ขอหยิบยกรูปนี้มาเพื่อประกอบฉากที่เฮย์มิชและเพื่อนคุยเจอฉากที่ฟินนิคกับพีต้าจูบกันค่ะ
555555 หน้าและนิ้วเฮย์มิชคือใช่ชชชช ชอบค่ะ ชอบบบบบบบ 55555
ว๊ากกกกกก ถถถถถ
กราบสวัสดีรีดที่เคารพรักทุกท่านค่ะ M_ _M ก็หายไปร่วมสองอาทิตย์นะคะสำหรับตัวไรท์
555555 (หัวเราะแห้ง)
วันนี้ไรท์มารายงานตัวพร้อมฟินนิคและพีต้าค่ะ ฮาาา สองคนนี้เข้าโหมดหวานและน่ารักกันแล้วค่ะ อยู่ชายคาเดียวกัน พูดกัน
กอดกัน จูบกัน แล้วก็นอนด้วยกัน >///<
อร๊ายยยยย
เป็นช่วงฟ้าหลังฝนที่ดีงามของสองคนนี้เลยค่ะ ฮ่อลลลล
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ขอเชิญรีดๆ ไปอ่านกันเลยค่าาา
--------------------------------------------------------------------------------------
“นายรู้ไหม หาดทรายที่เป็นสีขาวน่ะมีอยู่จริงนะ” ผมกระชับกอดจากด้านหลัง
รู้สึกว่าไหล่ตรงหน้ายุกยิกอีกครั้ง
“จริงเหรอ มันมีอยู่จริงๆ ยังงั้นเหรอฟินนิค?”
พีต้าหันมาหาผม ดวงตาลุกวาว เค้าดูเหมือนต้องการจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เราเจอกัน ผมยักไหล่
“จริงสิ”
“ที่ไหนงั้นเหรอ?” ความอยากรู้อยากเห็นนั้นทำให้พีต้าดูเหมือนเด็ก ซึ่งสำหรับผมเค้าก็เป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา
ผมเม้นปากสูดลมหายใจเข้าไป ทำสีหน้าผ่อนคลายแล้วกอดเค้าที่หันมาหา
“ที่บ้านฉันไง” ผมกระซิบแล้วยิ้มยิ่งฟันใส่เค้า
.
.
***********************************************************************
“เหรอ” พีต้ากัดริมฝีปากแล้วหลุบตาลงต่ำแวบหนึ่ง
“มันคงจะยอดเยี่ยมมากเลย มันน่าสนใจมากใช่ไหม?”
ผมคลายกอดแล้วนั่งขัดสมาธิเว้นระยะให้เค้าได้หายใจอย่างสะดวกมากมาย
“แน่นอน น้ำทะเลเป็นสีเขียวและสีฟ้าถึงแม้จะอยู่ในเขตน้ำลึกมันก็ยังเป็นสีครามอ่อนๆ
อยู่ เราเห็นตัวปลาได้ง่ายดายมาก ฉันเคยใช้ฉมวกแทงปลาซีเบสบนเรือในตอนที่มันว่ายผ่านเราไป
แม้แต่น้ำลึกยี่สิบเมตรเราก็ยังเห็นปะการังบนเรือได้อย่างชัดเจน”
พีต้านั่งอยู่ตรงนั้นข้างหน้าผม นั่งท่าเดียวกันแต่เผยอปากแล้วร้อง “ว้าว เจ๋งจัง
บ้านนายวิเศษไปเลย” ผมหัวเราะ
“ใช่ ฉันรู้ มันเจ๋ง
แต่มันไม่เคยทำให้เรารู้สึกดีเลยในตอนที่สโนว์อยู่ มันสวยงามแต่คนของแคปปิตอลก็มาเก็บเกี่ยวเอาความสุขของเราไปอยู่เสมอๆ”
ผมเห็นพีต้ากลืนน้ำลายแล้วกระพริบตามองผม
ดูคาดหวังอย่างถึงที่สุด
“ฉันเสียใจด้วย”
“ขอบใจ แต่ตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ คนบ้านเรามีความเป็นชาวทะเลอย่างเต็มตัว รู้ไหมพวกเค้าดุดัน ขนาดพิซคีปเปอร์บางคนยังกลัวไม่กล้ายุ่งกับเราเลย”
ผมพูดให้เค้าหายกังวล แต่พีต้าดูเหมือนยังกังวลอยู่
“แล้ว...เอ่อ ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง? ฉันหวังว่าพิซคีปเปอร์คงไม่ทำให้ต้นแบบภาพวาดของฉันหายไปหรอกนะ”
“แน่นอน” ผมส่ายหน้า “ตอนนี้มันก็ยังดีเหมือนเดิมล่ะ”
แล้วผมก็ยิ้มเพราะได้แกล้งเค้า
พีต้าหัวเราะ เราหัวเราะด้วยกัน เค้าดูโล่งใจมากที่ทะเลไม่เป็นอะไรมากกว่าที่รู้ว่าผมยังไม่ตายเสียอีก แต่เอาเถอะ
พีต้าใจดีเป็นห่วงไปซะทุกอย่างนั่นแหละ
เราช่วยกันเก็บรูปเอาไว้อย่างดีมากกว่าครั้งล่าสุดที่พีต้าใส่มันไว้แบบเร่งรีบ ผมเดินไปเก็บพู่กันกับขวดสีในตอนที่ได้ยินเสียงแคทนิสเปิดประตูกลับเข้ามา พีต้าจ้องผมแล้วกลืนน้ำลาย แต่ตลอดทั้งมื้อเย็นวันนั้นเราไม่ได้รับรู้ถึงทีท่าของแคทนิสที่มีต่อรอยสะเด็ดสีในห้องครัวเลยแม้แต่น้อย เธอดูปรกติแต่ผมก็รู้ว่าเธอพยายามอดทน
ผมไม่ได้ตั้งใจให้พีต้ากลายเป็นเด็กซนในสายตาของใครทั้งนั้น
แต่ผมชอบที่ได้เห็นด้านอดทนจนอาจทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากนูนได้ของแคทนิสนะ ฮ่าๆ
คืนนั้นหลังจากเฮย์มิชเรอไปด้วยล้างจานกับแคทนิสไปด้วย เราก็แยกย้ายกันไปนอน ผมนอนกอดพีต้า
ผมนุ่มๆ ที่ส่งกลิ่นมิ้นท์อ่อนๆ ห่อหุ้มจมูกของผม ผมกระชับกอดเค้า พีต้ายังไม่หลับและผมรู้ว่าเค้าพยายามอยู่
“นายนอนไม่หลับ...เพราะยังไม่ชินงั้นเหรอ?”
พีต้าขยับตัวแล้วสั่นหัว หน้าอกของผมแนบกับแผ่นหลังที่หายใจถี่ของเค้า ผมจูบเส้นผมของเค้า จูบใบหู
และแก้มเนียนที่ได้รับแสงแดดจนสุกปลั่ง
แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง
“ฉันคงจะไม่มีวันชินแน่” ก่อนจะขึ้นคร่อมเค้าอย่างรวดเร็วแต่อ่อนโยน
แล้วโน้มตัวลงจูบดื่มด่ำกับโพรงปากที่อ่อนประสบการณ์ของเค้า ผมสอดมือเข้าไปใต้ชายเสื้อของพีต้า เลื่อนสูง เลิกเสื้อขึ้นแล้วเลยไปลูบแผ่นหลังเนียนละเอียดของเค้า เสียงฝ่ามือเสียดสีกับผิวของพีต้าดังขึ้นกลบเสียงจูบเบาบางของเรา
ผมไม่ได้อยากแกล้งด้วยการทำร้ายเค้านักจึงค่อยๆ ไล่ลิ้นด้วยความไม่เร่งรีบ
เรานอนด้วยกันอีก
เหมือนเมื่อวาน ผมถอดกางเกงของพีต้าออก มุดเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวเก่าของเค้า
ผมได้ยินเสียงพีต้าหัวเราะก่อนผมจะเปลี่ยนให้มันเป็นเสียงร้องหลงๆ อันน่าประทับใจด้วยปลายลิ้นของตัวเอง
และอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้พีต้าไม่ได้เงียบเลยตลอดทั้งชั่วโมงนั้น
*********************************************************************************
รุ่งเช้าวันต่อมา ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความปรกติ เรียบง่าย
ครึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อยจากเมื่อวานแต่ก็ยังคงเงียบสงบอยู่ดี เมื่อหลายๆ คนที่ผมเพิ่งรู้ว่าก็กลับมาอาศัยอยู่ในเขต
12 เช่นเดียวกับพีต้า ออกมาจากบ้านของพวกเค้าแล้วพูดคุยร่วมกันรวมทั้งทำกิจกรรมเพื่อเขตที่ถูกทำร้ายของพวกเค้า
พวกเค้าอยากสร้างที่พักเพิ่มจากที่เคยถูกทำลายไปและโรงเก็บอาหารสำหรับปากท้อง ฤดูหนาวใกล้จะมาแล้วและหิมะทำให้พืชพันธุ์ไม่งอกงาม ผมจึงช่วยคนในเขตของถ่านหินขนและแบกไม้มาทำบ้าน เฮย์มิชก็มาด้วยถึงแม้เค้าจะชอบนั่งมองเราแล้วทำท่าปวดยอกบ่อยมากไปหน่อยก็ตาม
ผมรู้สึกดีถึงหลายๆ
อย่างดูดีขึ้นแม้กระทั้งสภาพจิตใจของพวกเค้า
พีต้าเองก็มาช่วย
แต่ส่วนมากผมมักไม่เห็นเค้าอยู่ใกล้ตัวบ่อยนัก มารู้ตัวอีกทีผมก็ถูกคนอื่นทักถามเรื่องชะโงกหน้ามองหาใครบางคนบ่อยเหลือเกิน
ไปเสียแล้ว
แต่มารู้จากชายแข็งแรงที่มีภรรยาทำอาหารอร่อยคนหนึ่งว่าพีต้าออกไปช่วยออกแบบและตกแต่งคร่าวๆ
ให้อาคารที่กำลังสร้างใหม่ คนอื่นๆ
ในเขตชอบมาก ภรรยาของเค้าและหญิงในเขตหลายคนไปช่วยกันเตรียมอาหารในมื้อกลางวันตลอดจนมื้อเย็นของวันนี้ และพีต้าของผมก็ติดสอยห้อยตามพวกเธอไปด้วยเช่นกัน ชายคนนั้นบอกผมยิ้มๆ ว่าที่พีต้าโดนชักชวนไปด้วยก็เพราะ
“เจ้าหนูนั่นทำเรื่องจุ๋มจิ๋มแบบผู้หญิงเก่งใช้ได้เลยล่ะ”
ผมหลุดหัวเราะแล้วบอกว่าคำว่า จุ๋มจิ๋ม คงจะทำให้พีต้าไม่พอใจ...แต่ใช้คำนี้สำหรับเค้ามันก็น่ารักดี
ผมไม่เคยคิดจะพูดให้เค้าได้ยิน แต่เถียงไม่ออกว่ามันเหมาะกับเค้ามาก
“ก็มันเรื่องจริงนี่ เจ้าหนูพีต้าทำอาหารอร่อยยิ่งกว่าฝีมือเราทุกคนช่วยกันทำซะอีก”
ชายกล้ามใหญ่คนนั้นพูด เพื่อนๆ ของเค้า...เอ่อ ผมคิดว่าพวกเค้าคงจะรู้จักกันอย่างดีเป็นแน่ พวกเค้าพากันมองมาที่ผมกับชายคนนั้นแล้วหัวเราะฮึๆ
ในลำคอกันอย่างกับจะเห็นด้วยและสมเพสตัวเองไปด้วยในคราวเดียว
มันทำให้ผมรู้สึกว่าพรสวรรค์ของพีต้าช่างน่าอิจฉาและหายากซะจริง...แต่เฮ้
ถ้างั้นผมก็โชคดีน่ะสิ
ผมลอบยิ้มกับตัวเองในใจให้กับเด็กหนุ่มคนโปรดของผม
และตอนนี้เรากำลังเลื้อยไม้กันอยู่ ความเชียวชาญและกล้ามเนื้อของพวกเค้าทำให้ผมคิดว่าพวกเค้าเหมือนช่างไม้ในเขตของโจฮันน่ามากกว่าที่จะเป็นคนงานเหมืองถ่านหิน แต่เหนือสิ่งอื่นใด พวกเค้าดูมีความสุขที่ได้ทำอะไรเพื่อเขตของตัวเอง
ผมช่วยพวกเค้าแปรรูปไม้ให้เป็นแผ่นกระดานได้ไม่นานก็ถูกตามให้ไปช่วยอีกกลุ่มหนึ่งตั้งเสาเพื่อสร้างโรงเก็บผลผลิต ผมร้อน
ได้ออกกำลังและตัวเหม็นเหงื่อทั้งวันผิดจากเฮย์มิชที่ไม่มีเหงื่อแต่มีกลิ่นเหล้าหึ่งออกมาแทน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นน้ำหอมอ่อนๆ ของเค้าที่เราพอจะทำใจมองข้ามไปได้ เมื่อแสงเริ่มหมดวัน ผมกลับไปที่บ้านของพีต้า แต่ไม่พบเค้าเมื่อไปถึงหน้าประตู
เค้าอาจจะยังช่วยงานในส่วนของตัวเองอยู่ก็ได้ ผมคิด
อย่างน้อยก็ขออาบน้ำก่อนแล้วค่อยไปรับเค้ากลับบ้าน
ก่อนจะพบว่าตัวเองรู้สึกเหมือนคนที่แต่งงานแล้วและกำลังใช้ชีวิตอย่างปรกติสุขกับคนที่รักยังไงยังงั้น หา? ผมคิดอะไรอยู่ พีต้าคงจะไม่ชอบแน่ที่ผมคิดแบบนี้ ขนาดทำให้เค้าอายเหมือนเด็กผู้หญิงพีต้ายังงอนผมเลย ดังนั้นผมจึงส่ายหัวช้าๆ
กับตัวเองแล้วปล่อยมันไป
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมเก็บมาครุ่นคิด หลายครั้งผ่านมานี้พีต้าเอาแต่ถามถึงแต่บ้านของผม เค้าถามว่าเราอยู่กันยังไง
ต้องตัดไม้มาสร้างบ้านเหมือนพวกเค้าไหม มีโรงเก็บผลผลิตรึเปล่า หรือว่าเราไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย เค้าดูสนใจและติดใจ แต่พอถามออกไปหนุ่มเบเกอร์รี่ของผมก็ตอบเพียงแค่ว่าไม่มีอะไร
เท่านั้น
ไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรงั้นเหรอ? นายอยากให้ฉันเชื่ออย่างนั้นทั้งๆ ที่นายเองก็ไม่เคยหยุดถามอย่างนั้นเหรอพีต้า โอ้ ไม่เอาน่า
ผมเกาหัว ยิ้มให้เค้าเงียบๆ คนเดียวแล้วถอดเสื้อเตรียมจะไปอาบน้ำ และพบพีต้ายื่นตัวแข็งทื่อขวางอยู่ระหว่างผมกับประตูห้องน้ำ
ดูเหมือนเค้าเพิ่งจะออกมา
“ไง” ผมทัก ได้ยินเสียงแคทนิสทำน้ำเดือดล้นหม้อซุปอยู่ในครัว
พีต้ายิ้มกระตุกตอบผม ก่อนเค้าจะหน้าแดงแล้วหันไปทางอื่น
อ๋อ โอ้ ให้ตายเถอะพีต้า…ให้ตายเถอะอีกรอบหนึ่ง
ผมยิ้มมุมปากน้อยๆ เดินเข้าไปหาเค้าช้าๆ
ตอนนี้มีแค่เรา แคทนิสยุ่งอยู่ในครัวเพราะทำอาหารไม่เก่งแต่เราก็ยังไว้ใจปล่อยเธอให้อยู่กับมื้อเย็นของเราต่อไป ก่อนผมจะเข้าไปใกล้พีต้าจนแทบรู้สึกถึงลมหายใจแล้วมองดูเค้าก้มหน้าเกือบชิดอกนุ่มนิ่มใต้เสื้อยืดของตัวเอง
และกระเพื่อมมันขึ้นลงอย่างกับคนหายใจไม่ทัน
ดูเหมือนตั้งแต่เราต่างรู้ความรู้สึกของตัวเอง
พีต้าจะแปลกไปเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ดูเหมือนเค้าจะยังไม่ชินกับร่างเปลือยของผมถึงแม้มันจะไม่น่าตกใจอะไรแล้วก็ตาม สำหรับผมในฐานะคนรักการที่อีกคนหนึ่งจะถอดเสื้อให้อีกคนหนึ่งดูมันเป็นเรื่องปรกติไม่ใช่เหรอ
หรือว่าไม่ใช่?
ผมรู้มันเป็นเรื่องปรกติกับทุกคนนั่นแหละ
รวมถึงพีต้าด้วย เพียงว่าเค้า...น่ารัก
ผมก้มลงใช้ริมฝีปากประชิดใบหูของเค้าแล้วพูดเบาๆ
จงใจเปาลมหายใจอุ่นๆ เฉียดใบหูของเค้า
ลดเปลือกตาลงถึงแม้พีต้าจะมองไม่เห็นก็ตาม
“ดูเหมือนแคทนิสจะต้องการคนช่วยในครัวนะ
ฉันว่านายคงไม่อยากให้อาหารเราไม่ย่อยเพราะฝีมือเธอในเย็นนี้หรอกนะ” แล้วลอบยิ้ม ไม่ได้ตำหนิตัวเองเลยที่แกล้งเค้า ก่อนพีต้าจะถอยห่างออกไปแล้วเดินซอยเท้าเข้าไปในครัว ผมได้ยินเสียงแคทนิสถอนหายใจแล้วพูดบางอย่างเหมือนกับโล่งอกที่พระเจ้าส่งพีต้ามา ผมยิ้ม พาดเสื้อบนบ่าแล้วเข้าไปอาบน้ำล้างเศษขี้เลื้อยคันๆ
นั่นออกจากตัวก่อนจะออกมากินมื้อเย็นที่ตั้งตารอของวัน
แคทนิสไม่ได้ฆ่าเราเพราะอาหารเย็น โชคดีที่พีต้าเป็นคนจัดการเองซะส่วนใหญ่
ผมยังแอบคิดตลกร้ายในแบบที่ผิดธรรมชาติของพีต้าอีกด้วยว่าเค้าเทของที่เธอทำไว้ก่อนหน้าทิ้งนอกหน้าต่างไปหรือเปล่า ผมขอบคุณเค้าด้วยสายตา และพีต้าหลบตาก่อนตัวเองจะหลุดยิ้ม ถ้าแคทนิสเห็นคงไม่พอใจแน่ เธอมักจะไม่ชอบให้คนอื่นมองว่าทำอาหารไม่เก่งเท่าผู้ชายเสียเท่าไร เฮ้ ผมว่าก็มีแค่พีต้าคนเดียวนั่นแหละ แต่สำหรับผู้ชายที่ทำอาหารได้คนอื่นเธอก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี
เราทำทุกอย่างเหมือนที่ทำมาตลอดสี่วันที่ผ่านมา เก็บจานไปล้างแล้วเตรียมเข้านอน แต่ทว่าวันนี้บรรยากาศดูสนุกสนานขึ้นเมื่อเราพูดถึงงานของวันนี้ เฮย์มิชผู้ที่ทำงานทุกอย่างโดยไม่ขาดตกบกพร่องพูดบ่อยเป็นพิเศษว่าเค้าทำอะไรบ้าง จนเราเริ่มตงิดว่าเค้ากำลังร้อนตัวอยู่
แคทนิสไล่เค้ากลับบ้านและอุ้มแมวของน้องสาวเข้ามาในบ้าน แต่ผมก็เห็นเฮย์มิชเดินออกไปร่วมวงกับคนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ที่บ้านอีกสามหลังถัดไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อหน่ายเลย ผมเข้าใจชีวิตชายโสดผู้ไม่มีภาระอย่างเค้านะ
คงทำตามใจตัวเองน่าดูและแคทนิสค่อนข้างเบื่อหน่ายเวลาที่เค้ามักเข้ามานั่งพาดขาบนโซฟาในบ้าน
“ฟินนิค” พีต้าเดินโผล่ออกมาจากห้องนั่งเล่นแล้วเรียกผมอย่างไม่มั่นใจ ผมจึงหันไปแล้วบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอยู่ เค้าเลยเดินเข้ามาแล้วเลิกทำตัวช่างใจว่ารบกวนผมอยู่หรือเปล่า พีต้าท้าวแขนกับขอบหน้าต่างข้างๆ ผม มองออกไปข้างนอกที่มีดวงไฟริบรี่นวลตาของบ้านหลังอื่นๆ
ที่อยู่เรียงรายออกไป มันทำให้เราอบอุ่นหัวใจและรู้สึกปลอดภัย
และตอนนี้ผมพบว่าเป็นเรื่องยากมากเกินไปที่จะไม่จ้องมองเค้าที่ยืนอยู่ข้างๆผมอย่างใกล้ชิด พีต้าปลอดภัย
แข็งแรง หายดีแล้ว และมีความสุขอย่างถึงที่สุด
และที่สำคัญเค้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไรอีกเพราะมีผมอยู่ตรงนี้ คอยอยู่ข้างเค้า หัวไหล่ของเรากระทบกัน หน้าต่างกว้างพอให้ผู้ชายสองคนยืนอยู่คู่กัน แต่มันก็เล็กมากพอที่จะทำให้เราได้ยืนเบียดกัน
แค่ได้อยู่ใกล้เค้าและรู้ว่าเค้าปลอดภัยนั่นก็ดีที่สุดแล้วสำหรับผม ผมไม่ต้องการอะไรนอกจากการมีอยู่ของพีต้า ผมยกแขนขึ้นโอบไหล่เค้า สัมผัสหัวไหล่ที่มีอยู่และลูบมันไปมาเบาๆ ด้วยนิ้วมือของตัวเอง อ่า มันช่างดี
ดีเหลือเกิน ผมรู้สึกถึงอีกคนหนึ่งที่หันมองผมและหลีกเลี่ยงการขยับตัวอย่างเนียมอาย ก่อนผมจะเลื่อนมือขึ้นมาดันศีรษะของเค้าให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ผมสอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมสีทองเข้มและมีกลิ่นหอมมิเสื่อมคลายของเค้า มันเยี่ยมมากและทำให้ผมรู้สึกดี
พีต้าฝังจมูกลงบนอกเสื้อที่ยืมจากเฮย์มิชซึ่งซักแล้วอย่างดีของผม และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าพีต้าเองก็โหยหาถึงการมีอยู่ของผมด้วยเช่นกัน พวกเราไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ไม่มี
สงครามผ่านไปแล้ว และชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้น
ผมจูบลงไปบนหน้าผากเนียนนุ่มของเค้า ไล่นิ้วยุกยิกไปตามโคนผมที่เพิ่งแห้งไปหมาดๆ
ก่อนพีต้าจะหันมาแล้วเล่าว่าวันนี้เค้าถูกพวกป้าๆ เรียกใช้บ่อยแค่ไหน
**************************************************************
ร่างสูงและร่างเล็กๆ ของ
ฟินนิค โอแดร์ กับ พีต้า เมลล์ลาร์ก ยืนอิงแอบเคียงคู่กันอยู่ที่บานหน้าต่างในบ้านหลังหนึ่งของหมู่บ้านเกียตริยศซึ่งบัดนี้ไม่ได้รับการล้อมรัว
ปิดกั้นจากบ้านหลังอื่นๆ ในเขตแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองเบียดกันราวกับว่าไม่อยากล้นออกมานอกกรอบหน้าต่าง พวกเค้ากอด และพูดคุยหลังจากจูบกันเสร็จ ก่อนเฮย์มิชและเพื่อนคุยในวงสังสรรค์ของเค้าจะอ้าปากค้างแล้วเห็นด้วยว่าควรเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่กันแบบต่างคนต่างอ้อมแอ้ม
วันรุ่งขึ้นงานเริ่มเดินเหมือนเดิมอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น วันนี้แปลกประหลาดไป ฟินนิคพบว่าหลายคนยิ้มให้เค้าบ่อยเหลือเกิน ทุกครั้งการพูดคุยมักมีรอยยิ้มปะปนอยู่ด้วยแม้มันจะเป็นเพียงแค่เรื่องลมฟ้าอากาศที่ฟินนิคเอ่ยถึงอย่างลอยๆ
ก็ตาม ร่างสูงเลิกคิ้วกับตัวเอง
ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเลิกคิดเรื่องที่ไม่มีเหตุผลนั่นซะ
แม้แต่เฮย์มิชก็มองเค้าบ่อยขึ้น แล้วเดินมาตบไหล่เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้
“นายทำได้เยี่ยมมากไอ้น้อง” เค้าพูดแค่นั้นก่อนจะเดินไปทางนู่นทีทางนี้ทีแก้เก้อ
ฟินนิคทำงานได้หนักและคล่องแคล้วมากกว่าใครหลายๆ
คน เค้าเป็นคนนอกเขตที่ทำให้งานเดินเร็วขึ้นจนเสร็จไวด้วยเวลาที่ร่นลงมาเกือบเท่าตัว
เนื่องจากความกระตือรือร้นของเค้ากระตุนเตือนคนอื่นๆ ในเขตให้ช่วยกัน และไม่นานทุกอย่างก็เสร็จสิ้นในสี่สัปดาห์
บ้านแปดหลังกับโรงเก็บผลผลิตที่แข็งแรงตั้งตระหง่านแทนซากปรักหักพังเก่าๆ
และทำให้คนในเขตรู้สึกดีขึ้น และคนที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยนั่นคือ
ฟินนิค โอนแดร์ จากเขต 4
ผู้อุทิศตัวในช่วงเวลาสั้นๆ ให้เขตแห่งถ่านหินอนึ่งบ้านเกิดของตัวเอง เย็นวันนี้มีงานเลี้ยงจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองกับงานที่เพิ่งเสร็จไป ที่นี่ไม่ได้มีความสุขเช่นนี้มาเนินนานแล้ว นานเสียจนคนสูงอายุที่สุดในเขตยากที่จะบอกได้
หลายคนร้องเพลง มีบางคน(ซึ่งหาได้ยากยิ่ง)เล่นดนตรี ทุกคนกินและหัวเราะ ร่วมดื่มกันอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะเฮย์มิชที่เป็นขาดื่ม เค้ายกเบียร์ชนแก้วกับคนอื่นจนกระเฉาะหกไปครึ่งเลยทีเดียว
ร่างสูงปลีกตัวออกมาหลังจากผู้คนชุลมุนอยู่กับเฮย์มิชที่เริ่มเปลื้องผ้าบนโต๊ะเพราะเมา ชายหนุ่มผิวสีแทนที่ออกสีเข้มขึ้นมากกว่าเดิมในช่วงหลายสัปดาห์มานี้เดินถือแก้วเครื่องดื่มของตัวออกมาจากโรงเก็บผลผลิตที่ทุกคนใช้จัดงานเลี้ยงกัน ไฟฟ้ายังคงมาไม่ถึง ด้านหน้าของโรงเก็บจึงมีกองไฟกองใหญ่จุดขึ้นเพื่อทำให้สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ ทุกคนในเขตมารวมตัวกันที่นี่กันอย่างคึกคัก
แต่ฟินนิคเห็นพีต้านั่งอยู่บนท่อนซุงท่อนใหญ่ห่างจากกองไฟใหญ่ไปหลายเมตร
“เฮ้” ร่างสูงจึงเอ่ยทักเมื่ออีกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเค้า
แล้วหย่อนกายนั่งลงข้างๆ พีต้าที่ใช้มือทั้งสองข้างกอดแก้วของตัวเองไว้ ฟินนิคพบว่ามันเป็นโกโก้อุ่นของเด็กๆ ที่ตามพ่อแม่มาร่วมงาน
“ทำไมนายไม่เข้าไปข้างในล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นนุ่มๆ
และรอยยิ้มที่เคล้าคลอของเค้าก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความใจดี
พีต้ายิ้มบางบ้างแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ล่ะ ฉันคงไม่เหมาะกับที่คนเยอะๆ
แบบนั้น”
ฟินนิควางข้อศอกบนหน้าขาแล้วใช้มันเอียงไปกระทบขาของพีต้าเล็กน้อย
“พวกเค้าถามหานายนะ” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วใส่เค้าแล้วหันหน้ามาหา ก่อนร่างสูงจะทำตัวพองเลียนแบบชายผู้บอกว่าภรรยาของเค้าทำอาหารอร่อยที่สุด
“เจ้าหนูพีต้าที่เก่งเรื่องขีดเขียนบนฝาผนังไปอยู่ไหนแล้วล่ะ?” เค้าท้าวเอวกางไหล่ทำท่าโชว์ช่วงแขนเหมือนชายคนนั้น ก่อนพีต้าจะหลุดหัวเราะแล้วหน้าเปื้อนยิ้มไปตลอด
“เค้าพูดแล้วก็ทำแบบนั้นเหรอ” พีต้าพูดยิ้มๆ และฟินนิคยิ้มโชว์ฟันขาวดูน่าหลงใหลเพื่อบอกว่ามันจริง
“งั้นดีแล้วที่ฉันนั่งอยู่นี่ กริสแบลร์คงจะจับฉันโยนขึ้นไปบนโต๊ะแน่
แล้วบอกคนอื่นว่าฉันทำอะไรในโรงครัวกับดินสอบ้าง
โอ้ ดูนั่นสิ เค้าเมาแล้ว
ถอดเสื้ออยู่ข้างเฮย์มิชแหนะ” พีต้าชี้
ใบหน้าดูมีสีสันขึ้นเยอะเมื่อเห็นคนด้านในทำตัวบ้าบอและมีฟินนิคคอยสัมผัสตัวอยู่ข้างๆ
ร่างสูงมองเข้าไปในโรงเก็บผลผลิตที่เปิดออกกว้าง
เห็นกริสแบลร์เริ่มถอดกางเกง แล้วเค้าก็พ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“เค้าดูเป็นคนดีนะ” ฟินนิคพูดรวมๆ หันไปยิ้มกับพีต้าที่คิดว่าสองคนบนโต๊ะเริ่มสติหลุดไปแล้วพอกัน
ร่างสูงเลือนการฉีกยิ้มให้เป็นรอยมุมปากที่อ่อนโยนและล่องลอยในเวลาต่อมา เค้ารู้สึกดีเหลือเกินที่ได้เห็นพีต้ายิ้มในบ้านเกิดของตัวเอง เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างสูงกำลังคิดถึงเรื่องร้ายๆ
ที่ผ่านมาอยู่ บัดนี้พีต้ามีแต่เพียงความสุขและความบริสุทธิ์ที่เจ้าตัวเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ฟินนิคไม่อยากให้มันหายไปอีก
แต่เค้าก็จำใจต้องพูดบางอย่างออกไป เพราะรู้ว่ามันจะต้องทำให้พีต้าแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไปแน่
“พีต้าคือว่าฉัน...” เด็กหนุ่มยังคงมองดูความเป็นไปในโรงเก็บอยู่
“อีกไม่กี่วันฉันจะต้องกลับบ้านแล้วนะ”
.
.
.
TBC.
------------------------------------------------------------------------------
อ้าว ฟินนิค
จริงเหรอคะ? เอาจริงดิ โอ๊ยยยยยยย
พีต้าอย่าร้องไห้นะแจะ.....ไรท์รู้คะ เดี๋ยวพีต้าจะต้องร้องไห้แน่เลยค่ะ (พูดเป็นปมไว้ให้คนที่แอบเลื่อนมาอ่านกลับไปอ่านเนื้อเรื่องก่อน
5555) + //อิชั่วววว// แกล้งรีด 5555555
แล้วจะเป็นยังไงต่อน้าาา รอติดตาม Part ต่อไปนะเออ จุ๊บๆ ขอบพระคุณและรักทุกท่านมากเลยค่ะ >< ปู่สสสสส เจอกัน Part หน้าค่าาา ไรท์ใกล้สอบแล้วช่วงนี้อย่างเบื่อเลย =..=
....อะไรฟะ อยู่ๆ
ก็บ่น.....
เออ อะไรวะเนี่ย
5555555555
หลังจากงานใหญ่ผ่านไปสองงานแล้วก็มากังวลเรื่องงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายแล้วเทศกาลสอบค่ะ
555555 เบื่อจุงงงงงง ฮ่อยยยยยยย
ไปจริงๆ แล้วค่ะ 5555 แอบมาบ่น
ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น