ตัวเล็กกว่า บ่งบอกได้ชัดเจนว่าพวกเค้าทำกันมามากมายกี่ครั้งแล้วจนมันล้นออกมาอยู่นอกตัวของร่างเล็ก......แต่หากถามจริงๆ จิมก็สามารถออกปากตอบด้วยความไม่เขินอายได้ว่ารู้สึกยินดีแค่ไหนที่ฟอนฟาของวัลแคนมาถึง และไม่อยากให้มันจบลงเลยแม้แต่นิดเดียว  อูฮูร่าคงจะคิดว่ากัปตันของเธอบ้าไปแล้วแน่ๆ หากรู้ว่าจิมรู้สึกนึกคิดเช่นไร (แต่ความจริงแล้วจิมไม่รู้ว่าเธอเองก็ไม่เคยรับรู้ช่วงถึงฟอนฟาของวัลแคนมาก่อนด้วยเช่นกัน มันเป็นเพี้ยงมุกอำเพี้ยนๆ ที่อูฮูร่าไม่เคยได้ใช้กับใคร)

“โอ้พระเจ้า....สป็อค” ร่างเล็กจิกปลายนิ้วไปบนผนังเย็นเชียบ และขบกัดริมฝีปากอย่างเสียวซ่าน

ร่างสูงเจ้าของชื่อบีบสะโพกของคนด้านหน้าเอาไว้แน่น ขาแข็งแรงของเค้าหยัดตรงแต่ย่องอข้อต่อเพื่อให้เอื้อยอำนวยต่อการขยับ “จิมคุณก็รู้ว่าการเอ่ยเรียกชื่อผมไม่ได้ก่อให้เกิดตัวช่วยในการร่วมรักของเราเลยแม่แต่น้อย  แต่ต้องขอยอมรับว่ามันสร้างปฏิกิริยากระตุ้นให้ผมได้อย่างน่าประหลาด” สป็อคหยัดเอวขึ้นครั้งหนึ่งและมันไม่เบานัก

“อ๊าา!” จิมเริ่ดหน้าขึ้นและร้องเสียงค่อนข้างดัง สงสัยมันจะไปสะกิดจุดนั้นของเจ้าตัวเข้า

“และผมขอยืนยันให้คุณทำแบบนั้นต่อไป...” สป็อคดูลามกแต่มันอาจเป็นผลข้างเคียงจากช่วงเวลาสำคัญนี้

“อื้ออ!

“...ผมรู้สึกชอบเสียงของคุณยามนี้มากเหลือเกินจิม” แล้ววัลแคนหนุ่มก็ดันตัวเข้าใกล้ผนังห้องมากขึ้นอีก

“อ่าา! ลึกไปแล้วสป็อค...ลึกไป! อาา โอ้พระเจ้า เบาหน่อยเบาหน่อยฉัน...อ้าา อาๆๆ” สป็อคเริ่มขยับแล้ว “คลอนแล้ว อ่าา...า ฮือ อา จะหล่นแล้ว” จิมเกร็งตัวเต็มที่เพราะความเสียวซ่านแต่มือก็ควานจิกนิ้วไปทั่วกำแพงราวกับว่ามันมีรองขรุขระให้ยึดเกาะได้จริงๆ  และด้วยเหตุที่วัลแคนแรงเยอะกว่ามนุษย์ถึงสามเท่านั้นเองคนที่รองรับร่างกายของวัลแคนเข้าไปจึงใกล้ไถลลงจากผนังเย็นเชียบ  จิมผวาเข้ากอดไหล่กว้างของสป็อคไว้ทันทีแล้วจิกเล็บแน่นเมื่อจังหวะการขยับกายไม่ได้ช้าลงเลย

