วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

[Fic – The Hunger Game] + [Part 11] The Possible – Finnick x Peeta






//โอยยยยยย หล่อที่สุดเลยค่ะ  อร๊ายยยยยยยๆๆๆๆ  (ดิ้น)  ไปตามน้องจอร์ช (พีต้า) มายืนข้างๆ เลยค่ะ  ด่วนนน!   โอยยยย อิชั้นจะเป็นลมเจ้าค่ะ TUT//

มาแล้วค่ะรีดขาา ไรท์มาแล้วค่ะ  แทบลากเลือด อื้อออออ! //กัดฟัน//   บ้ามากเลยค่ะ  มันเป็นมรสุมจริงๆ เลยค่ะ  มาเป็นฤดูเลย ไรท์ทำงานไม่หยุดตั้งแต่ต้นเดือนมีนายันตอนนี้ก็ยังทำอยู่ค่ะ  เห็นทีว่าคงจะยาวไปยันปลายเดือน ยันปิดเทอมเลยค่ะ   ฮอยยยย จิบ้าตายค่ะ  ไรท์ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ และอาจารย์จะบ้าคลั่งกันถึงขนาดนี้ค่ะ  อ๊ากกกกก  //พ่นไฟ//

ถ้าปิดเทอมนะ ไรท์จะทำๆๆๆ ทำมันทุกอย่างที่อยากทำเลยค่ะ

แต่วันนี้น้านนนน  เราจะมาดูชีวิตคู่หลังจากคืนส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอแล้วค่ะ 555555

ไปกันเลยยยย ><  ช่วงนี้รู้สึกพูดน้อย  ไม่ได้อะไรนะคะ ไรท์ต้องไปทำงานต่อค่ะ ฮึก TUT  ทำไมช่างรันทด



-----------------------------------------------------------------------------



แสงแดดยามเช้าผ่านหายไปและเข้าสู่ยามเที่ยงแก่ๆ ของวัน  แคทนิสกลับเข้ามาในบ้านและออกไปท่องป่า วันนี้เธอตื่นเช้ากว่าปรกติเพราะที่นอนใหม่ ส่วนเฮย์มิชก็พาลตื่นเต้นเช่นเดียวกันที่มีแขกมาค้างบ้านถึงแม้พวกเค้าจะอยู่บ้านใกล้กันมาเกินครึ่งปีแล้วก็ตาม  ไม่มีใครเข้าไปปลุกพีต้าหรือฟินนิค  ชายหนุ่มทั้งสองนอนกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนสะอาดที่มีกลิ่นของเค้าทั้งคู่อบอวล

ฟินนิคเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว  เค้ากระชับอ้อมกอดที่มีพีต้ากอดหมอนแนบอกนอนไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียวอย่างแผ่วเบา  แผ่นหลังของพีต้าที่แนบชิดกับอกของเค้าให้ความรู้สึกอุ่นและไม่น่าละออกห่างไปไหน  แต่ทว่านี่เที่ยงแล้ว  แสงแดดที่ส่องเข้ามาอาบแผ่นหลังของเค้าบอกว่าพวกเค้าควรตื่นได้แล้วเสียที

ร่างสูงสูดหายใจเอากลิ่นขนมปังอ่อนๆ ที่อยู่ตรงซอกคอเด็กหนุ่มก่อนจะจูบแก้มของคนขี้เซาที่เหนื่อยอ่อน แล้วลุกขึ้นจากหมอนอย่างอ่อนโยน  พีต้าขยับกอดหมอนให้แน่นขึ้นแล้วขดตัว

“สายมากแล้วพีต้า ฉันไม่อยากกวนแต่นายต้องตื่นได้แล้วล่ะ” ฟินนิคพูดหลังจากก้มลงจูบที่ลำคอใต้ใบหูของเด็กหนุ่ม “ก่อนแดดจะส่องมาถึงหลังของนายนะ” ร่างสูงซุกจมูกไปเรื่อยๆ จนอีกคนหนึ่งขยับตัวยุกยิกแล้วส่งเสียงสะดุดในลำคอเหมือนกำลังหัวเราะเพราะจั๊กจี้

“ตื่นเถอะ” ฟินนิคพูด เค้าหลับตาคลอเคลียจมูกกับไหล่ของพีต้า  ชายหนุ่มยิ้มไปด้วยเมื่อรับถึงการหันมาของเด็กหนุ่ม  เค้าจูบกันอีกครั้งหลังจากที่ปากประกบกันจนเกือบเปื่อยเมื่อคืนนี้

พีต้าปรือตาขึ้น  ดูยังไม่พร้อมที่จะตื่นเสียเท่าไร  ความเหนื่อยเพลียยังคงฉาบอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มยามเมื่อเค้ายิ้มตอบชายหนุ่มที่กอดเค้าไว้

“ไง” หนุ่มเบเกอร์รี่เสียงหายไปนิดหน่อย

ฟินนิคจุมพิตเค้าอีกครั้ง ก่อนจะทาบผ่ามือกับแก้มสีขาวสะอาดแล้ววาดรอยยิ้มบางๆ “ฉันรักนาย” เค้ากระซิบเสียงทุ้มนุ่มและดวงตาเป็นพราวระยิบ  เค้าพูดมันออกมาจากใจ

แต่พีต้ากลับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เหมือนหลุดขำฟินนิค “ฉันรู้แล้ว” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะเอื้อมตัวขึ้นไปกอดตอบคนที่อยู่ด้านบน  เจ้าของแขนกำยำกดจมูกลงไปซอกคอที่มีรอยสีจางๆ เป็นจ้ำแล้วพูด

“นายลุกไหวไหม?”

“อือ  ฉันคิดว่างั้นนะ” ร่างเล็กพูดเสียงมั่นใจแต่ก็ดูช่างใจในขณะเดียวกัน  และในตอนสุดท้ายก็เป็นฟินนิคเองที่ต้องคอยเอาใจช่วยอยู่พักใหญ่เมื่อคนที่แทบลุกไม่ไหวยืนกรานว่าเค้าจะเดินเอง

ชายหนุ่มปล่อยให้เด็กหนุ่มของเค้าอาบน้ำอย่างไม่รีบร้อนอยู่ในห้อง  ส่วนตัวเค้าเองก็เดินออกมาหาอะไรดื่มรับยามเที่ยงที่ห้องครัว  เค้าเจอแคทนิส  เธอกำลังดื่มกาแฟและเอ่ยทักเค้า

“ไงฟินนิค”

“หวัดดีแคทนิส  เธอเพิ่งตื่นเหรอ?”

“ใช่ ฉันเพิ่งตื่นน่ะ” เปล่า อันที่จริงเธอตื่นนานแล้วเพราะทนสูดกลิ่นราที่โซฟาของเฮย์มิชไม่ไหว

“งั้นเหรอ”

“กาแฟไหม?” หญิงสาวผมสยายที่ยังไม่ได้ถักรวบออกความเห็นขึ้น  และกำลังคิดอยู่ว่าจะบอกฟินนิคดีไหมว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้ค้างที่บ้าน  พีต้าจะได้ไม่ทำตัวเกร็งแปลกๆ ถ้าเมื่อคืนพวกเค้าทำอะไรกันอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ

ชายหนุ่มดื่นกาแฟกับเธอเงียบๆ  แคทนิสพูดว่าเธอรู้สึกดีใจที่เค้าไม่ตายอีกครั้ง  ก่อนเด็กหนุ่มที่ออกมาร่วมวงช้าสุดจะเดินช้าๆ เข้ามาในครัว  หญิงที่ถือถ้วยกาแฟอยู่จึงตัดสินใจบอกว่าเฮย์มิชขอให้เธอไปนอนด้วย ถึงแม้มันจะฟังดูไม่มีเหตุผลก็ตามแต่ทั้งคู่ก็ดูจะเชื่อแคทนิส

หลังจากนั้นไม่นานเฮย์มิชก็โผล่มา  ไม่เมาแล้ว  และชวนคุยเรื่องงานอดิเรกของตัวเองที่ทุกคนไม่รู้ว่าเค้ามี (นอกจากการดื่มเหล้าหลากรสไปเรื่อยๆ...ใช่  เฮย์มิชใช้คำนั้นในตอนที่เค้าถือคอขวดวิสกี้อยู่ที่แคปปิตอล  หลากรส)  ดังนั้นชายที่อายุมากที่สุดจึงชวนชายหนุ่มที่มาจากเขตของชาวประมงไปดูสระน้ำที่เค้าชอบไปนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวบ่อยๆ

พีต้าถามว่าเค้าไปที่นั่นบ่อยๆ เพื่อตกปลาอย่างนั้นหรือ

แต่เฮย์มิชกลับยิ้มเรื่อยเปื่อยแล้วตอบกลับไปว่าเค้าแค่ไปนั่งดื่มเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเฉยๆ เพราะเค้าทำเบ็ดตกปลาไม่เป็น



***************************************************************************



ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนถึงแม้จะเป็นห่วงพีต้าอยู่มาก  แต่ในตอนบ่ายมันก็เปลี่ยนเป็นความกระปรี้กระเปร้าที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ  ผมทำเบ็ดตกปลาให้เฮย์มิช  สอนเค้าตกปลาและทำมันให้เค้าด้วยในตอนที่เค้าพูดถึงตอนที่ตัวเองนั่งดื่มเหล้าไปด้วยมองดูปลาขึ้นมาจูบผิวน้ำเพื่อหายใจไปด้วย

“เห็นมันอย่างงั้นแล้วเจ็บใจชะมัด  ฉันหมั่นไส้ความสบายใจของมันซะจริงๆ” เค้าว่าอย่างนั้นแล้วเขย่าเบ็ดในมือ

เค้าถามผมว่าเบ็ดของผมอยู่ไหน  แต่ผมก็แค่บอกเค้าไปว่าวันนี้คงจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนเค้าไม่ได้  ก่อนขอตัวกลับมาที่บ้านเหมือนเดิม  ผมไม่เจอพีต้าที่นั่นเลยถามแคทนิสและเธอบอกให้ผมเดินกลับไปทางที่มาเมื่อวานนี้  เด็กหนุ่มของผมคงกำลังง่วนอยู่กับการดูแลแปลงดอกไม้ของเค้าอยู่

และก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริง  ผมเห็นพีต้านั่งอยู่ใต้ร่มไม้ต้นใหญ่ที่เราจูบกันครั้งแรก  ไม่ได้ทำอะไรแค่กำลังนั่งมองแปลงดอกไม้กับแปลงผักของตัวเองอยู่เฉยๆ

“เฮ้” ผมทักเค้าหลังจากที่นั่งลงแล้วกอดเค้าจากด้านหลัง  พีต้าตกใจในตอนแรกก่อนจะยิ้มให้ผมแล้วขยับตัวอย่างแผ่วเบา

“เมื่อวานฉันยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่เลย” อยู่ๆ เค้าก็พูดขึ้น  และสายตาก็ทอดออกไปพ้นแปลงดอกไม้ของตัวเอง ผมขมวดคิ้วแล้วถามเค้าเสียงไม่ดังนักเพราะเราอยู่ใกล้กันมาก

“หมายความว่ายังไงเหรอ?”

“ก็...นายเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่าให้ทำสิ่งที่ตัวเองรักไปเรื่อยๆ พอสงครามสงบและได้กลับมาบ้านแล้ว” เค้าคงหมายถึงก่อนที่เราจะบุกเดี่ยวไปแคปปิตอลเก่า “ตอนที่ฉันบอกว่าเขตเราไม่เหลืออะไรแล้ว  นายก็บอกฉันอย่างงั้นและฉันก็ทำมัน...ทำมันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย” ผมได้ยินเค้าหยุดพูดไปชั่วครู่หนึ่ง  รู้สึกเหมือนว่าพีต้าหยุดหายใจด้วย  เรื่องที่เข้าใจผิดว่าผมตายไปแล้วคงยังทำร้ายจิตใจเค้าอยู่  พีต้าอาจจำได้ว่าเคยเดียวดายแค่ไหนเมื่อนึกถึงตอนที่ผมจากไป

มันคอยทำร้ายเค้า  ใช่  ผมรู้สึกถึงแผ่นหลังที่สั่นน้อยๆ เมื่อเค้าเหม่อมองออกไป  ผมเดาว่าตัวเองคงทำให้พีต้ารู้สึกแย่ไม่น้อย การเป็นอย่างนั้นมาตลอดหกเดือนคงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเลย  ผมจึงกระชับกอด  จูบไปที่ซอกคอพีต้าอย่างแผ่วเบาและปลอบโยน

“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ผมอยากให้เค้ารู้สึกปลอดภัยและบอกให้รู้ว่าผมจะไม่หายไปไหนอีก

แต่กลับได้ยินเสียงพีต้าหัวเราะ “ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” ผมขมวดคิ้วอีก มองเค้าหัวเราะเบาๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเอง  พีต้าหันมาหาผมแล้วเราก็จูบกันอีก  อ่า นี่สิสิ่งที่ผมเอาแต่ฝันถึงอยู่ทุกวัน  คุ้มค่าเหลือเชื่อเลยที่ฝ่าฝันกับทุกสิ่งมาเพื่อเจอเค้าในท้ายที่สุด

“นายมาที่นี่ทุกวันเลยงั้นเหรอ?” กระทั่งผมถามอีก  เด็กหนุ่มในอ้อมกอดผมพยักหน้า ไล่มือไปบนดอกหญ้าที่ชูต้นอยู่ตรงหน้าเรา “ทั้งวัน?”

“ไม่มีอะไรพิเศษหรอก” เค้าตอบเป็นเชิงว่าได้ทำเพียงแค่นี้เท่านั้น  นั่งเฝ้าต้นไม้เหรอ?  ไม่เอาน่าพีต้า

“แล้วอบขนมกับวาดรูปล่ะ?”

“ฉันไม่มีเมล็ดพันธุ์กับสีหรือผ้าใบหรอกนะ  สีที่หาได้ก็มีแต่สีเขียวแล้วก็สีน้ำเงินเท่านั้นเอง” เค้าดูน่าสงสารซะแล้วในตอนนี้  ดูพูดเข้าสิ  ไม่ว่าสงครามจะดำรงอยู่หรือจบลงพีต้าก็ไม่เคยกลายเป็นคนอื่นเลย

“เราทำสีขึ้นมาเองได้นะ” ศีรษะที่พิงอยู่บนแขนของผมผงกขึ้น

“เราทำได้เหรอ?” ผมยิ้มให้เค้า

“ได้ทุกสีที่นายต้องการเลย” แล้วเด็กหนุ่มก็เด็ดดอกหญ้ามาไว้ในมือก่อนจะดึงแขนผมให้เริ่มงานกันเลย  เราเด็ดดอกไม้และเข้าไปในป่าเพื่อหาสีที่เค้าต้องการและไม่เคยต้องการมาก่อน  ตะกร้าของเค้าที่ผมแบกไว้มีทุกอย่างอยู่ในนั้นจนเต็มไปหมด  พีต้าเดินนำผมลึกเข้าไปในป่าที่เงียบสงัดและกลับออกมาได้โดยไม่ต้องหยุดคิดทบทวนหาทางกลับเลย  มีอยู่ครั้งหนึ่งผมถามเค้าว่าไม่กลัวบ้างเหรอที่ออกมาไกลจากบ้านขนาดนี้  พีต้าเพียงแค่หยุดเดินแล้วหันมาบอกว่า ผมทำให้เค้ารู้สึกปลอดภัย

ความไหววูบในอกแล่นเข้ามาหาผมชั่วขณะ  จริงสินะ มันคงเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันในฮังเกอร์เกมส์ผมก็คอยปกป้องเค้ามาตลอด  รู้สึกหลกรักพีต้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ได้

นี่สินะ ปริศนาของคำว่า หลงรัก

ผมวาดยิ้มออกมาในที่สุด ก่อนจะกระชับตะกร้าที่อยู่บนหลังแล้วย่ำเดินตามเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นให้ทัน  เรากลับมาในตอนเย็น  แคทนิสมองดูเราและบอกว่าเธอไม่เคยเห็นพีต้าเป็นอย่างนี้มาก่อน  ผมถามเธอว่าที่เค้าดูกระตือรือร้นน่ะเหรอ? แต่แคทนิสกลับบอกว่าที่เค้าดูมีความสุขต่างหาก แล้วก็เดินเข้าป่าไปหลังจากที่เราเพิ่งกลับออกมา  ผมเดาว่าเธอคงจะออกไปหามื้อเย็น

และเธอก็ทำให้ผมสงสัยอีก  พีต้าไม่เคยมีความสุขเลยงั้นเหรอ?  สงครามจบลงไปแล้วอย่างน้อยก็ไม่มีใครต้องหวาดกลัวหรือกังวลอะไรอีก  ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าพีต้าจะคิดถึงผมขนาดนั้น

แต่ถ้าถามผม  ผมคิดถึงเค้าสุดหัวใจเลย

เราคั้นสีจากทุกอย่างที่เราเอากลับมาได้  และในเช้าวันต่อมามันก็ทำให้เด็กหนุ่มของผมตื่นแต่เช้าจนผมลุกขึ้นตามเค้าไปไม่ทัน  เมื่อคืนเรานอนด้วยกัน  ใช่ ผมหมายถึงเรามีเซ็กซ์กันอีกครั้ง  แต่คนที่น่าสงสารที่สุดกลับหายไปในตอนที่ผมยังไม่ทันตื่น พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นที่ข้างตัวว่างเปล่าซะแล้ว  ผมยิ้มออกมา รู้อยู่ในใจแล้วว่าหนุ่มเบเกอร์รี่ของผมไปอยู่ที่ไหน

หลังมื้อเช้าเรื่อยเปื่อย ผมเจอพีต้านั่งวาดรูปบนพื้นหญ้าอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ บ้านของเค้า  ที่นี่เงียบสงบ  ร่มเย็น  อากาศไม่เลวร้ายและแสงแดดอ่อนๆ ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย  ร่วมๆ แล้วมันดูดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก  เขตของถ่านหินก็ไม่แย่เท่าไรนัก

ไม่รู้สิอาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มที่หันหลังไม่สนใจผมอยู่นี้ล่ะมั้งที่ทำให้ที่นี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา

ผมนั่งลงข้างเค้า  พีต้าไม่รู้สึกถึงการมาของผมเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งผมจูบแก้มเค้านั่นแหละรูปที่เค้ากำลังวาดถึงได้มีรอยสีเลอะออกมาจากกรอบ  พีต้าหันมามองผม  ผมยิ้มแล้วก็จูบเค้า  เราจูบกันอยู่พักหนึ่งหลังจากที่พีต้าทำพู่กันตกลงพื้น  สีฟ้าของมันทำให้หญ้าดูน่าสนใจ

ผมนั่งอยู่กับเค้า  นอนหลับ  และออกไปตกปลากับเฮย์มิชแล้วกลับมาด้วยกันในตอนเย็น  เฮย์มิชชอบที่ผมสอนเค้าตกปลาและคุยกันเรื่องที่เราเห็นพ้องต้องกันในระหว่างที่รอให้ปลาตอดเหยื่อ  แคทนิสออกไปตามหาแมวของน้องสาว ทุกคนดูมีอะไรทำแม้แต่พีต้าก็ยังไม่ได้หยุดมือวาดรูปเลย  วันนั้นทั้งวันเด็กน้อยของผมขลุกอยู่กับสีและทุกอย่างที่เค้าวาดลงไปบนนั้นได้  ผมว่าถ้าแคทนิสกลับมาจะต้องบ่นเค้าเรื่องรูปตกแต่งบนผนังในห้องครัวแน่นอนเลย  เชื่อผมสิ ผมเดาไม่เคยพลาด

“นายไม่ควรวาดรูปบนนั้นนะ” ผมกอดอกผิงกรอบประตูแล้วพูดกับจิตกรน้อยที่ผมลงความเห็นว่าบ้าคลั่งไปแล้วเมื่อมีสีใช้

พีต้าหยุดมือจับพู่กันที่กำลังเล็งอยู่บนผนังห้องนอนของตัวเอง “ทำไมล่ะ?” แล้วหันมาหาผม ชะงักตัวเองไว้เหมือนผมกำลังดุเค้าอยู่

ผมเลยงัดนิ้วโป้งไปที่ห้องครัว “ฉันหมายถึงที่นั่นน่ะ ฉันไม่แน่ใจว่าแคทนิสจะชอบใจรึเปล่าที่ถ้วยกาแฟของเธอเปื้อนสี”

พีต้าเลิกคิ้วสูง “โอ้ งั้นเหรอ  ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ มันคงจะหยดตอนที่ฉันไม่ได้เช็ดพู่กัน” ว่าแล้วเค้าก็ลุกขึ้นมาแล้วทำท่าเหมือนจะไปกลบร่องรอยให้เรียบร้อย ไม่ให้แคทนิสกลับมาแล้วจับเค้าได้  ผมวาดยิ้มเงียบๆ ในตอนที่ก้มหน้าหลบเค้าเมื่อกำลังจะเดินสวนออกไป  พีต้าคงจะยอมโดนสั่งห้ามไม่ให้วาดรูปมากกว่าโดนแคทนิสโวยวายใส่  และบอกตามตรงผมก็ไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าคนอย่างแคทนิสจะกลับมาแล้วเอะอะได้เพราะเรื่องแค่นั้น  ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฮย์มิชเล่าให้ฟังว่า ช่วงนี้เธอดูโอ๋พีต้ามากเป็นพิเศษเพราะรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ผมตาย

เสียงตึกตักของฝีเท้าพีต้าทำผมหวั่นใจพิลึก “โว้  ระวังนะนายกำลังจะ...พีต้า

อ้าา!” ผมยังพูดไม่ทันจบ หนุ่มผมสีเดียวกันกับผมก็สะดุดกับเท้าของผมเสียหลักจนได้  ผมรับเค้าไว้ได้ทันที่หน้าประตูและเปลี่ยนใจอุ้มเค้าไว้  ไม่ให้ไปข้างนอกแล้ว

“เฮ้ นายทำอะไรน่ะ?” เค้าถามเสียงไม่พอใจแต่ก็ดูตกใจซะมากกว่า  ผมใช้เท้าปิดประตูแล้วพาเค้าไปที่เตียง

“ฟินนิค” เค้าเอ่ยเรียกผมอีก “เฮ้!” แล้วดิ้นขลุกขลักเหมือนเด็กก่อนผมจะโยนตัวเองพร้อมกับพีต้าลงไปบนเตียงเบาๆ  และยังไม่ยอมปล่อยให้เค้าไปไหน

เจ้าของห้องที่เนื้อตัวเปื้อนสีเต็มไปหมดต่อสู้กับอกของผม  เค้าเหมือนเด็ก  ไม่ได้ต่อยเต็มแรงแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ  และแน่นอนผมไม่ปล่อยให้พีต้าชนะ  ผมใช้มือรวบข้อมือของเค้าไว้  แม้แต่ข้อมือเค้าก็ยังมีสีเปื้อนอยู่

“สีของนายหมดรึยัง?” ผมกระซิบถามเสียงเบา  แล้วยิ้มอ่อนให้ ไม่ได้ทำเหมือนจะจัดการเค้าแล้ว

ใบหน้าของคนที่ผมกำลังมองอยู่เปื้อนสีม่วงลาเวนเดอร์  สีเขียว  สีเหลือง  และสีฟ้า  เค้าขมวดคิ้วใส่ผมก่อนจะทำมันตกลงมา “หมดแล้ว”

ผมฉีกยิ้มให้เค้าก่อนจะก้มลงไปแนบปากกับพีต้า

“ก็แหงสิ  นายเล่นมันทั้งวันเลยนี่” มือหนึ่งกอดเค้า ส่วนอีกข้างหนึ่งผมใช้เช็ดสีบนแก้มให้อย่างเบามือที่สุด แต่ก็ทำให้แก้มของเค้าสะอาดอย่างรวดเร็ว  คนด้านล่างทำหน้าเหมือนอยากให้ผมเข้าไปในป่าเพื่อทำสีให้เค้าอีก

“ฉันอยากรู้จังว่านายวาดอะไรนัก” ผมเอ่ยแล้วโดนผลักจนหงาย ก่อนพีต้าจะหยิบกระดาษที่เราทำจากเปลือกไม้จากที่เก็บอยู่ในลิ้นชักของโต๊ะมุมห้องออกมาปึกหนึ่ง  ผมท้าวศอกอยู่บนเตียง มองดูเค้าวางรูปที่ตัวเองวาดล้อมรอบตัวเรา  เค้าชี้ให้ดูรูปที่มีแต่สีเขียวมิ้นท์  สีฟ้า  และสีน้ำเงินเกลี่ยกลมกลืนกันอยู่  มันดูสวยมาก

“นี่ทะเลใช่ไหม?” เค้ายิ้มอายๆ ถามผม

“ใช่” ผมตอบเค้า “มันเป็นทะเลที่สวยมากเลยพีต้า” รูปนั้นคือผืนน้ำโล่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ล้อมกรอบไปด้วยพุ่มไม้สีเขียวหม่นและมีพระอาทิตย์ดวงใหญ่คั่นกลางระหว่างผืนฟ้าและท้องน้ำ  เค้าชักนิ้วกลับมา  กรอมมันไว้บนตักแล้วห่อไหล่อย่างเนียมอายอีก

“ฉันเคยเห็นมันผ่านๆ ตอนที่เคยนั่งรถไฟไปแคปปิตอล  ไม่แน่ใจว่ามันเป็นทะเลเดียวกันกับที่บ้านของนายไหม” พีต้าทำผมอบอุ่นหัวใจ  ผมกอดเค้าแล้วจูบหัวไหล่ผ่านเสื้อยืดตัวบางของเค้า

“ฉันมั่นใจว่ามันใช่แน่นอน”

พีต้าอวดรูปอื่นๆ อีก  มันสวยมาก ผมไม่ได้เห็นรูปวาดที่ไร้ความกดดันบ่อยนัก  เท่าที่จำได้ตอนอยู่ในค่ายอพยพก็มีแต่รูปนกม็อกกิ่งเจย์ของพวกปฏิวัติและใบหน้าของสโนว์ที่พวกเค้าวาดเอาไว้ปาหินเล่น

“มีคนบอกว่าทรายที่ชายหาดเป็นสีขาว แต่ฉันคิดว่ามันเหมือนเปลือกไม้อ่อนมากกว่า”

“นายหมายถึงสีน้ำตาลเหรอ?” ผมพยายามตามให้ทันเค้า แต่

“ไม่ สีเหลืองต่างหากล่ะ” พีต้าท้วง

“นายรู้ไหม หาดทรายที่เป็นสีขาวน่ะมีอยู่จริงนะ” ผมกระชับกอดจากด้านหลัง  รู้สึกว่าไหล่ตรงหน้ายุกยิกอีกครั้ง

“จริงเหรอ  มันมีอยู่จริงๆ ยังงั้นเหรอฟินนิค?” พีต้าหันมาหาผม  ดวงตาลุกวาว  เค้าดูเหมือนต้องการจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เราเจอกัน  ผมยักไหล่

“จริงสิ”

“ที่ไหนงั้นเหรอ?” ความอยากรู้อยากเห็นนั้นทำให้พีต้าดูเหมือนเด็ก  ซึ่งสำหรับผมเค้าก็เป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา ผมเม้นปากสูดลมหายใจเข้าไป ทำสีหน้าผ่อนคลายแล้วกอดเค้าที่หันมาหา

“ที่บ้านฉันไง” ผมกระซิบแล้วยิ้มยิ่งฟันใส่เค้า



.



.



.



TBC.



----------------------------------------------------------------------------------------



ฮร๊ายยยยยยยยยยยยย  น่ารักจุงงง >< น่าจะกอดกันในบ่อสีนะคะ 555 (เกี่ยวกันไหม?  ทำไมช่างจินตนาการ)  55555  ไรท์ต้องรีบไปแล้วล่ะค่ะ  วันนี้และพรุ่งนี้งานวุ่นวายไม่เลิกจริงๆ  แล้วเจอกัน Part ต่อไปนะค้าาา >///<



ฟ้าวววววววววว

ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund



ไม่มีความคิดเห็น: