วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

[Fic – The Hunger Game] + [Part 12] The Possible – Finnick x Peeta




ขอหยิบยกรูปนี้มาเพื่อประกอบฉากที่เฮย์มิชและเพื่อนคุยเจอฉากที่ฟินนิคกับพีต้าจูบกันค่ะ 555555 หน้าและนิ้วเฮย์มิชคือใช่ชชชช  ชอบค่ะ ชอบบบบบบบ 55555

ว๊ากกกกกก  ถถถถถ  กราบสวัสดีรีดที่เคารพรักทุกท่านค่ะ M_ _M ก็หายไปร่วมสองอาทิตย์นะคะสำหรับตัวไรท์ 555555 (หัวเราะแห้ง)  วันนี้ไรท์มารายงานตัวพร้อมฟินนิคและพีต้าค่ะ ฮาาา  สองคนนี้เข้าโหมดหวานและน่ารักกันแล้วค่ะ   อยู่ชายคาเดียวกัน  พูดกัน  กอดกัน  จูบกัน  แล้วก็นอนด้วยกัน >///<

อร๊ายยยยย  เป็นช่วงฟ้าหลังฝนที่ดีงามของสองคนนี้เลยค่ะ  ฮ่อลลลล  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา  ขอเชิญรีดๆ ไปอ่านกันเลยค่าาา



--------------------------------------------------------------------------------------



“นายรู้ไหม หาดทรายที่เป็นสีขาวน่ะมีอยู่จริงนะ” ผมกระชับกอดจากด้านหลัง  รู้สึกว่าไหล่ตรงหน้ายุกยิกอีกครั้ง

“จริงเหรอ  มันมีอยู่จริงๆ ยังงั้นเหรอฟินนิค?” พีต้าหันมาหาผม  ดวงตาลุกวาว  เค้าดูเหมือนต้องการจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เราเจอกัน  ผมยักไหล่

“จริงสิ”

“ที่ไหนงั้นเหรอ?” ความอยากรู้อยากเห็นนั้นทำให้พีต้าดูเหมือนเด็ก  ซึ่งสำหรับผมเค้าก็เป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา ผมเม้นปากสูดลมหายใจเข้าไป ทำสีหน้าผ่อนคลายแล้วกอดเค้าที่หันมาหา

“ที่บ้านฉันไง” ผมกระซิบแล้วยิ้มยิ่งฟันใส่เค้า



.



.



***********************************************************************



“เหรอ” พีต้ากัดริมฝีปากแล้วหลุบตาลงต่ำแวบหนึ่ง “มันคงจะยอดเยี่ยมมากเลย  มันน่าสนใจมากใช่ไหม?”

ผมคลายกอดแล้วนั่งขัดสมาธิเว้นระยะให้เค้าได้หายใจอย่างสะดวกมากมาย “แน่นอน  น้ำทะเลเป็นสีเขียวและสีฟ้าถึงแม้จะอยู่ในเขตน้ำลึกมันก็ยังเป็นสีครามอ่อนๆ อยู่  เราเห็นตัวปลาได้ง่ายดายมาก  ฉันเคยใช้ฉมวกแทงปลาซีเบสบนเรือในตอนที่มันว่ายผ่านเราไป  แม้แต่น้ำลึกยี่สิบเมตรเราก็ยังเห็นปะการังบนเรือได้อย่างชัดเจน”

พีต้านั่งอยู่ตรงนั้นข้างหน้าผม  นั่งท่าเดียวกันแต่เผยอปากแล้วร้อง “ว้าว  เจ๋งจัง  บ้านนายวิเศษไปเลย”  ผมหัวเราะ

“ใช่ ฉันรู้  มันเจ๋ง  แต่มันไม่เคยทำให้เรารู้สึกดีเลยในตอนที่สโนว์อยู่  มันสวยงามแต่คนของแคปปิตอลก็มาเก็บเกี่ยวเอาความสุขของเราไปอยู่เสมอๆ” ผมเห็นพีต้ากลืนน้ำลายแล้วกระพริบตามองผม  ดูคาดหวังอย่างถึงที่สุด

“ฉันเสียใจด้วย”