“อืออ....อืออ  อ่าา  อ๊ะ โอ้พระเจ้า!....เจ็บ สป็อค เจ็บ  อ๊า! อาๆๆ” ร่างเล็กกดหน้าลงกับลาดไหล่แข็งแรงของวัลแคนแล้วเผลอลงฟันไปเต็มเขี้ยวด้วยความกระสันที่พาให้กายสั่นระริก  สป็อคหอบหายใจหนักหน่วงและคำรามในลำคอเมื่อโดนกัด

“อ๊าา ลึกไป...อือ ฮาา....โอ้ อ่าา” ถึงแม้จะบอกว่าสภาพการณ์ย่ำแย่แค่ไหนแต่ร่างเล็กก็ตวัดลิ้นขึ้นไปเลียใบหูของอีกคนหนึ่งด้วยความรู้หน้าที่ทันที  ร่างสูงจึงเร่งเครื่องขึ้นและไปกระตุ้นให้คนในอ้อมกอดต้องขบใบหูแหลมนั้นอย่างตื่นตัว แต่ก็ไม่เต็มแรงนัก

สป็อคไม่ได้คิดสิ่งใดอยู่ในหัวอีกแล้ว  ความขาวโพลนสว่างวาบไปทั่วสมองอันชาญฉลาดของเค้า  มีเพียงเสียงของความทรมานเสียวซ่านและใบหน้ารื้นน้ำตานั้นของจิมเท่านั้นที่เค้ารับรู้และสนใจ  วัลแคนหนุ่มดันตัวร่างเล็กไปผิงผนังแล้วเริ่มประกบกายบดขยี้ด้วยความเร็วที่จุดชนวนความร้อนได้เป็นอย่างดี

“อาา  สป็อค...อ่า  ฉัน...อืม....อ่าา ฉันจะไปแล้ว...ใกล้แล้ว อ๊า..อ้าๆๆๆๆ ฮึก....อ๊าา!” ขาขาวที่หนีบข้างลำตัวแกร่งเพื่อยึดเกาะ แต่บัดนี้มันกลับกางออกและเหยียดชี้ไปทั่วจากการกระตุกเกร็งที่พุ่งทะลักออกมาจากกาย

“อาา....จิม  อึก!” และพร้อมกันนั้นแรงตอดรัดยามเมื่อได้ปลดปล่อยของร่างเล็กก็ทำเอาร่างสูงด้านล่างถึงกับต้องตามไปติดๆ 

“ฮู้ว ฮา...ฮา...ร้อนชะมัดเลย  อะ ไอ้นั่นของนาย อยู่ในตัวฉันมัน.....อ้าา!” ร่างเล็กที่หอบจนตัวสั่นเทิ้มยังทันพูดไม่ทันจบประโยคดีก็โดนยกขึ้นแนบตัวแล้วถูกโยนลงบนเตียงเสียแล้ว

อย่าบอกนะว่าต่อยกสองน่ะ.......อ่อใช่  สป็อคเป็นฟอนฟานี่หว่า!

“โอ้ ให้ตายเถอะ  ไว้ชีวิตฉันด้วย” จิมพึมพำในตอนที่สป็อคโถมกายคร่อมทับ

“คุณพูดอะไรเหรอจิม?” ร่างสูงถามแต่ไม่ได้ใคร่สนใจในคำตอบนัก  ริมฝีปากบางที่อุ่นร้อนยิ่งกว่าพื้นดาววัลแคนซุกไซร้และไล้จูบไปตามลำคอขาวที่เริ่มชื้นเหงื่ออีกครั้งด้วยความร้อนรุ่มของร่างเล็ก

“อ๊าา!” และดูเหมือนว่านิ้วมืออันแสนวิเศษของร่างสูงจะทวีความพิเศษขึ้น  ทุกครั้งที่สป็อคแตะจิมก็จะสะดุ้งเร้า  บิดเกร็งและครวญคราง......

ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์กับอีกสิบสี่ชั่วโมงต่อจากนี้



.



.



และในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน  ถัดไปอีกหลายห้อง

“อื้อ คุณหมอ...อ๊า! หมอแมคคอย  ผมจะ...อ้าา!” เด็กหนุ่มผวากอดชายที่ประคองสะโพกกลมกลึงของตนเองเอาไว้แน่น

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมเชคอฟว่าให้เรียกแมคคอยเฉยๆ ตอนนี้เราไม่เรียกฉันว่าหมอหรอก  อาา”

“อ่าา  คะ ครับ คุณหมอ”

“ให้ตายสิ” แมคคอยถอนหายใจพรืด ถึงแม้จะหอบหายใจหนักอยู่ก็ตาม “เด็กไม่ฟังคำสั่งหมอจะต้องโดนยังไงรู้ไหมเชคอฟ?” แมคคอยก้มลงขบกัดติ่งหูเด็กหนุ่มด้านล่างอย่างแผ่วเบา แต่คนโดนคาดโทษกลับหดคอหนีแล้วสั่นระริกราวกับลูกนกขาดพ่อแม่ที่โดนลมหนาวพัดโหมใส่  ดังนั้นคนที่คอยโอบรัดด้านบนจึงเร่งให้ความอบอุ่นด้วยการกระทันกายเข้าไปลึกขึ้นและโอบกอดให้กระชับมากขึ้นด้วย

อ๊า! อ้า! อ่าๆๆๆ ฮึก อาา...า อาๆๆ” เชคอฟหลับตาปี๋ น้ำตาแห่งความเสียวซ่านไหลลงมาในทันใดเมื่อคนด้านบนเร่งจังหวะจนเจ้าตัวสั่นคลอนไปหมดแต่โชคดีที่ร่างสูงคอยกอดไว้จึงไม่ถลาไป

ลงโทษไงล่ะเด็กน้อย”

“อ๊า! คุณหมอ...หมะ  อ๊าา”

แมคคอย เชคอฟ...อ้า” บุราแดนใต้ดุอีกรอบก่อนจะมอบลงโทษที่ทำให้เกิดเสียงครางหวีดหวิวดังลั่นไปทั่ว  แต่แทนที่มันจะเจ็บปวดกลับหลอมละลายเด็กหนุ่มให้ตัวสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั้นด้วยความเสน่หาและกระสันอยาก

เค้าไม่ใช่วัลแคน  ไม่ได้อยู่ในช่วงที่โหยหาการผูกกายกับใครแต่ทว่าแมคคอยก็ดูกระหายและช่ำชองมากเกินกว่าจะมองข้ามไป  ผ้าปูที่นอนต่างหลุดลุ้ยออกมาจากขอบ  มันยับย่นอยู่ใต้ร่างของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งขยำแน่นไปที่แผ่นหลังสีแทนของชายด้านบนอย่างเสียวซ่านเมื่อแมคคอยจับขาข้างหนึ่งของเชคอฟให้อ้าออกกว้างแล้วประกบติดกายเข้าออกได้แนบชิดมากขึ้น

ร่างสูงดูเชี่ยวชาญเป็นที่สุดกับการกระตุ้นจุดกระสันแห่งความต้องการของเด็กหนุ่ม  แมคคอยรั้งคอเชคอฟมาแล้วส่งปลายลิ้นลงไปตวัดเลียตามแนวเส้นลำคอน้อยๆ นั่นให้เจ้าตัวได้เริดหน้าส่งเสียงครางสั่นพร่าไปพลางๆ ก่อนจะวาดลิ้นขึ้นไปทักทายกับใบหูเล็กเป็นการพิเศษ

เชคอฟแอ่นกายและลำคอจนมันเหยียดตรงดูเชิญชวนอย่างเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง และพร้อมกันนั้นเด็กหนุ่มก็ส่งเสียงร้องออกมาจากก้นบึ้งแห่งความต้องการอย่างไม่ทันได้ปิดกั้นใดๆ ทั้งสิ้น  ร่างสูงรู้เสมอว่าจุดไหนที่ทำให้เด็กน้อยของเค้าต้องดิ้นเร้าและส่งเสียงร้องราวกับขอชีวิตด้วยน้ำเสียงที่แสนหวานเช่นนั้นได้

ใช่ แมคคอยชอบตรงนั้นแหละ  เค้าชอบมันมาก  ดังนั้นเค้าจึงไม่รอช้าที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง  ร่างสูงจากไอโอว่าจับขาข้างหนึ่งของคนด้านใต้ให้อ้าออกแล้วสอดกายด้วยความเร็วอันสม่ำเสมอ  อีกมือหนึ่งของเค้าก็จับลำคอขาวนวลราวกับเด็กๆ นั้นให้เเหงนเอียงอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่เค้าจะได้ใช้ลิ้นของตัวเองหยอกล้อกับเชคอฟให้มากยิ่งขึ้นอีก  ใบหน้าคมคายคลอเคลียอยู่กับใบหูนิ่มนั้นจนแทบจะกลืนเป็นส่วนเดียวกันอยู่แล้วรอมร่อ

แมคคอยดูสนุกและจดจ่ออยู่กับส่วนอ่อนนุ่มที่ข้างเรือนผมของเชคอฟมากเป็นพิเศษแต่ถึงกระนั้นเค้าก็ยังคงทำหน้าที่ของการสอดประสานได้อย่างดีเยี่ยม  ร่างเล็กที่เหมือนกำลังถูกกัดกินจากชายด้านบนขวนแผ่นหลังสีคมเข้มนั้นจนเป็นรอยชัด  ร้องเสียงหลงหวีดหวิดแล้วปลดปล่อยออกมาในที่สุด  เชคอฟสั่นกระตุกอยู่หลายทีราวกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเปิดบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก  ก่อนจะต้องทำหน้าที่เพื่อแมคคอยต่อไปอีกพักหนึ่ง  และเด็กหนุ่มก็เป็นอันต้องตัวสั่นกระตุกอยู่หลายรอบทีเดียวกว่าร่างสูงจะพอใจ

เชคอฟชอบตรงไหนเค้าก็รู้หมดนั่นแหละ......ก็เออ เค้าเป็นหมอนี่นะ



*************************************************************



อู่วว  คุณต้องไม่เชื่อแน่! พอถึงรุ่งเช้าทุกอย่างกลับสู่ความเป็นจริง  วันคืนสู่เหย้าที่ได้กลับมายังโลกของทุกคนได้ผ่านพ้นไปแล้วถึงหนึ่งคืน  คุณก็รู้ใช่ไหม พวกเค้ามีนัดรายงานตัวกันวันนี้และถือเป็นหน้าที่ที่ๆ ต้องทำ  แม้แต่หมอแมคคอยที่แทบจะแบกเชคอฟมารายงานตัวเค้าก็มาพร้อมหน้าเหมือนกับทุกๆ คนจนได้  แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อท่านนายพลถามว่ากัปตันและรองกัปตันของพวกเค้าหายไปไหนเสียล่ะ?

เกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอ?!

ไม่......ไม่มีใครรู้เลย  ทุกคนมองหน้ากันเลิกลัก  อันที่จริงต้องพูดว่ามองเลิกลักกันให้ขวักเสียมากกว่า......ก็แหงล่ะ เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนสป็อคเพิ่งฟอนฟากำเริบกับจิมที่ไปติดอาการฟอนฟากำเริบมาจากเจ้าตัวแพร่เชื้ออีกทีหนึ่ง 

จะเว้นก็เสียแต่คุณหมอใหญ่ประจำยานน่ะล่ะที่ยืนนิ่งกลอกตามองเพื่อนร่วมยานอยู่ซ้ายทีขวาที  แมคคอยดูสงบนิ่งและจดจ่ออยู่กับการมองหน้าที่ดูโง่และตลกของลูกเรือที่อยู่ข้างๆ......และแน่นอน เรื่องนี้เชคอฟเองก็รู้ แต่คุณจะโทษเค้าที่ไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกนะเพราะเค้าเป็นแค่เด็ก  เด็กน่ะเข้าใจไหม  ซึ่งในกรณีเชคอฟนั้นนับว่าอายุน้อยมากในสตาร์ ฟลีท

ดังนั้น ชายที่มีวุฒิภาวะมากกว่าและสามารถทนทานต่อความกดดันได้มากกว่าจึงก้าวออกมาข้างหน้า  ยืนเด่นเหนือคนอื่นๆ แล้วพูดว่า “สองคนนั้นติดไข้วัดร้ายแรงตอนที่เรากลับมา  อาการแย่ลงมากผมเลยบอกให้พวกเค้าพักผ่อน  วันนี้กัปตันเคิร์กและผู้การสป็อคเลยมาไม่ได้ครับ” เสียงแมคคอยดูหนักแน่นและกรำประสบการณ์ในอาชีพของการเป็นหมอ

และไม่มีใครรู้ว่าสองคนที่ถูกเอ่ยถึงนั้นมีอาการเช่นที่แมคคอยได้ว่าเอาไว้จริงหรือไม่   แต่ว่าในเมื่อมันออกมาจากปากของหมอผู้มากประสบการณ์และตรงไปตรงมาของแมคคอยแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีก  ก็หมอเค้าไม่โกหกกันหรอก จริงไหม?  แล้วยิ่งทำเพื่อสองคนนั้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ (อันที่จริงควรพูดว่า ทำเพื่อสป็อค) คุณหมอแมคอยที่ทุกคนรู้จักไม่มีวันโกหกเพื่อคนสองคนที่เค้าออกปากบ่นบ่อยที่สุดหรอก

จบการรายงานตัวและกล่าวขอบคุณในที่ประชุมแต่เพียงเท่านั้น ท่านนายพลและสภาหวังว่าทั้งกัปตันเคิร์กและผู้การของเค้าจะหายจากไข้หวัดอาการรุนแรงนั้นได้โดยไว

“คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะโกหกไปแบบนั้น  คงไม่มีใครนึกเป็นห่วงถึงขนาดไปเยี่ยมพวกเค้าที่ห้องหรอกนะ” เชคอฟที่นั่งดูดเครื่องดื่มอยู่ที่บาร์หันไปพูดเสียงกระซิบที่ฟังดูตื่นตระหนกกับชายข้างๆ ที่เลี้ยงเครื่องดื่มเค้า

“ก็แล้วจะให้ฉันพูดยังไงล่ะเชคอฟ  บอกสภาว่า โทษทีที่พวกเค้ามาไม่ได้เป็นเพราะกำลังปั่มปั้มกันอยู่ ยังงั้นเหรอ?  บ้าสิ  จากที่จะได้ถูกชื่นชมจะกลายเป็นถูกทำโทษแทนน่ะสิ” แมคคอยทำหน้าหัวเสียอย่างยิ่ง  มือที่วางรอบปากแก้วน้ำสีอัมพันก็หมุนไปมาก่อนจะกระดกมันเข้าปากรวดเดียวหมด

เด็กหนุ่มรัสเซียทรงผมน่ารักมองตามลำคอที่กระดกกลืนเหล้าเข้าไปอย่างแสนละห้อยหา  สิ่งที่เค้าได้มีเพียงน้ำพั้นซ์สีสวยในแก้วเสียบหลอดให้ดูดแต่เพียงเท่านั้น  มันแทบไม่มีแอลกอฮอล์เลย......ไม่สิ ไม่มีแอลกอฮอล์เลยด้วยซ้ำ  แค่มีหลอดเสียบในแก้วมันก็ไม่ได้เรียกว่าน้ำพั้นซ์แล้ว

ซึ่งในตอนนี้ลูกเรือบนยาน U.S.S. Enterprise ที่รอดกลับมากอดโลกทุกคนกำลังดื่มฉลองกันอยู่ในบาร์ประจำของพวกเค้า  ซึ่งแน่นอนไร้ร่องรอยของเจ้าพ่อปาร์ตี้อย่างจิมเคิร์กและคู่วัลแคนหูแหลมของเค้า

เชคอฟทำหน้าหงอยก่อนจะลืมเรื่องที่ถูกประคบประหงมดีจนเกินไปก่อนจะได้ยินเสียงสก็อตตี้เรียกให้ทั้งเค้าและแมคคอยที่นั่งจับเจ่าอยู่ที่บาร์ ให้ออกมานั่งร่วมวงกันที่โต๊ะใหญ่ของกลุ่มคนที่ทำงานอยู่บนสะพานเรือ

“มาเร็วพวก! มาฉลองกัน” แว่วเสียงเค้าเดินมาเข้ามาใกล้แล้ว  คาดว่าในมือคงจะมีวิสกี้อยู่เป็นขวดแหงๆ และที่แน่ๆ เมื่อฟังจากเสียงแล้วต้นกลคนเก่งของ Enterprise คงกำลังกรึ่มได้ที่แล้ว

แมคคอยดันแก้วเหล้าที่ดื่มหมดแล้วออกไป  ขยับตัวแล้วกระซิบใกล้หูเชคอฟเพื่อต่อสู้กับเสียงอึกทึกของเพลงที่ดังลั่นบาร์อยู่ “ไม่ต้องห่วงพวกเค้าน่า” ก่อนคุณสก็อตจะเดินโซเซเข้ามาแล้วกอดคอของทั้งสองเอาไว้ด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่เบานักของคนเมา

“อูฮูร่าถามหาพวกนายอยู่แหนะ  ตอนนี้เรากำลังคุยเรื่องครอบครัวของซูลูอยู่....เฮ้อ และวงของเราขาดพวกนายอยู่นะเพื่อน” ขวดวิสกี้ถูแก้มเชคอฟ เด็กหนุ่มปัดมันออกอย่างสุภาพ  ก่อนร่างสูงของแมคคอยจะยืนขึ้นทำให้สก็อตตี้เลิกเกาะแกะพวกเค้าเสียที

“เกรงว่าคงจะต้องเป็นอย่างนั้นต่อไปนะมอนท์โกเมอรร์รี่  เพราะพวกเรากำลังจะกลับแล้ว” แมคคอยดึงมือของเด็กหนุ่มที่หันมามองหน้าเค้าตาละห้อย  และหันไปกระซิบข้างหูของคนที่มีน้ำใจมาชักชวนด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นห่วง “อย่าดื่มมากล่ะสก็อต  เรื่องแย่ครั้งล่าสุดที่นายทำตอนเมาฉันยังจำได้อยู่เลย  แต่จะว่าไปนายเมาแล้วมันก็ไม่น่าดูทุกทีนั่นแหละนะเพื่อน”

คนพูดตบไหล่หนักแน่นอย่างจริงใจแบบใจถึงใจ  สก็อตตี้งงเพราะคนเมามักจะประมวลผลช้า  ก่อนแมคคอยจะหันไปขยิบตาให้กับเพื่อนๆ ในสะพานเรือที่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะแล้วเดินออกไปพร้อมกับเชคอฟ  ซูลูและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ว่ากระไร เพียงแค่ยกแก้วขึ้นเหนือศีรษะเป็นเชิงบอกลาและขอให้กลับบ้านโดยปลอดภัย  แมคคอยหันหลังเดินไปหาประตูแล้วแต่ก็ยังยกมือขึ้นข้างหนึ่งเพื่อตอบรับอย่างรู้กัน   ส่วนสก็อตตี้ที่ยืนกำคอขวดวิสกี้อยู่นั้นก็ยิ้มแล้วชูขวดไล่หลังหมอไป  ถึงแม้เค้าจะยังคงงงอยู่ก็ตาม

“อา  ความเงียบบริสุทธิ์” ร่างสูงเดินนำมาที่รถพลางทำท่าสดชื่น  ถึงแม้นี่จะเกือบค่ำแล้วก็ตามเค้าปล่อยมือจากไหล่ของเชคอฟที่รั้งโอบมาตั้งแต่ข้างในบาร์เพื่อเปิดประตูรถให้อีกฝ่ายหนึ่ง  เด็กหนุ่มที่เดินตามมาทำหน้าไม่ใคร่ดีนัก  ประตูรถจึงได้แต่ถูกเปิดค้างไว้

“กัปตันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” เชคอฟทำหน้ากังวลมาก  เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนที่เข้าไปในบาร์เค้าเล่าให้แมคคอยฟังว่าจิมเล่าว่าอูฮูร่าพูดถึงช่วงฟอนฟาของวัลแคนไว้ว่าอย่างไร......และบางครั้งเด็กก็มักจะเชื่อคำพูดแรกของเรื่องราวนั้นๆ เสมอ

แมคคอยถอนหายใจ แต่ยิ้มบางๆ “ไม่หรอกเชคอฟ  ฉันบอกไปแล้วไงว่ามันไม่ใช่แบบนั้น” เค้าทั้งสองคนเข้าไปในรถแล้วเชคอฟก็พูดอีกว่า

“จะมีคนเจอพวกเค้าไหมฮะ?” เป็นเรื่องไม่ดีนักหากความแตก และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทุกคนก็จะรู้ว่าแมคคอยโกหกด้วย  เชคอฟเป็นห่วงในเรื่องนั้น  แต่เจ้าของรถกลับเอื้ออมมือออกมาลูบเรือนผมบริเวณท้ายทอยของเด็กหนุ่มไว้  เค้าคลึงมันไปมาก่อนจะยิ้มน้อยๆ

“ผู้สมรู้ร่วมคิดมีแค่ฉันกับนาย  ในตอนที่เรากลับบ้านและไม่มีใครพูดถึงมัน  มันก็จะไม่เป็นอะไรหรอกเชคอฟเพราะทุกคนก็กลับบ้านเหมือนเรา  ไม่มีใครไปสนใจเจ้าพวกนั้นหรอก” เค้าบอกและมันเป็นเรื่องน่าแปลกที่เด็กอัจฉริยะอย่างเชคอฟลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปอาจเป็นเพราะความกังวลและความตื่นเต้นที่ทำให้เจ้าตัวไม่รอบคอบ  เชอคอฟจึงเริ่มวาดยิ้มเลิกกังวลในที่สุด

แมคคอยรั้งคอเด็กหนุ่มมาจูบแล้วเปรยเบาๆ “นายอยากกลับบ้านหรือยังล่ะ  ตอนนี้ฉันอยากกลับจะแย่อยู่แล้ว” เค้าหมายถึงบ้านของตัวเอง  แต่จู่ๆ เด็กหนุ่มก็กลับโผล่งขึ้นมาเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ่า ใช่! ผมต้องกลับไปเยี่ยมคุณย่าก่อน  คุณย่าคงจะคิดถึงผมมาก” เด็กหนุ่มยิ้มร่าขึ้นมาเพราะในตอนนี้คุณย่าที่รักคงจะถามหาเจ้าตัวแย่แล้ว  เชคอฟเองก็เช่นกัน  แต่ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับทำหน้าบูดลงเสียอย่างนั้น

“โอ้ ช่าย  กลับบ้านไปหาคุณย่ากันก่อน” แมคคอยพูดเหมือนกำลังถอนหายใจพลางกลอกตาไปมาโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้มองเห็น

ไม่ใช่คุณย่าหรอกที่ทำให้แมคคอยเซ็ง  แต่เป็นพ่อของเชคอฟต่างหาก  เนื่องจากวันแรกที่เจอกันเมื่อแมคคอยบอกอีกฝ่ายหนึ่งว่าเค้าเป็นหมอประจำการอยู่บนยาน U.S.S. Enterprise พ่อของเชคอฟก็หาว่าเค้าเป็นคนขี้โกหก พร้อมทั้งยังบอกอีกด้วยว่าโหงวเฮ้งอย่างเค้าไม่มีวันจะเป็นหมอได้ พร้อมทั้งยังเถียงหัวชนฝาว่าไม่เชื่อคำจากปากหมอที่เฝ้าบอกอย่างไม่มีหวังอีกด้วยความเป็นหมอจริงๆ อีกต่างหาก



.



.



.



TBC.



-----------------------------------------------------------------------------------------------



อร๊ายยยยยยยยย!!!! //กรีดร้อง//  บรดาเมะทำอะไรกันค้าาา >0<  คือทั้งจิมและน้องเช....อูยยย  เบาหน่อยค่ะ ให้พักหายใจกันบ้าง  อิจิมไม่เท่าไรเพราะมันปล้นสวาท  แต่น้องเชนี่สิคะ หมอ...หมอทำงี้ หมอเป็นวัลแคนเหรอคะ  ฟอนฟากำเริบหรืออย่างไร  แหม  กลับโลกมาฟัดน้องซะเต็มที่เลยนะคะ  อิ๊กอิ๊ววววว >/////< 5555 //โดนหมอตบด้วยมีดผ่าตัด//  สงสารเชคอฟนิดๆ ค่ะแต่ก็บอกตัวเองว่าดีแล้วล่ะ  น้องได้รับความรักอย่างดีแล้ว  ฮาาาา  //ต้องเห็นใจเคะสิ//

คือเมื่อคืนดิบเถื่อนมาก พอเช้ามากลายเป็นคนล่ะคนเลยนะคะหมอ  ถ้าไม่ได้หมออิจิมกับสป็อคคงจะตกที่นั่งลำบากทั้งๆ ที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวแน่ๆ เลยค่ะ ><  จิม เธอโชคดีแล้วที่มีเพื่อนอย่างเพื่อนหมอโบนส์คนนี้ //ตบไหล่หมอ//  5555555  แต่จะว่าไปแล้วเรื่องของซูลูก็น่าเอามาขยายเนอะ  เค้ากับคนรักน่ารักมากเลยค่ะ ไหนจะยังลูกสาวตัวน้อยๆ ของพวกเค้าอีก ฮร๊ายยยย  ชีวิตของชาววายนี้ดี๊ดีเนอะ ^^  //เอามือทาบแก้ม//   เอ.....แต่จะว่าไปอีกอย่างหนึ่ง ไรท์เขียนฟิค Star Trek ทีไรสก็อตตี้ออกมาเมาทุกทีเลยค่ะ 555555  ไม่ได้เคืองอะไรกันเป็นการส่วนตัวนะคะ แต่ว่าออกมาได้จังหวะพอดีเลยน่ะค่ะ  ไม่มีใครเมาแล้วออกมาดูดีเท่ามอนท์โกเมอร์รี่เลยน่า 55555

อร๊ายยยยย จะเป็นยังไงต่อไปนะเรื่องราวหลังจากตรงนี้ไป  ถ้าอยากรู้ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ ><  รักรีดๆ มากเลยนะคะ   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคของไรท์ค่ะ 


ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund




1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

โอ้ยยย!!!ขอเลือดกรุ๊ป วาย ด่วนๆค่ะ!!!กรีดร้องงอย่างแรงงฮืออออออเบาๆหน่อยสิสป็อคค!!!!เดี๋ยงนังจิมมี่ก็ตายคาอกพอดี-///-
หมอค่ะ....หมอถนอมน้องหน่อยยย เด็กมันยังเล็กกกก อรั้ยย เขิน เขิ๊น เขินนนน
ชอบมากค่ะ เฝ้ารอทุ๊กวัน ในที่สุดก็มาาฮือออสมกับที่รออออ แต่จะว่าไป...ครอบครัวซูลูนี่ก็น่าอ่านน่ะค่ะไรท์*0*