“ขอบใจ  แต่ตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ  คนบ้านเรามีความเป็นชาวทะเลอย่างเต็มตัว  รู้ไหมพวกเค้าดุดัน ขนาดพิซคีปเปอร์บางคนยังกลัวไม่กล้ายุ่งกับเราเลย” ผมพูดให้เค้าหายกังวล  แต่พีต้าดูเหมือนยังกังวลอยู่

“แล้ว...เอ่อ ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง?  ฉันหวังว่าพิซคีปเปอร์คงไม่ทำให้ต้นแบบภาพวาดของฉันหายไปหรอกนะ”

 “แน่นอน” ผมส่ายหน้า “ตอนนี้มันก็ยังดีเหมือนเดิมล่ะ” แล้วผมก็ยิ้มเพราะได้แกล้งเค้า

พีต้าหัวเราะ  เราหัวเราะด้วยกัน  เค้าดูโล่งใจมากที่ทะเลไม่เป็นอะไรมากกว่าที่รู้ว่าผมยังไม่ตายเสียอีก  แต่เอาเถอะ  พีต้าใจดีเป็นห่วงไปซะทุกอย่างนั่นแหละ

เราช่วยกันเก็บรูปเอาไว้อย่างดีมากกว่าครั้งล่าสุดที่พีต้าใส่มันไว้แบบเร่งรีบ  ผมเดินไปเก็บพู่กันกับขวดสีในตอนที่ได้ยินเสียงแคทนิสเปิดประตูกลับเข้ามา  พีต้าจ้องผมแล้วกลืนน้ำลาย  แต่ตลอดทั้งมื้อเย็นวันนั้นเราไม่ได้รับรู้ถึงทีท่าของแคทนิสที่มีต่อรอยสะเด็ดสีในห้องครัวเลยแม้แต่น้อย  เธอดูปรกติแต่ผมก็รู้ว่าเธอพยายามอดทน

ผมไม่ได้ตั้งใจให้พีต้ากลายเป็นเด็กซนในสายตาของใครทั้งนั้น

แต่ผมชอบที่ได้เห็นด้านอดทนจนอาจทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากนูนได้ของแคทนิสนะ  ฮ่าๆ

คืนนั้นหลังจากเฮย์มิชเรอไปด้วยล้างจานกับแคทนิสไปด้วย  เราก็แยกย้ายกันไปนอน  ผมนอนกอดพีต้า  ผมนุ่มๆ ที่ส่งกลิ่นมิ้นท์อ่อนๆ ห่อหุ้มจมูกของผม  ผมกระชับกอดเค้า  พีต้ายังไม่หลับและผมรู้ว่าเค้าพยายามอยู่

“นายนอนไม่หลับ...เพราะยังไม่ชินงั้นเหรอ?”

พีต้าขยับตัวแล้วสั่นหัว  หน้าอกของผมแนบกับแผ่นหลังที่หายใจถี่ของเค้า  ผมจูบเส้นผมของเค้า  จูบใบหู  และแก้มเนียนที่ได้รับแสงแดดจนสุกปลั่ง  แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง

“ฉันคงจะไม่มีวันชินแน่” ก่อนจะขึ้นคร่อมเค้าอย่างรวดเร็วแต่อ่อนโยน แล้วโน้มตัวลงจูบดื่มด่ำกับโพรงปากที่อ่อนประสบการณ์ของเค้า  ผมสอดมือเข้าไปใต้ชายเสื้อของพีต้า  เลื่อนสูง เลิกเสื้อขึ้นแล้วเลยไปลูบแผ่นหลังเนียนละเอียดของเค้า  เสียงฝ่ามือเสียดสีกับผิวของพีต้าดังขึ้นกลบเสียงจูบเบาบางของเรา  ผมไม่ได้อยากแกล้งด้วยการทำร้ายเค้านักจึงค่อยๆ ไล่ลิ้นด้วยความไม่เร่งรีบ

เรานอนด้วยกันอีก เหมือนเมื่อวาน  ผมถอดกางเกงของพีต้าออก  มุดเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวเก่าของเค้า  ผมได้ยินเสียงพีต้าหัวเราะก่อนผมจะเปลี่ยนให้มันเป็นเสียงร้องหลงๆ อันน่าประทับใจด้วยปลายลิ้นของตัวเอง

และอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้พีต้าไม่ได้เงียบเลยตลอดทั้งชั่วโมงนั้น



*********************************************************************************



รุ่งเช้าวันต่อมา  ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความปรกติ  เรียบง่าย  ครึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อยจากเมื่อวานแต่ก็ยังคงเงียบสงบอยู่ดี  เมื่อหลายๆ คนที่ผมเพิ่งรู้ว่าก็กลับมาอาศัยอยู่ในเขต 12  เช่นเดียวกับพีต้า  ออกมาจากบ้านของพวกเค้าแล้วพูดคุยร่วมกันรวมทั้งทำกิจกรรมเพื่อเขตที่ถูกทำร้ายของพวกเค้า

พวกเค้าอยากสร้างที่พักเพิ่มจากที่เคยถูกทำลายไปและโรงเก็บอาหารสำหรับปากท้อง  ฤดูหนาวใกล้จะมาแล้วและหิมะทำให้พืชพันธุ์ไม่งอกงาม  ผมจึงช่วยคนในเขตของถ่านหินขนและแบกไม้มาทำบ้าน  เฮย์มิชก็มาด้วยถึงแม้เค้าจะชอบนั่งมองเราแล้วทำท่าปวดยอกบ่อยมากไปหน่อยก็ตาม 

ผมรู้สึกดีถึงหลายๆ อย่างดูดีขึ้นแม้กระทั้งสภาพจิตใจของพวกเค้า  พีต้าเองก็มาช่วย  แต่ส่วนมากผมมักไม่เห็นเค้าอยู่ใกล้ตัวบ่อยนัก  มารู้ตัวอีกทีผมก็ถูกคนอื่นทักถามเรื่องชะโงกหน้ามองหาใครบางคนบ่อยเหลือเกิน ไปเสียแล้ว

 แต่มารู้จากชายแข็งแรงที่มีภรรยาทำอาหารอร่อยคนหนึ่งว่าพีต้าออกไปช่วยออกแบบและตกแต่งคร่าวๆ ให้อาคารที่กำลังสร้างใหม่  คนอื่นๆ ในเขตชอบมาก  ภรรยาของเค้าและหญิงในเขตหลายคนไปช่วยกันเตรียมอาหารในมื้อกลางวันตลอดจนมื้อเย็นของวันนี้  และพีต้าของผมก็ติดสอยห้อยตามพวกเธอไปด้วยเช่นกัน  ชายคนนั้นบอกผมยิ้มๆ ว่าที่พีต้าโดนชักชวนไปด้วยก็เพราะ

“เจ้าหนูนั่นทำเรื่องจุ๋มจิ๋มแบบผู้หญิงเก่งใช้ได้เลยล่ะ”

ผมหลุดหัวเราะแล้วบอกว่าคำว่า  จุ๋มจิ๋ม คงจะทำให้พีต้าไม่พอใจ...แต่ใช้คำนี้สำหรับเค้ามันก็น่ารักดี  ผมไม่เคยคิดจะพูดให้เค้าได้ยิน  แต่เถียงไม่ออกว่ามันเหมาะกับเค้ามาก

“ก็มันเรื่องจริงนี่  เจ้าหนูพีต้าทำอาหารอร่อยยิ่งกว่าฝีมือเราทุกคนช่วยกันทำซะอีก” ชายกล้ามใหญ่คนนั้นพูด  เพื่อนๆ ของเค้า...เอ่อ  ผมคิดว่าพวกเค้าคงจะรู้จักกันอย่างดีเป็นแน่   พวกเค้าพากันมองมาที่ผมกับชายคนนั้นแล้วหัวเราะฮึๆ ในลำคอกันอย่างกับจะเห็นด้วยและสมเพสตัวเองไปด้วยในคราวเดียว

มันทำให้ผมรู้สึกว่าพรสวรรค์ของพีต้าช่างน่าอิจฉาและหายากซะจริง...แต่เฮ้ ถ้างั้นผมก็โชคดีน่ะสิ

ผมลอบยิ้มกับตัวเองในใจให้กับเด็กหนุ่มคนโปรดของผม

และตอนนี้เรากำลังเลื้อยไม้กันอยู่  ความเชียวชาญและกล้ามเนื้อของพวกเค้าทำให้ผมคิดว่าพวกเค้าเหมือนช่างไม้ในเขตของโจฮันน่ามากกว่าที่จะเป็นคนงานเหมืองถ่านหิน  แต่เหนือสิ่งอื่นใด พวกเค้าดูมีความสุขที่ได้ทำอะไรเพื่อเขตของตัวเอง

ผมช่วยพวกเค้าแปรรูปไม้ให้เป็นแผ่นกระดานได้ไม่นานก็ถูกตามให้ไปช่วยอีกกลุ่มหนึ่งตั้งเสาเพื่อสร้างโรงเก็บผลผลิต  ผมร้อน  ได้ออกกำลังและตัวเหม็นเหงื่อทั้งวันผิดจากเฮย์มิชที่ไม่มีเหงื่อแต่มีกลิ่นเหล้าหึ่งออกมาแทน  แต่นั่นก็ถือว่าเป็นน้ำหอมอ่อนๆ ของเค้าที่เราพอจะทำใจมองข้ามไปได้  เมื่อแสงเริ่มหมดวัน  ผมกลับไปที่บ้านของพีต้า  แต่ไม่พบเค้าเมื่อไปถึงหน้าประตู  เค้าอาจจะยังช่วยงานในส่วนของตัวเองอยู่ก็ได้  ผมคิด  อย่างน้อยก็ขออาบน้ำก่อนแล้วค่อยไปรับเค้ากลับบ้าน

ก่อนจะพบว่าตัวเองรู้สึกเหมือนคนที่แต่งงานแล้วและกำลังใช้ชีวิตอย่างปรกติสุขกับคนที่รักยังไงยังงั้น  หา? ผมคิดอะไรอยู่  พีต้าคงจะไม่ชอบแน่ที่ผมคิดแบบนี้  ขนาดทำให้เค้าอายเหมือนเด็กผู้หญิงพีต้ายังงอนผมเลย  ดังนั้นผมจึงส่ายหัวช้าๆ กับตัวเองแล้วปล่อยมันไป

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมเก็บมาครุ่นคิด  หลายครั้งผ่านมานี้พีต้าเอาแต่ถามถึงแต่บ้านของผม  เค้าถามว่าเราอยู่กันยังไง ต้องตัดไม้มาสร้างบ้านเหมือนพวกเค้าไหม  มีโรงเก็บผลผลิตรึเปล่า  หรือว่าเราไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย  เค้าดูสนใจและติดใจ  แต่พอถามออกไปหนุ่มเบเกอร์รี่ของผมก็ตอบเพียงแค่ว่าไม่มีอะไร เท่านั้น

ไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรงั้นเหรอ?  นายอยากให้ฉันเชื่ออย่างนั้นทั้งๆ ที่นายเองก็ไม่เคยหยุดถามอย่างนั้นเหรอพีต้า  โอ้ ไม่เอาน่า

ผมเกาหัว  ยิ้มให้เค้าเงียบๆ คนเดียวแล้วถอดเสื้อเตรียมจะไปอาบน้ำ  และพบพีต้ายื่นตัวแข็งทื่อขวางอยู่ระหว่างผมกับประตูห้องน้ำ

ดูเหมือนเค้าเพิ่งจะออกมา

“ไง” ผมทัก  ได้ยินเสียงแคทนิสทำน้ำเดือดล้นหม้อซุปอยู่ในครัว

พีต้ายิ้มกระตุกตอบผม  ก่อนเค้าจะหน้าแดงแล้วหันไปทางอื่น

อ๋อ  โอ้ ให้ตายเถอะพีต้าให้ตายเถอะอีกรอบหนึ่ง

ผมยิ้มมุมปากน้อยๆ เดินเข้าไปหาเค้าช้าๆ ตอนนี้มีแค่เรา  แคทนิสยุ่งอยู่ในครัวเพราะทำอาหารไม่เก่งแต่เราก็ยังไว้ใจปล่อยเธอให้อยู่กับมื้อเย็นของเราต่อไป  ก่อนผมจะเข้าไปใกล้พีต้าจนแทบรู้สึกถึงลมหายใจแล้วมองดูเค้าก้มหน้าเกือบชิดอกนุ่มนิ่มใต้เสื้อยืดของตัวเอง และกระเพื่อมมันขึ้นลงอย่างกับคนหายใจไม่ทัน

ดูเหมือนตั้งแต่เราต่างรู้ความรู้สึกของตัวเอง พีต้าจะแปลกไปเมื่อเราอยู่ด้วยกัน  ดูเหมือนเค้าจะยังไม่ชินกับร่างเปลือยของผมถึงแม้มันจะไม่น่าตกใจอะไรแล้วก็ตาม  สำหรับผมในฐานะคนรักการที่อีกคนหนึ่งจะถอดเสื้อให้อีกคนหนึ่งดูมันเป็นเรื่องปรกติไม่ใช่เหรอ  หรือว่าไม่ใช่?

ผมรู้มันเป็นเรื่องปรกติกับทุกคนนั่นแหละ รวมถึงพีต้าด้วย  เพียงว่าเค้า...น่ารัก

ผมก้มลงใช้ริมฝีปากประชิดใบหูของเค้าแล้วพูดเบาๆ จงใจเปาลมหายใจอุ่นๆ เฉียดใบหูของเค้า  ลดเปลือกตาลงถึงแม้พีต้าจะมองไม่เห็นก็ตาม

“ดูเหมือนแคทนิสจะต้องการคนช่วยในครัวนะ ฉันว่านายคงไม่อยากให้อาหารเราไม่ย่อยเพราะฝีมือเธอในเย็นนี้หรอกนะ” แล้วลอบยิ้ม  ไม่ได้ตำหนิตัวเองเลยที่แกล้งเค้า  ก่อนพีต้าจะถอยห่างออกไปแล้วเดินซอยเท้าเข้าไปในครัว  ผมได้ยินเสียงแคทนิสถอนหายใจแล้วพูดบางอย่างเหมือนกับโล่งอกที่พระเจ้าส่งพีต้ามา  ผมยิ้ม พาดเสื้อบนบ่าแล้วเข้าไปอาบน้ำล้างเศษขี้เลื้อยคันๆ นั่นออกจากตัวก่อนจะออกมากินมื้อเย็นที่ตั้งตารอของวัน

แคทนิสไม่ได้ฆ่าเราเพราะอาหารเย็น  โชคดีที่พีต้าเป็นคนจัดการเองซะส่วนใหญ่  ผมยังแอบคิดตลกร้ายในแบบที่ผิดธรรมชาติของพีต้าอีกด้วยว่าเค้าเทของที่เธอทำไว้ก่อนหน้าทิ้งนอกหน้าต่างไปหรือเปล่า  ผมขอบคุณเค้าด้วยสายตา  และพีต้าหลบตาก่อนตัวเองจะหลุดยิ้ม  ถ้าแคทนิสเห็นคงไม่พอใจแน่  เธอมักจะไม่ชอบให้คนอื่นมองว่าทำอาหารไม่เก่งเท่าผู้ชายเสียเท่าไร  เฮ้ ผมว่าก็มีแค่พีต้าคนเดียวนั่นแหละ  แต่สำหรับผู้ชายที่ทำอาหารได้คนอื่นเธอก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี

เราทำทุกอย่างเหมือนที่ทำมาตลอดสี่วันที่ผ่านมา  เก็บจานไปล้างแล้วเตรียมเข้านอน  แต่ทว่าวันนี้บรรยากาศดูสนุกสนานขึ้นเมื่อเราพูดถึงงานของวันนี้  เฮย์มิชผู้ที่ทำงานทุกอย่างโดยไม่ขาดตกบกพร่องพูดบ่อยเป็นพิเศษว่าเค้าทำอะไรบ้าง  จนเราเริ่มตงิดว่าเค้ากำลังร้อนตัวอยู่

แคทนิสไล่เค้ากลับบ้านและอุ้มแมวของน้องสาวเข้ามาในบ้าน  แต่ผมก็เห็นเฮย์มิชเดินออกไปร่วมวงกับคนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ที่บ้านอีกสามหลังถัดไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อหน่ายเลย  ผมเข้าใจชีวิตชายโสดผู้ไม่มีภาระอย่างเค้านะ  คงทำตามใจตัวเองน่าดูและแคทนิสค่อนข้างเบื่อหน่ายเวลาที่เค้ามักเข้ามานั่งพาดขาบนโซฟาในบ้าน

“ฟินนิค” พีต้าเดินโผล่ออกมาจากห้องนั่งเล่นแล้วเรียกผมอย่างไม่มั่นใจ  ผมจึงหันไปแล้วบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอยู่ เค้าเลยเดินเข้ามาแล้วเลิกทำตัวช่างใจว่ารบกวนผมอยู่หรือเปล่า  พีต้าท้าวแขนกับขอบหน้าต่างข้างๆ ผม  มองออกไปข้างนอกที่มีดวงไฟริบรี่นวลตาของบ้านหลังอื่นๆ ที่อยู่เรียงรายออกไป มันทำให้เราอบอุ่นหัวใจและรู้สึกปลอดภัย

และตอนนี้ผมพบว่าเป็นเรื่องยากมากเกินไปที่จะไม่จ้องมองเค้าที่ยืนอยู่ข้างๆผมอย่างใกล้ชิด  พีต้าปลอดภัย  แข็งแรง  หายดีแล้ว  และมีความสุขอย่างถึงที่สุด  และที่สำคัญเค้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไรอีกเพราะมีผมอยู่ตรงนี้  คอยอยู่ข้างเค้า  หัวไหล่ของเรากระทบกัน  หน้าต่างกว้างพอให้ผู้ชายสองคนยืนอยู่คู่กัน  แต่มันก็เล็กมากพอที่จะทำให้เราได้ยืนเบียดกัน

แค่ได้อยู่ใกล้เค้าและรู้ว่าเค้าปลอดภัยนั่นก็ดีที่สุดแล้วสำหรับผม  ผมไม่ต้องการอะไรนอกจากการมีอยู่ของพีต้า  ผมยกแขนขึ้นโอบไหล่เค้า  สัมผัสหัวไหล่ที่มีอยู่และลูบมันไปมาเบาๆ ด้วยนิ้วมือของตัวเอง  อ่า มันช่างดี  ดีเหลือเกิน  ผมรู้สึกถึงอีกคนหนึ่งที่หันมองผมและหลีกเลี่ยงการขยับตัวอย่างเนียมอาย  ก่อนผมจะเลื่อนมือขึ้นมาดันศีรษะของเค้าให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง  ผมสอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมสีทองเข้มและมีกลิ่นหอมมิเสื่อมคลายของเค้า  มันเยี่ยมมากและทำให้ผมรู้สึกดี

พีต้าฝังจมูกลงบนอกเสื้อที่ยืมจากเฮย์มิชซึ่งซักแล้วอย่างดีของผม  และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าพีต้าเองก็โหยหาถึงการมีอยู่ของผมด้วยเช่นกัน  พวกเราไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว  ไม่มี

สงครามผ่านไปแล้ว  และชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้น

ผมจูบลงไปบนหน้าผากเนียนนุ่มของเค้า  ไล่นิ้วยุกยิกไปตามโคนผมที่เพิ่งแห้งไปหมาดๆ ก่อนพีต้าจะหันมาแล้วเล่าว่าวันนี้เค้าถูกพวกป้าๆ เรียกใช้บ่อยแค่ไหน



**************************************************************



ร่างสูงและร่างเล็กๆ ของ ฟินนิค   โอแดร์ กับ พีต้า   เมลล์ลาร์ก ยืนอิงแอบเคียงคู่กันอยู่ที่บานหน้าต่างในบ้านหลังหนึ่งของหมู่บ้านเกียตริยศซึ่งบัดนี้ไม่ได้รับการล้อมรัว ปิดกั้นจากบ้านหลังอื่นๆ ในเขตแล้ว  ชายหนุ่มทั้งสองเบียดกันราวกับว่าไม่อยากล้นออกมานอกกรอบหน้าต่าง  พวกเค้ากอด และพูดคุยหลังจากจูบกันเสร็จ  ก่อนเฮย์มิชและเพื่อนคุยในวงสังสรรค์ของเค้าจะอ้าปากค้างแล้วเห็นด้วยว่าควรเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่กันแบบต่างคนต่างอ้อมแอ้ม

วันรุ่งขึ้นงานเริ่มเดินเหมือนเดิมอย่างค่อยเป็นค่อยไป  แต่ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น  วันนี้แปลกประหลาดไป  ฟินนิคพบว่าหลายคนยิ้มให้เค้าบ่อยเหลือเกิน  ทุกครั้งการพูดคุยมักมีรอยยิ้มปะปนอยู่ด้วยแม้มันจะเป็นเพียงแค่เรื่องลมฟ้าอากาศที่ฟินนิคเอ่ยถึงอย่างลอยๆ ก็ตาม  ร่างสูงเลิกคิ้วกับตัวเอง ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเลิกคิดเรื่องที่ไม่มีเหตุผลนั่นซะ

แม้แต่เฮย์มิชก็มองเค้าบ่อยขึ้น  แล้วเดินมาตบไหล่เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้ “นายทำได้เยี่ยมมากไอ้น้อง” เค้าพูดแค่นั้นก่อนจะเดินไปทางนู่นทีทางนี้ทีแก้เก้อ

ฟินนิคทำงานได้หนักและคล่องแคล้วมากกว่าใครหลายๆ คน  เค้าเป็นคนนอกเขตที่ทำให้งานเดินเร็วขึ้นจนเสร็จไวด้วยเวลาที่ร่นลงมาเกือบเท่าตัว เนื่องจากความกระตือรือร้นของเค้ากระตุนเตือนคนอื่นๆ ในเขตให้ช่วยกัน  และไม่นานทุกอย่างก็เสร็จสิ้นในสี่สัปดาห์

บ้านแปดหลังกับโรงเก็บผลผลิตที่แข็งแรงตั้งตระหง่านแทนซากปรักหักพังเก่าๆ และทำให้คนในเขตรู้สึกดีขึ้น  และคนที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยนั่นคือ ฟินนิค   โอนแดร์ จากเขต 4 ผู้อุทิศตัวในช่วงเวลาสั้นๆ ให้เขตแห่งถ่านหินอนึ่งบ้านเกิดของตัวเอง  เย็นวันนี้มีงานเลี้ยงจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองกับงานที่เพิ่งเสร็จไป  ที่นี่ไม่ได้มีความสุขเช่นนี้มาเนินนานแล้ว  นานเสียจนคนสูงอายุที่สุดในเขตยากที่จะบอกได้

หลายคนร้องเพลง  มีบางคน(ซึ่งหาได้ยากยิ่ง)เล่นดนตรี  ทุกคนกินและหัวเราะ  ร่วมดื่มกันอย่างเพลิดเพลิน  โดยเฉพาะเฮย์มิชที่เป็นขาดื่ม  เค้ายกเบียร์ชนแก้วกับคนอื่นจนกระเฉาะหกไปครึ่งเลยทีเดียว

ร่างสูงปลีกตัวออกมาหลังจากผู้คนชุลมุนอยู่กับเฮย์มิชที่เริ่มเปลื้องผ้าบนโต๊ะเพราะเมา  ชายหนุ่มผิวสีแทนที่ออกสีเข้มขึ้นมากกว่าเดิมในช่วงหลายสัปดาห์มานี้เดินถือแก้วเครื่องดื่มของตัวออกมาจากโรงเก็บผลผลิตที่ทุกคนใช้จัดงานเลี้ยงกัน  ไฟฟ้ายังคงมาไม่ถึง  ด้านหน้าของโรงเก็บจึงมีกองไฟกองใหญ่จุดขึ้นเพื่อทำให้สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ  ทุกคนในเขตมารวมตัวกันที่นี่กันอย่างคึกคัก

แต่ฟินนิคเห็นพีต้านั่งอยู่บนท่อนซุงท่อนใหญ่ห่างจากกองไฟใหญ่ไปหลายเมตร

เฮ้”  ร่างสูงจึงเอ่ยทักเมื่ออีกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเค้า แล้วหย่อนกายนั่งลงข้างๆ พีต้าที่ใช้มือทั้งสองข้างกอดแก้วของตัวเองไว้  ฟินนิคพบว่ามันเป็นโกโก้อุ่นของเด็กๆ ที่ตามพ่อแม่มาร่วมงาน

“ทำไมนายไม่เข้าไปข้างในล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นนุ่มๆ และรอยยิ้มที่เคล้าคลอของเค้าก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความใจดี

พีต้ายิ้มบางบ้างแล้วส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ล่ะ  ฉันคงไม่เหมาะกับที่คนเยอะๆ แบบนั้น”

ฟินนิควางข้อศอกบนหน้าขาแล้วใช้มันเอียงไปกระทบขาของพีต้าเล็กน้อย “พวกเค้าถามหานายนะ” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วใส่เค้าแล้วหันหน้ามาหา  ก่อนร่างสูงจะทำตัวพองเลียนแบบชายผู้บอกว่าภรรยาของเค้าทำอาหารอร่อยที่สุด “เจ้าหนูพีต้าที่เก่งเรื่องขีดเขียนบนฝาผนังไปอยู่ไหนแล้วล่ะ?” เค้าท้าวเอวกางไหล่ทำท่าโชว์ช่วงแขนเหมือนชายคนนั้น  ก่อนพีต้าจะหลุดหัวเราะแล้วหน้าเปื้อนยิ้มไปตลอด

“เค้าพูดแล้วก็ทำแบบนั้นเหรอ” พีต้าพูดยิ้มๆ  และฟินนิคยิ้มโชว์ฟันขาวดูน่าหลงใหลเพื่อบอกว่ามันจริง “งั้นดีแล้วที่ฉันนั่งอยู่นี่  กริสแบลร์คงจะจับฉันโยนขึ้นไปบนโต๊ะแน่ แล้วบอกคนอื่นว่าฉันทำอะไรในโรงครัวกับดินสอบ้าง  โอ้ ดูนั่นสิ เค้าเมาแล้ว  ถอดเสื้ออยู่ข้างเฮย์มิชแหนะ” พีต้าชี้  ใบหน้าดูมีสีสันขึ้นเยอะเมื่อเห็นคนด้านในทำตัวบ้าบอและมีฟินนิคคอยสัมผัสตัวอยู่ข้างๆ

ร่างสูงมองเข้าไปในโรงเก็บผลผลิตที่เปิดออกกว้าง เห็นกริสแบลร์เริ่มถอดกางเกง  แล้วเค้าก็พ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ “เค้าดูเป็นคนดีนะ” ฟินนิคพูดรวมๆ หันไปยิ้มกับพีต้าที่คิดว่าสองคนบนโต๊ะเริ่มสติหลุดไปแล้วพอกัน

ร่างสูงเลือนการฉีกยิ้มให้เป็นรอยมุมปากที่อ่อนโยนและล่องลอยในเวลาต่อมา  เค้ารู้สึกดีเหลือเกินที่ได้เห็นพีต้ายิ้มในบ้านเกิดของตัวเอง  เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างสูงกำลังคิดถึงเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมาอยู่  บัดนี้พีต้ามีแต่เพียงความสุขและความบริสุทธิ์ที่เจ้าตัวเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ฟินนิคไม่อยากให้มันหายไปอีก

แต่เค้าก็จำใจต้องพูดบางอย่างออกไป  เพราะรู้ว่ามันจะต้องทำให้พีต้าแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไปแน่

“พีต้าคือว่าฉัน...” เด็กหนุ่มยังคงมองดูความเป็นไปในโรงเก็บอยู่ “อีกไม่กี่วันฉันจะต้องกลับบ้านแล้วนะ”



.



.



.



TBC.



------------------------------------------------------------------------------



อ้าว  ฟินนิค  จริงเหรอคะ?  เอาจริงดิ  โอ๊ยยยยยยย  พีต้าอย่าร้องไห้นะแจะ.....ไรท์รู้คะ เดี๋ยวพีต้าจะต้องร้องไห้แน่เลยค่ะ (พูดเป็นปมไว้ให้คนที่แอบเลื่อนมาอ่านกลับไปอ่านเนื้อเรื่องก่อน 5555) + //อิชั่วววว//  แกล้งรีด 5555555

แล้วจะเป็นยังไงต่อน้าาา  รอติดตาม Part ต่อไปนะเออ  จุ๊บๆ ขอบพระคุณและรักทุกท่านมากเลยค่ะ  ><   ปู่สสสสส  เจอกัน Part หน้าค่าาา  ไรท์ใกล้สอบแล้วช่วงนี้อย่างเบื่อเลย =..= 

....อะไรฟะ อยู่ๆ ก็บ่น.....

เออ อะไรวะเนี่ย 5555555555   หลังจากงานใหญ่ผ่านไปสองงานแล้วก็มากังวลเรื่องงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายแล้วเทศกาลสอบค่ะ 555555  เบื่อจุงงงงงง  ฮ่อยยยยยยย  ไปจริงๆ แล้วค่ะ 5555 แอบมาบ่น


ด้วยรักและแรงหื่น

Ray - Aund



ไม่มีความคิดเห็น: