วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[SF – Star Trek] + [Part 4...END] FONFA – Spock x Kirk , McCoy x Chekov





//Part สุดท้ายนี้ขอหยิบยกภาพจากภาค 1 มาค่ะ  ภาพนี้ทำให้ไรท์รู้สึกประทับใจมากค่ะ  Enterprise ที่เรื่องราวของทุกคนได้เริ่มต้นขึ้น  และจิมแทบไม่รู้ตัวเลยว่าในตอนที่เค้าได้ไปเห็นเธอครั้งแรกเค้าจะได้เป็นกัปตันบนยาน Enterprise และเป็นคนที่สหพันธ์ต้องจดจำค่ะ// ซิกๆๆ //ซับน้ำตา//

อร๊ายยยยยยยยยยยย  Part สุดท้าย! Part สุดท้ายสวัสดีค่าาา  รีดๆ ของไรท์ทุกท่าน >///< มาถึง Part ไม่อยากให้มาถึงแล้วนะคะ 55555+  โอยยยยยย  น่าเสียดายจังเลย  รู้สึกรักและคิดถึง Fandom – Star Trek จริงๆ เลยค่ะ  รู้สึกไรท์เขียนกะเอาฮาจริงๆ ด้วยล่ะค่ะ (หัวเราะ) คือไม่มีสาระอะไรเลย  กะเอาให้หายคิดถึงอย่างเดียวเลย  ถ้าเอาจากเนื้อเรื่องของภาค 3 จริงๆ พล็อตก็คงเป็นอีกอย่างหนึ่งค่ะซึ่งไรท์ว่ามันก็น่าสนใจดี  แต่ก็ไม่ค่อยจะห่างจากนิสัยถาวรของไรท์ซะเท่าไรหรอกค่ะ หุๆๆ //กำเดาหก//  ซึ่งเรื่องนี้ก็มีฉากให้เลือดสูบฉีดอยู่นิดหน่อยนะเออ

ต้องขอบคุณรีดๆ มากเลยนะคะที่คอยให้กำลังและเข้ามาอ่านฟิคของไรท์

อ่าาา  อิจิมไม่ปฏิเสธสป็อคแล้วสินะคะ  จะเป็นอย่างไรต่อไปน้ากับบทส่งท้ายนี้ของเรา  ไปอ่านกันเลยค่าา >[]< !!!!



---------------------------------------------------------------------------------------

เก้าวันให้หลัง......

แมคคอยที่กำลังยืนจิบกาแฟอยู่พึ่งได้รับข้อความจากเพื่อนกัปตันตัวยุ่งในเช้าวันนั้นนั่นเองหลังจากหายหน้าหายตาไปเสียจนเค้าเกือบนึกว่าต้องเตรียมบทพูดไปกล่าวในพิธีศพของอีกคนหนึ่งเสียแล้ว  ถึงแม้ท่าทางตอนเปิดอ่านเค้าจะดูชิลล์แค่ไหนแต่ก็ต้องยอมรับว่าลุ้นระทึกไม่น้อยเลยว่าจะเป็นคำบอกเล่าประเภทไหน......ไม่ใช่ว่าเป็นข้อความลาตายหรอกนะ ก็เล่นหายต๋อมไปตั้งเก้าวันเลยนี่นา

นัดเจอเหรอ?  หึ หายไปเก้าวันเพราะเจ้าวัลแคนนั่นนายคงไม่เป็นอะไรเลยงั้นสินะ” ร่างสูงที่ถือแก้วกาแฟ  หน้าอกเปลือยเปล่าไม่ได้สวมเสื้อเพราะเพิ่งตื่นนอนแสยะยิ้มอย่างนึกเสียใจอยู่บ้างที่แอบเป็นห่วงเพื่อนกัปตันหัวทองว่าจะเป็นอย่างไรในระหว่างที่เจ้าหนูผีนั่นเป็นฟอนฟา  แต่เห็นทีคงจะต้องคิดใหม่เสียแล้ว

หากถูกเรียกให้ไปเจอกันคาดว่าคงหนีไม่พ้นการพูดคุยไม่ผิดเป็นแน่  ในเวลานี้ร่างสูงเจ้าของบ้านกำลังอารมณ์ดีเพราะงั้นจึงไม่ได้พ่นคำผรุสวาทใส่เจ้าคู่รักเจ้าปัญหานี้แต่อย่างใด  แต่ก็เดาได้ว่าอีกไม่นานไม่ความไม่มีกาลเทศะของจิมก็ความหน้าตายระรื่นของสป็อคนี่แหละที่จะทำให้เค้าหงุดหงิดจนต้องขาดสติออกปากบ่นอีกรอบ....ก็ให้ตาย อีกคนหนึ่งก็น่ารำคาญส่วนอีกคนหนึ่งก็น่าโมโห  มันสมเป็นคู่กันดีไหมล่ะ

เสียงผ้าห่มบนเตียงขยับไปมา  ทำให้ร่างสูงต้องหันไปมองเชคอฟที่พลิกตัวมุ่นกับผ้าห่มอยู่บนเตียงที่เค้าเพิ่งลุกออกมา

 “อืมม” เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเข้าไปผัวพันกับผ้าห่มและจะพาลหาทางออกไม่เจอเข้า  แมคคอยจึงเดินเข้าไปแล้วทำให้เชคอฟหยุดทำตัวเองซะ

“ตื่นแล้วเหรอเชคอฟ” เค้าพูด ถึงแม้จะรู้ว่าอีกคนหนึ่งยังไม่ได้ตื่นจริงก็ตาม  แต่หากโดนพูดด้วยประโยคแบบนี้แล้วร่างเล็กเห็นทีคงจะหลับต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

“อืมม กัปตันติดต่อมาเหรอครับ? ผมได้ยินเสียงข้อความ” ถึงแม้เสียงจะงัวเงียเต็มทีแต่เจ้าของประโยคนั้นก็ยิ้มรับอรุณด้วยดวงตาที่ยังไม่เปิดทั้งสองข้าง

“ใช่ ก็คงเป็นอย่างนั้นเชคอฟ.....ข่าวดีสำหรับนาย  เค้ายังไม่ตาย” แมคคอยขยี้หัวนุ่มนิ่มนั้นแล้วจูบเชคอฟ “ตื่นได้แล้วเจ้าหนู  วันนี้เรามีนัด”

“ไปข้างนอกเหรอครับ” เชคอฟกระแทกตัวกับเตียงแล้วคลุมโปง “อืมม  ผมไม่อยากไปเลย วันนี้เดวิดมา......ผมมีนัดกับเค้าซะด้วยสิ” เด็กหนุ่มคงหมายถึงรายการทีวีรายการโปรดของตัวเองเป็นแน่  แมคคอยที่กำลังเดินออกจากประตูไปจึงอดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้

“แต่ถ้านายนอนต่อก็จะพลาดดูเดวิดเหมือนกันนะเจ้าหนูน้อย”

มีเสียงอู้อี้ตามหลังมาและเสียงเลิกผ้าห่มก็กระพือดังพรึ่บ



*******************************************************************************



ผ่านไปสามสิบนาทีกับอีกเล็กน้อย  คนที่บอกว่ามีนัดออกไปคุยกับเพื่อนที่หายสาบสูญไปเกือบสิบวันกำลังเติมพลังตอนเช้าอยู่ที่โต๊ะทานอาหารภายในบ้านหลังไม่น้อยไม่ใหญ่อันแสนรักของเค้า  ร่างสูงลงมื้อทำมื้อเช้าเองอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ  และในขณะที่เชคอฟกำลังก้มหน้าก้มตาแก้ปริศนาสมการสูตรฟิสิกส์กับ PAD อยู่นั้นร่างของแมคคอยก็ยกมื้อเช้าที่ทำเสร็จใหม่ๆ ออกมาพอดี  ก่อนเสียงบานพับที่ถูกกระแทกจนเกือบเด้งออกจากกรอบประตูจะดังขึ้นพร้อมการชะงักกายของชายผู้เป็นหมอ

“ไอ้โบนส์!

จิม!!” แมคคอยวางอาหารตรงหน้าเชคอฟ และเมื่อเห็นเพื่อนตัวดีก็เกือบทำจานของตัวเองตก  เจ้าของบ้านตะโกนเสียงดังก่อนจะมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเหลือเชื่อ “นี่มื้อเช้าเองนะโว้ย  มื้อเช้า!” เค้าย้ำ  นึกหวั่นในใจว่าสป็อคมากับจิมด้วยหรือเปล่าแต่ก็ไม่  กัปตันเคิร์กมาเยี่ยมด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเท่านั้น

เสียงสดใสของกัปตันสุกเจ๋งดังขึ้นที่หน้าประตูจึงทำให้เชคอฟวาง PAD ลงแล้วเข้าไปทักทายกัปตันของเจ้าตัวด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจและไม่ลืมไถ่ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง  ส่วนคนถูกเป็นห่วงก็ตอบคำถามด้วยสีหน้าระรื่นราวกับว่าตัวเองหลบไปพักร้อนมาไม่ได้ผ่านสมรภูมิเดือดกับวัลแคนที่กำลังคลั่งเซ็กซ์แต่อย่างใด  จนกระทั่งแมคคอยกลอกตาเสร็จไปสามตลบได้พวกเค้าจึงได้คุยกันอย่างที่คาดเอาไว้

“ไง  ฮันนีมูลน้ำผึ้งกับเจ้านั่นเป็นไงบ้างล่ะจิม  หวานหยดย้อยจนเลือดอาบไปเลยไหม?” เชคอฟไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว  เด็กหนุ่มรัสเซียมีนัดกับเดวิดอยู่ที่จอภาพโฮโลแกรมขนาดยักษ์

คนถูกถามยิ้มเปล่งประกายซุกซนแล้วยักคิ้วให้แมคคอยก่อนพูดว่า “แหม  ไม่เอาน่าเพื่อน  มันไม่แย่ขนาดนั้นซะหน่อย” จิมรูว่าเพื่อนโบนส์ชอบหยอกล้อตนกับสป็อคด้วยการประชดประชันเสมอ แต่เค้าก็ชอบที่แมคคอยทำแบบนั้น

“แล้วนายเป็นไงบ้าง  นี้คงไม่ได้เป็นร่างโคลนของนายหรอกนะ  หรือว่าจริงๆ แล้วฟอนฟาของวัลแคนเป็นแค่สี่ชั่วโมง” แมคคอยว่าอีก  หากช่วงเร้าร้อนของวัลแคนยาวนานจริงเจ้าเพื่อนผู้น่ารำคาญคนนี้ก็คงจะไม่มีทางฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้เป็นแน่

“เป็นเจ็ดวันกับอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อน” จิมแก้คำแดกดันนั้นให้ถูกต้อง  และเค้าดูเหมือนรู้สึกว่ามันไม่ใช่สถิติที่น่าตกใจอะไรเลย  แต่เพื่อนหมอที่อยู่ตรงหน้ากลับเกือบตะโกนจนบ้านแตก

โอ้พระเจ้าช่วย!  นายไม่ไปเข้าเฝ้าเฮ้งเจียบนสวรรค์ก็บุญเท่าไรแล้ว  รึว่านี่เป็นร่างโคลนของนายจริงๆ ฮึจิม!” หมอจากไอโอว่าว่าพร้อมทั้งทำท่าจะแหกตาเพื่อนกัปตันเพื่อพิสูจน์ดู  แต่โดนปัดมือออกไปเสียก่อนอย่างติดจะรำคาญ

“ไม่ใช่ว้อย  ร่างโคลนไม่มีวันเหมือนฉันไปได้หรอก” มันก็จริง เพราะไม่ว่าใครก็กวนประสาทเกินความคาดหมายเท่าจิมไม่ได้อีกแล้วแม้แต่ร่างโคลนของหมอนี้เองก็ตาม

“แล้ว” แมคคอยยอมเปลี่ยนเจตนคติก่อนจะทำหน้าสดใส (ซึ่งเค้าหลอก) “เป็นไงบ้างล่ะ?” เพราะเค้ารู้ว่าจิมมาเพื่อให้เค้าถามคำนี้โดยเฉพาะ

“ก็...” คนต้นเรื่องมองขึ้นบนแล้วส่ายหน้าน้อยๆ อย่างคิดทบทวน “มันเจ๋งมากเลยเพื่อน  และไอ้ที่นายบอกว่าเค้าไปเดทกับแจกันรอฉันกลับไปน่ะเป็นเรื่องจริง” แมคคอยคิ้วกระตุกแล้วลอบมองเชคอฟที่นั่งอยู่ถัดออกไป  และโชคดีที่เด็กหนุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับช่วงสุดท้ายของรายการทีวีห่วยๆ (แมคคอยออกความเห็นว่ายังงั้นเพราะเค้าดูไม่รู้เรื่อง แต่ไม่ใช่ความผิดที่เชคอฟชอบดูรายการที่ครอบจักรวาลไปเสียทุกเรื่อง)

“แต่เฮ้! ฉันหมายถึง...ฉันกำลังจะบอกว่า มันเจ๋งจริงๆ นะเพื่อน  เรามีเซ็กซ์กัน” จิมเลิกคิ้วสูง ทำตาโต ก่อนจะลดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่งเป็นเคลิบเคลิ้มแล้วบอกว่า “ช่ายย เรามีเซ็กซ์กันน่ะ ฮ่า..ฮ่า  เราแทบไม่ได้ทำอะไรเลย  และมันแปลกมากที่ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยไม่รู้สึกหิว เราแค่ดื่มน้ำ  เข้าห้องน้ำ  นอน  เจ๊าะแจ๊ะกันแล้วก็กลับมาดื่มน้ำต่อ” คราวนี้แมคคอยลดเปลือกตาลงบ้าง “แต่ว่ามีอยู่หลายครั้งเลยนะที่สป็อคถึงขนาดเข้าไปตามฉันในห้องน้ำแล้วเราก็เจ๊าะแจ๊ะกันในห้องน้ำ” แล้วคนต้นเรื่องก็หัวเราะ

“ฉันเกลียดนายว่ะ” น่าไม่อายชะมัด......แมคคอยคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป คำพูดที่ออกจากปากเค้าก็ร้ายกาจกว่าความคิดในใจมากพออยู่แล้ว  ร่างสูงกลอกตาไปหาเชคอฟ  ถ้าไอ้หมอนี่จะเล่าลงลึกมากกว่านี้เค้าคงต้องพาออกไปคุยนอกบ้านเสียแล้ว (ใครๆ ก็รู้ว่าแมคคอยประคบประหงมเชคอฟมากแค่ไหน ถึงเค้าจะปากแข็งว่า เดี๋ยวเด็กมันเคยตัว ตลอดก็ตาม)

จิมเคิร์กหัวเราะ เอื้อมมือมาตบไหล่แมคคอยอย่างแรงเพราะชอบใจกับคำบอกรักตามประสาคุณหมอขี้หงุดหงิด  เพราะชายหนุ่มผมทองตาสีฟ้ามักคิดเสมอว่าเพื่อนของเค้าเหน็บแนมเพราะรักเค้ามาก

“เออ” ร่างสูงของคนที่มีแนวโน้มจะเป็นหมอน้อยมากครางรับแต่ไม่ได้หัวเราะตาม  จิมจึงเริ่มพูดต่อ

“แต่มันเป็นเรื่องจริงนะเพื่อน  ฉันไม่หิว ไม่หมดแรงเลย  เหมือนกับว่าทุกครั้งที่สป็อค” เค้าเป่าลมออกจากปาก “มันเหมือนกับ” แล้วขยิบตาเอียงหัวอีก “นายเข้าใจใช่ไหม?”

แมคคอยส่ายหน้า

“เรามีเซ็กซ์กัน แล้วก็มีเซ็กซ์กันอีก” จิมโยกตัวเบาๆ “นายต้องไม่เชื่อแน่ แต่ฉันไม่อยากให้มันจบเลย” ใช่  เค้าไม่เชื่อ...และนอกจากจะไม่เชื่อแล้วแมคคอยต้องพาจิมไปเช็คสติด้วย เค้าไม่ใช่จิตแพทย์สายตรงจึงทำได้เพียงแค่ตรวจร่างกายทั้งภายในและภายนอกเท่านั้น

“พลังแห่งจักรวาลไหลเวียนอยู่ในตัวนายสองคนเลยงั้นสิ” หมอแห่งยาน Enterprise โบกมือที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กน้อย  จิมสูดหายใจลึกอย่างรู้สึกดี  แมคคอยจึงบอกตัวเองว่าถ้าขืนทำท่าเพี้ยนอีกครั้งหนึ่งเค้าจะออกปากด่าแล้ว

“โอ้ เพื่อน อย่างเจ๋งเลย!” ดวงตาของจิมเป็นประกาย  เค้าดูดีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้แต่แมคคอยที่รู้จักกันมานานก็ไม่อาจปฏิเสธได้  “ฉันอยากให้มีแบบนี้อีกจัง! นายข้าใจใช่ไหม  ให้เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เราอยากมีเซ็กซ์กันเลย”

“เฮ้อ  นายจะบ้ารึไงจิม  ไอ้คำว่า อยาก มันเป็นของนายคนเดียวไม่ใช่เหรอ  นายก็รู้ว่านาย อยาก ทุกๆ ห้านาทีน่ะ”

“ฮ่าๆๆๆ  นั่นมันก็ใช่”

“ไม่ต้องมา นั่นมันก็ใช่ เลย” แมคคอยกลอกตา “ฉันอยากจะบ้าตาย” ไม่คิดว่าเพื่อนของเค้าจะเกินความคาดหมายได้ถึงขนาดนี้  “แล้วนี่นายมาคนเดียวหรือไง  ทิ้งเจ้าหมอนั่นไว้คนเดียวอย่างงั้นเหรอ?” แต่แล้วเค้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสป็อคเองก็ควรมาด้วย  ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยอยู่บ้างก็ตาม

จิมยิ้ม ทำตาเป็นประกายดูตื่นเต้นน่าดู  ส่งเสียงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน “อ่อ  เค้าก็มาด้วยล่ะ”

“แล้วหมอนั่นอยู่ไหน?!” แมคคอยทำหน้าเหมือนโดนฆาตการโรคจิตตามฆ่า

และจู่ๆ เรือนผมสีดำขลับที่ถูกดูแลอย่างเรียบร้อยก็เลื่อนขึ้นมาจากหน้าต่างรับแสงแดดที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง “คุณหมอถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างยิ่งที่คุณถามหาถึงผม  แต่มีความเป็นไปได้ถึงเก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นที่มันไม่ได้เป็นไปด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ”

“เฮ้ยย! แกมาได้ไง...”

“คุณสป็อค!” เชคอฟที่ทั้งตกใจและไม่คาดฝันอย่างยินดีชิงโพล่งขึ้นตัดบทของแมคคอยเสียก่อนความรวดเร็ว  เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมีกระต่ายเด้งออกมาจากกระโปรงรถของคุณหมอเจ้าของบ้านอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“อรุณสวัสดิ์คุณเชคอฟ” วัลแคนหนุ่มที่ดูท่าว่ากำลังไพ่มือไปด้านหลังอยู่นั้นพยักหน้าให้ต้นหนตัวน้อยช้าๆ  แต่แมคคอยกัดฟันกรอด

“ฉันเกลียดแก” เค้าว่าเสียงต่ำ “แกทั้งคู่เลย” และกำลังจะไล่ทั้งสองคนให้กลับๆ ไปเสียทีหากหมดธุระกับบ้านของเค้าแล้วแต่ทันใดนั้นเด็กหนุ่มหัวหย่อยของคุณหมอก็ยิ้มร่าขึ้น

“เข้ามาข้างในก่อนสิครับคุณสป็อค” เดวิดไม่ได้รับความสนใจจากเชคอฟไปแล้วในตอนนี้

จิมซึ่งลอบยิ้มดูแมคคอยออกจึงแสยะยิ้มขึ้นมาอีกเล็กน้อย “เค้าเป็นเด็กดีนะ  นายอบรมดีจริงๆ เพื่อน”

“หุบปากไปเลยจิม” แมคคอยแหวใส่ “ฉันกะจะโยนแกออกนอกบ้านให้ไปยืนทำหน้าเป๋ออยู่กับคู่ของแกซะด้วยซ้ำ” เพื่อนหมอที่รักยิ่งพูดรอดไรฟัน  แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำเชิญของเชคอฟแต่อย่างใด......เด็กหนุ่มชาวรัสเซียคนนี้เข้าออกบ้านหลังนี้จนกลายเป็นเจ้าของอีกคนหนึ่งของบ้านไปแล้ว หากเจ้าตัวเชิญใครแม้แต่แมคคอยเองก็ไม่สามารถขัดข้องได้

เชคอฟชวนทานมื้อเช้า  และแมคคอยกระแทกหน้ากับผ้ามือพร้อมกับบอกว่า จะบ้าตาย  ก่อนสป็อคจะเข้ามาแล้ววิจารณ์การแต่งบ้าน แม้ส่วนมากจะค่อนไปในทางที่ดีแต่แมคคอยก็รู้ว่ามันแฝงคำเจ็บแสบตามประสาวัลแคนไว้ด้วย  เค้าเลยด่าสป็อคกลับไป

“ฉันไม่มีมื้อเช้าให้แกสองคน” ลีโอนาร์ด   แมคคอย เริ่มกลับเข้าสู่โหมดไม่พอใจ

“ไม่เป็นไรคุณหมอ  ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงยี่สิบแปดนาทีก่อนหมดเวลาทานอาหารเช้า  และผมเกรงว่าเราสองคนก็ไม่ได้รู้สึกหิวด้วยเช่นกัน” สป็อคหันไปและจิมยิ้มให้

“ฉันบอกว่า ไม่มี!  ไม่ใช่ถามแกว่า กินไหม? ไอ้คิ้วชี้!” แมคคอยกระแทกเสียงใส่วัลแคนหนุ่มที่บัดนี้คิ้วกลับมาอยู่ที่เดิมต่างจากเมื่อเกือบสิบวันก่อนโดยสิ้นเชิง “และฉันเกรงว่ามื้อเช้าของเราจะหมดแล้ว” เจ้าของบ้านเลียนแบบเพื่อล้อเลียนตบท้ายได้อย่างเจ็บแสบ  ดูสะใจตัวเองนิดๆ เพราะจิมถึงขนาดหลุดขำออกมา  แต่เชคอฟทำหน้าหงอย เด็กหนุ่มไม่อยากให้บุคคลสำคัญทั้งสองของ Enterprise ต้องฟาดฟันฝีปากกันอีกเหมือนอย่างเช่นตอนที่อยู่บนยาน  แบบว่า เฮ้ ไม่เอาน่านี่นอกเวลางานแล้วนะ

จิมสังเกตเห็นเด็กหนุ่ม “ไม่เอาน่าเพื่อน  นายก็รู้ว่าเชคอฟอยากให้พวกนายญาติดีกันแค่ไหน......หยวนๆ ให้กันหน่อยเหอะน่า นะ” คนพูดเดินมาข้างๆ เชคอฟแล้วกอดคอจนอีกคนหนึ่งต้องเซตาม  กัปตันเคิร์กเพยิดเพย้อมาที่คนในอ้อมแขนเพื่อบอกเป็นเชิงว่าเห็นใจเด็กคนนี้หน่อยเถอะน่า

“เอามือออกมาเลยจิม นายจะทำให้เชคอฟติดเชื้อ...”

“ผมไม่เข้าใจว่าเพียงแค่การที่จิมสัมผัสโดนคุณเชคอฟจะทำให้ติดเชื้อได้ด้วย จิมไม่เคยมีเชื้อ...”

“ฉันเเค่เปรย...เปรยน่ะเปรย! แกนี่หนักกว่ามันอีกไอ้...”

“เฮ้ โบนส์ นายอย่าใจร้ายสิ นี่ต่อหน้าเด็กนะ”

“แกน่ะหุบปากไปเลยจิมมี่!

“คุณหมอแมคคอย ผมเกรงว่าต้องบอกให้คุณรู้ว่าผมไม่ใคร่ชอบใจนักหากคุณจะเอ่ยถึง...”

“แกอย่าจุ้น! ไอ้หนูผี”

“แต่คุณหมอแมคคอย...”

“ฉันออกงานแล้วโว้ย ตอนนี้ไม่ใช่หมอแต่เป็นเจ้าของบ้านที่กำลังยั๊วะและกำลังจะไล่แกออกจากแล้วเข้าใจ?”

จิมกอดเชคอฟแน่นในขณะที่เด็กหนุ่มแอบถอนหายใจและเก็บรอยยิ้มไปด้วย  เจ้าตัวไม่ได้ตระหนกแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อยเพียงแค่รู้สึกดีที่วันนี้บ้านไม่เงียบและมีเรื่องเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นแต่เช้า

และหวังว่ามันจะดำเนินต่อไปตลอดทั้งวัน เพราะเชคอฟชอบให้ครอบครัวของเค้าอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ ถึงจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนก็ตาม  แต่เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองนิสัยไม่ดีเอามากๆ ที่ชอบเห็นเวลาแมคคอยทะเลาะกับสป็อคเพราะแม้แต่จิมเองก็ชวนเค้าไปนั่งกินป็อปคอร์นดูสองคนนี้ต่อปากต่อคำกัน

“เราได้หยุดกี่วันนะเชคอฟ?” หนุ่มผมบล์อนที่เอาเท้าพาดบนโต๊ะรับแขกยิ้มขณะเคี้ยวป็อคอร์นกรอบๆ ฟันคู่น่ารักของเค้าไม่เคยน่าดูน้อยลงเลย และมันเพิ่มเสน่ห์ให้กับเจ้าตัวเป็นอย่างมาก

คนถูกถามนั่งอยู่บนโซฟายาวตัวเดียวกันกับกัปตันของเค้า  เด็กหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะเลิกเก๊กแล้วยิ้มแก้มปริ “ไม่รู้สิครับ  ผมก็ไม่รู้เหมือน” เชคอฟหัวเราะคิกแล้วจิมก็หัวเราะตามเสียงดัง

แมคคอยกำลังบ่นสป็อคเรื่องนั่งเก้าอี้ตัวโปรดของเค้านั่นแหนะ

ฮ่ะ! ฮาชะมัดเลย



***************************************************************************



“คุณกำลังดูอะไรอยู่เหรอ?” ชายหนุ่มพลิกตัวมาอยู่ข้างๆ พลางถามคนรักของเค้าว่ากำลังสนใจสิ่งใดอยู่ในเวลานี้

ซูลูหันมาก่อนจะยิ้มให้  รอยยิ้มของเค้าเปื้อนเสียงหัวเราะ “อ๋อ  เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” คนที่นอนคว่ำกับพื้นเตียงหนานุ่มอุ่นสบายพูดขึ้นถึงปากบอกว่าไม่มีอะไรแต่ก็ยังให้ความสนใจกับมันอยู่หลังจากหันมามองหน้าอีกคนหนึ่งเพียงชั่วสั้นๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิได้วางสิ่งที่อยู่ในมือลงแต่อย่างใด

ครอบครัวของคุณเหรอ?” แม้แต่เค้าก็ยังยิ้มไปด้วย  ในมือของซูลูคือรูปใบเก่าที่ถูกถ่ายขึ้นบนยาน Enterprise ในวันแรกที่เหล่าคนกล้าได้ออกไปทำภารกิจในอากาศอันไกลโพ้นเป็นเวลานานถึงห้าปีและมันทำให้เค้าทรมานสุดใจเมื่อรู้ว่าคนรักต้องจากไปทำหน้าที่นานขนาดนั้น  แต่ทว่าก็บอกตัวเองได้ว่าเค้าควรภูมิใจที่ซูลูได้ทำเรื่องที่ไม่เคยมีคนกลุ่มใดได้ทำมันมาก่อนและควรตั้งหน้าตั้งตารออีกฝ่ายกลับมาอย่างปลอดภัย 

ชายหนุ่มผิวสีเข้มเชื้อสายญี่ปุ่นสังเกตรูปในมือของคนข้างๆ  ทุกคนในรูปยิ้มแย้ม  ตรงกลางมีชายหนุ่มผมบล์อนที่ดูอายุยังน้อยเมื่อเทียบกัปสีเสื้อกับเก้าอี้ที่เค้ากำลังนั่งอยู่ เดาว่านั่นคงเป็นกัปตันเคิร์กที่อีกคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ อยู่เสมอเป็นแน่และตรงนั้นเองคือซูลูที่ใส่เสื้อสีเดียวกัน ยืนเคียงอยู่ข้างเก้าอี้ของกัปตัน  และพร้อมเพรียงไปด้วยสมาชิกคนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่แตกต่างกันออกไปแต่ทว่าดูแล้วล้วนสลักสำคัญไม่แพ้กันเลย

ทุกคนดูยอดเยี่ยมและเป็นครอบครัวที่อบอุ่น

“ผมคิดว่าผมโชคดี” ชายหนุ่มผิวสีเข้มที่กอดไหล่เปลือยเปล่าของอีกคนหนึ่งอยู่พูดขึ้นทำให้คนถูกโอบหันมามองด้วยใบหน้าใคร่สงสัย

“ยังไง? คุณอยากทำงานกับผมยังงั้นเหรอ?” ซูลูเย้า เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้หากเป็นเช่นนั้นลูกสาวของพวกเค้าคงไม่มีคนคอยดูแลเป็นแน่ เนื่องจากการเป็นคนขับยานเช่นเจ้าตัวนั้นไม่มีเวลางานที่ตายตัวนัก

คนข้างกายส่ายหน้าช้าๆ แล้วบอกว่า “ผมโชคดีที่พวกเค้าทุกคนล้วนเป็นคนที่ยอดเยี่ยม  ทุกคนเก่งมากนี่ใช่ไหม?  คุณเคยบอกว่ากัปตันของคุณเคยยอมสละชีวิตเพื่อช่วยลูกเรือไว้และทุกคนก็เป็นห่วงเป็นใยกัน” เค้าระบายยิ้มอีกพลางใช้นิ้วสัมผัสแก้มของซูลู “ผมโชคดี เพราะมั่นใจได้ว่าพวกเค้าจะดูแลคนสำคัญของผมอย่างดี...ดีที่สุดเท่าที่พวกเค้าจะทำได้  ผมควรวางใจหนิ ถูกไหม?”

ซูลูวาดยิ้มบ้างก่อนจะหลุดหัวเราะแล้วสบตาคนที่ห่มผ้าผืนเดียวกัน “คุณจะพูดจาเห็นแก่ตัวมากเกินไปแล้วนะ” ก่อนจะจูบปากคนเห็นแก่ตัว

“อ้าว แล้วไม่จริงเหรอ?” เค้ายิ้มหลังผละจูบออกมา “ผมว่าคงดีกว่าให้ผมเป็นห่วงคุณจนไม่เห็นด้วยที่คุณออกไปทำงาน” แล้วจูบของพวกเค้าก็ดำเนินขั้นไปเป็นดูดดื่ม  ม้วนตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วเกิดเสียงเสียดสีของผิวกายอย่างวาบหวาม

“เฮ้  คุณรู้ไหม ผมได้นั่งเก้าอี้กัปตันในตำแหน่งรักษาการบ่อยมากเลยนะ เพราะกัปตันของเราชอบลงไปภาคพื้นมากกว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ในสะพานเรือ” แววเสียงซูลูลอดออกมาคล้ายกำลังหัวเราะ  อีกคนหนึ่งจึงตอบรับไปก่อนจะมีเสียงใครบางคนร้องออกมาเบาๆ

“ผมถึงว่าทำไมช่วงนี้คุณถึงชอบสั่งผมนัก”

เสียงซูลูร้อง “อย่าบ่นน่า” ก่อนเค้าจะกลายเป็นคนบ่นอีกคนหนึ่งเสียเองเมื่อผ้าห่มเรื่องไหวไปมา

มีเสียงดังขึ้นอีกแล้ว  เดาว่าพวกเค้าคงจะรำลึกความคิดถึงกันเป็นรอบที่เท่าไรก็นับไม่ถ้วนแล้วอีกเป็นแน่



.



.



.



THE END.



---------------------------------------------------------------------------------------------



ฮร๊ายยยยยย!! บ้าจริงๆ เลยเชียววว ><  ขนาดจะจบแล้วยังทำรั่วกันอีกนะคะ (อ้าว) 555555  แต่ที่น่าทุบรัวๆ แล้วพูดว่า “บ้าจริงๆ เลยเชียว” เห็นทีว่าคงจะเป็นคู่ของซูลูกับแฟนค่ะ  อร๊ายย  แหม ไรท์รู้สึกเกรงๆ แฮะ เพราะเห็นแค่หน้าเค้าแวบๆ ในหนังกับแผ่นหลังที่หายไปพร้อมกับซูลู  ดูน่ารักกันเนอะ “ดีใจจังที่คุณมาได้...” หรืออะไรสักอย่างหนึ่งนี่แหละค่ะ 55555  ทำนองนี่ แต่แค่นี้ก็ทำเอาคนที่นั่งดิ้นอยู่ในโรงฟินได้ค่ะ  อร๊ายยยยยยยยยยยยยยย!!!   บ้าาาา >[]<

อิจิมมัน.......ไร้เสียงบรรยายค่ะ  ก็เนอะคนลั้นล้ายังไงก็ลั้นล้าวันยันค่ำค่ะ  555555  สป็อคเข้าโหมดเดิมแล้วค่ะ  ส่วนหมอทำเอาไรท์อมยิ้มนิดๆ เลยค่ะ  รู้สึกเหนื่อยแทนเนอะต้องบ่นพร้อมกันสองคนเลย 55555  ทั้งอิจิมและสป็อค  ส่วนน้องเชคอฟก็เป็นยาชูกำลังให้หมอยังหายใจอยู่ได้ค่ะ 55555  โอ่ววว น้องเชของไรท์ //โดนหมอทุบหัว//  ผิด!!  ของหมอต่างหาก.......ฮาา  อ่า จา จ้า  ของหมอไงจะเป็นของใครไปได้ 55555555

รู้สึกดีเนอะที่ได้มองทุกคนบน Enterprise เป็นครอบครัว  ก็มีกัปตันที่แสนดีแบบใจซื้อใจและน่ารักขนาดนั้นนี่เนอะ  โอ๊ยยยยย  Star Trek จะมีภาค 4 ไหมคะ?  มีมาเมื่อไรบอกไรท์ด้วยค่ะจะเคลียร์คิวรอเลย  เฮ้ออ  ไม่อยากให้จบเลยค่ะ  //แกก็เป็นงี้ทุกเรื่องแหละ -*-//   ต้องขอขอบคุณรีดผู้มีพระคุณของไรท์ทุกท่านมากๆ เลยนะคะที่กรุณาอ่านและให้กำลังใจกัน //โค้ง// M_ _M 

เรื่องหน้าเราจะเจอกันกับใครต้องติดตามค่าา  ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ  รักรีดเหมือนเดิมนะคะ


ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund




วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[SF – Star Trek] + [Part 3] FONFA – Spock x Kirk , McCoy x Chekov



อร๊ายยยยยยยยยยย!!!!  สวัสดีค่ะรีดๆ ที่รักยิ่งของยิ่งของไรท์ขาา TMT  มาลงฟิค Part นี้นี่น้ำตาซึมไปด้วยเลยค่ะ  คิดว่าจะไม่ได้มาลงซะแล้วค่ะ  ตอนที่คอมเสียแล้วช่างโทรมาบอกว่าอาจกู้ข้อมูลกลับมาไม่ได้นะครับ  หรือหากเอามาได้ก็น้อยมาก  ไรท์นี่ใจหายแวบเลยค่ะ....แต่สุดท้ายแล้ว ฟิคของไรท์ก็ปลอดภัยค่ะ TwT    งานหายทำใหม่ได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าฟิคหายจบกันเลยชีวิต! //ดูความคิดมัน -*-//

อูยยย  ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไรท์หายไปนานเลย  เพราะคอมเสียด้วย เพราะเรื่องเรียนด้วยเลยช้าน่ะค่ะ  แต่วันนี้มาไถ่โทษแล้วค่าาา ^^   จาก Part ที่แล้วก็ส่อแววว่าจะได้เห็นเค้าออกกำลังกายช่วงเอวไปแล้วเนอะ แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกันซะก่อน 555555555

แต่ว่าตอนนี้เค้าอยู่ในห้องของตัวเองแล้วล่ะค่ะ 555555  เชิญรีดๆ ไปตามติดที่ห้องของพวกเค้ากันได้เลยค่ะ ><  //ไรท์ไปส่องลาดลาวแล้วล่ะ คนหนึ่ง 5555// 

จิมมี่ที่รัก >////<





-----------------------------------------------------------------------------------------




เจมส์ ไทบีเรียส เคิร์ก หอบหายใจเอาไอร้อนผะผ่าวออกมาอย่างแรงจนเห็นได้ชัด  ร่างเล็กบอกตัวว่าให้ลืมการขัดขืนในตอนแรกของตัวเองเสีย จะอย่างไรสป็อคก็เก่งเสมอ อีกฝ่ายหนึ่งจุดประกายไฟในอกของเค้าได้เสมออยู่แล้ว  ดังนั้นกัปตันเคิร์กจึงเหลือบตามองรองกัปตันของตัวเองด้วยหางตา



.



.



.



*******************************************************************************




.



.



.



ตึ้งง!

“ฮา...ฮาา สป็อค! อ้า!” ร่างเล็กลั่นชื่อของอีกฝ่ายออกมาและคำรามในลำคออย่างทรมาน  จิมเกร็งนิ้วและหนีบขาปัดป้ายเสียดสีกับสีข้างของสป็อคไปมา  ไม่ได้จดจ่ออยู่กับการใช้ขายืนอีกต่อไปเนื่องจากอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นวัลแคนหนุ่มแน่นเต็มวัยและมีความแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไปกำลังยืนแทนเค้าอยู่

“สป็อค!” จิมตะโกนอีก มือปัดป้ายไปตามผนังซีเมนต์เสริมเหล็กกล้าที่ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรให้ยึดเกาะแต่เค้าก็ยังอยากที่จะขอพักพิงกับมันราวกับว่าจะขอยืมที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ลาดเอียงลงจากตำแหน่งของตัวเองได้ 

ร่างเล็กร้องเสียงดังอีกสองสามคำต่อจากนั้น มันฟังดูทรมานและเจ็บปวดเป็นอย่ายิ่ง......แต่ทว่าความจริงแล้วกลับไม่ใช่เลย  เสียงครวญครางที่คลอเคล้ากับการอุทานชื่อของอีกฝ่ายนั้นบังเกิดมาจากความเสียวซ่านที่กระตุ้นสันไปจนหมดทุกส่วน  ร่างเล็กรู้สึกได้เลยว่าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วนอกจากการทำรักแล้วทำรักอีก......ถึงแม้จะถูกสอดใส่ซ้ำไปซ้ำมาแต่กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่พอ  ความร้อนรุ่มของพื้นดาววัลแคนอาจเทียบเทียมไม่เท่าความร้อนที่ก่อตัวขึ้นในกายของเจ้าตัวได้และจิมมั่นใจว่าสป็อคเองก็เช่นกัน

ฟอนฟาของวัลแคนเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ  มันช่างวิเศษจริงๆ แม้แต่ตัวร่างเล็กเองที่เป็นเพียงแค่มนุษย์ก็ยังรับรู้ได้ถึงการหลั่งไหลที่ไม่รู้จักคำว่าพอนั้น  แล้วเมื่อไรมันจะถึงเวลาหยุดล่ะ?  จิมนึกคำถามเลือนรางนี้ขึ้นมาในหัวสมองอันขาวโพลนของตนเองพลางเด้งสะโพกขึ้นหนีบางสิ่งที่กำลังแหวกกายของเจ้าตัวอยู่อย่างเร้าร้อนและเคลื่อนเข้าออกเสียจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ  มีน้ำมากมายไหลออกมาจากช่องทางของมนุษย์โลกที่ตัวเล็กกว่า บ่งบอกได้ชัดเจนว่าพวกเค้าทำกันมามากมายกี่ครั้งแล้วจนมันล้นออกมาอยู่นอกตัวของร่างเล็ก......แต่หากถามจริงๆ จิมก็สามารถออกปากตอบด้วยความไม่เขินอายได้ว่ารู้สึกยินดีแค่ไหนที่ฟอนฟาของวัลแคนมาถึง และไม่อยากให้มันจบลงเลยแม้แต่นิดเดียว  อูฮูร่าคงจะคิดว่ากัปตันของเธอบ้าไปแล้วแน่ๆ หากรู้ว่าจิมรู้สึกนึกคิดเช่นไร (แต่ความจริงแล้วจิมไม่รู้ว่าเธอเองก็ไม่เคยรับรู้ช่วงถึงฟอนฟาของวัลแคนมาก่อนด้วยเช่นกัน มันเป็นเพี้ยงมุกอำเพี้ยนๆ ที่อูฮูร่าไม่เคยได้ใช้กับใคร)

“โอ้พระเจ้า....สป็อค” ร่างเล็กจิกปลายนิ้วไปบนผนังเย็นเชียบ และขบกัดริมฝีปากอย่างเสียวซ่าน

ร่างสูงเจ้าของชื่อบีบสะโพกของคนด้านหน้าเอาไว้แน่น ขาแข็งแรงของเค้าหยัดตรงแต่ย่องอข้อต่อเพื่อให้เอื้อยอำนวยต่อการขยับ “จิมคุณก็รู้ว่าการเอ่ยเรียกชื่อผมไม่ได้ก่อให้เกิดตัวช่วยในการร่วมรักของเราเลยแม่แต่น้อย  แต่ต้องขอยอมรับว่ามันสร้างปฏิกิริยากระตุ้นให้ผมได้อย่างน่าประหลาด” สป็อคหยัดเอวขึ้นครั้งหนึ่งและมันไม่เบานัก

“อ๊าา!” จิมเริ่ดหน้าขึ้นและร้องเสียงค่อนข้างดัง สงสัยมันจะไปสะกิดจุดนั้นของเจ้าตัวเข้า

“และผมขอยืนยันให้คุณทำแบบนั้นต่อไป...” สป็อคดูลามกแต่มันอาจเป็นผลข้างเคียงจากช่วงเวลาสำคัญนี้

“อื้ออ!

“...ผมรู้สึกชอบเสียงของคุณยามนี้มากเหลือเกินจิม” แล้ววัลแคนหนุ่มก็ดันตัวเข้าใกล้ผนังห้องมากขึ้นอีก

“อ่าา! ลึกไปแล้วสป็อค...ลึกไป! อาา โอ้พระเจ้า เบาหน่อยเบาหน่อยฉัน...อ้าา อาๆๆ” สป็อคเริ่มขยับแล้ว “คลอนแล้ว อ่าา...า ฮือ อา จะหล่นแล้ว” จิมเกร็งตัวเต็มที่เพราะความเสียวซ่านแต่มือก็ควานจิกนิ้วไปทั่วกำแพงราวกับว่ามันมีรองขรุขระให้ยึดเกาะได้จริงๆ  และด้วยเหตุที่วัลแคนแรงเยอะกว่ามนุษย์ถึงสามเท่านั้นเองคนที่รองรับร่างกายของวัลแคนเข้าไปจึงใกล้ไถลลงจากผนังเย็นเชียบ  จิมผวาเข้ากอดไหล่กว้างของสป็อคไว้ทันทีแล้วจิกเล็บแน่นเมื่อจังหวะการขยับกายไม่ได้ช้าลงเลย

“อืออ....อืออ  อ่าา  อ๊ะ โอ้พระเจ้า!....เจ็บ สป็อค เจ็บ  อ๊า! อาๆๆ” ร่างเล็กกดหน้าลงกับลาดไหล่แข็งแรงของวัลแคนแล้วเผลอลงฟันไปเต็มเขี้ยวด้วยความกระสันที่พาให้กายสั่นระริก  สป็อคหอบหายใจหนักหน่วงและคำรามในลำคอเมื่อโดนกัด

“อ๊าา ลึกไป...อือ ฮาา....โอ้ อ่าา” ถึงแม้จะบอกว่าสภาพการณ์ย่ำแย่แค่ไหนแต่ร่างเล็กก็ตวัดลิ้นขึ้นไปเลียใบหูของอีกคนหนึ่งด้วยความรู้หน้าที่ทันที  ร่างสูงจึงเร่งเครื่องขึ้นและไปกระตุ้นให้คนในอ้อมกอดต้องขบใบหูแหลมนั้นอย่างตื่นตัว แต่ก็ไม่เต็มแรงนัก

สป็อคไม่ได้คิดสิ่งใดอยู่ในหัวอีกแล้ว  ความขาวโพลนสว่างวาบไปทั่วสมองอันชาญฉลาดของเค้า  มีเพียงเสียงของความทรมานเสียวซ่านและใบหน้ารื้นน้ำตานั้นของจิมเท่านั้นที่เค้ารับรู้และสนใจ  วัลแคนหนุ่มดันตัวร่างเล็กไปผิงผนังแล้วเริ่มประกบกายบดขยี้ด้วยความเร็วที่จุดชนวนความร้อนได้เป็นอย่างดี

“อาา  สป็อค...อ่า  ฉัน...อืม....อ่าา ฉันจะไปแล้ว...ใกล้แล้ว อ๊า..อ้าๆๆๆๆ ฮึก....อ๊าา!” ขาขาวที่หนีบข้างลำตัวแกร่งเพื่อยึดเกาะ แต่บัดนี้มันกลับกางออกและเหยียดชี้ไปทั่วจากการกระตุกเกร็งที่พุ่งทะลักออกมาจากกาย

“อาา....จิม  อึก!” และพร้อมกันนั้นแรงตอดรัดยามเมื่อได้ปลดปล่อยของร่างเล็กก็ทำเอาร่างสูงด้านล่างถึงกับต้องตามไปติดๆ 

“ฮู้ว ฮา...ฮา...ร้อนชะมัดเลย  อะ ไอ้นั่นของนาย อยู่ในตัวฉันมัน.....อ้าา!” ร่างเล็กที่หอบจนตัวสั่นเทิ้มยังทันพูดไม่ทันจบประโยคดีก็โดนยกขึ้นแนบตัวแล้วถูกโยนลงบนเตียงเสียแล้ว

อย่าบอกนะว่าต่อยกสองน่ะ.......อ่อใช่  สป็อคเป็นฟอนฟานี่หว่า!

“โอ้ ให้ตายเถอะ  ไว้ชีวิตฉันด้วย” จิมพึมพำในตอนที่สป็อคโถมกายคร่อมทับ

“คุณพูดอะไรเหรอจิม?” ร่างสูงถามแต่ไม่ได้ใคร่สนใจในคำตอบนัก  ริมฝีปากบางที่อุ่นร้อนยิ่งกว่าพื้นดาววัลแคนซุกไซร้และไล้จูบไปตามลำคอขาวที่เริ่มชื้นเหงื่ออีกครั้งด้วยความร้อนรุ่มของร่างเล็ก

“อ๊าา!” และดูเหมือนว่านิ้วมืออันแสนวิเศษของร่างสูงจะทวีความพิเศษขึ้น  ทุกครั้งที่สป็อคแตะจิมก็จะสะดุ้งเร้า  บิดเกร็งและครวญคราง......

ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์กับอีกสิบสี่ชั่วโมงต่อจากนี้



.



.



และในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน  ถัดไปอีกหลายห้อง

“อื้อ คุณหมอ...อ๊า! หมอแมคคอย  ผมจะ...อ้าา!” เด็กหนุ่มผวากอดชายที่ประคองสะโพกกลมกลึงของตนเองเอาไว้แน่น

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมเชคอฟว่าให้เรียกแมคคอยเฉยๆ ตอนนี้เราไม่เรียกฉันว่าหมอหรอก  อาา”

“อ่าา  คะ ครับ คุณหมอ”

“ให้ตายสิ” แมคคอยถอนหายใจพรืด ถึงแม้จะหอบหายใจหนักอยู่ก็ตาม “เด็กไม่ฟังคำสั่งหมอจะต้องโดนยังไงรู้ไหมเชคอฟ?” แมคคอยก้มลงขบกัดติ่งหูเด็กหนุ่มด้านล่างอย่างแผ่วเบา แต่คนโดนคาดโทษกลับหดคอหนีแล้วสั่นระริกราวกับลูกนกขาดพ่อแม่ที่โดนลมหนาวพัดโหมใส่  ดังนั้นคนที่คอยโอบรัดด้านบนจึงเร่งให้ความอบอุ่นด้วยการกระทันกายเข้าไปลึกขึ้นและโอบกอดให้กระชับมากขึ้นด้วย

อ๊า! อ้า! อ่าๆๆๆ ฮึก อาา...า อาๆๆ” เชคอฟหลับตาปี๋ น้ำตาแห่งความเสียวซ่านไหลลงมาในทันใดเมื่อคนด้านบนเร่งจังหวะจนเจ้าตัวสั่นคลอนไปหมดแต่โชคดีที่ร่างสูงคอยกอดไว้จึงไม่ถลาไป

ลงโทษไงล่ะเด็กน้อย”

“อ๊า! คุณหมอ...หมะ  อ๊าา”

แมคคอย เชคอฟ...อ้า” บุราแดนใต้ดุอีกรอบก่อนจะมอบลงโทษที่ทำให้เกิดเสียงครางหวีดหวิวดังลั่นไปทั่ว  แต่แทนที่มันจะเจ็บปวดกลับหลอมละลายเด็กหนุ่มให้ตัวสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั้นด้วยความเสน่หาและกระสันอยาก

เค้าไม่ใช่วัลแคน  ไม่ได้อยู่ในช่วงที่โหยหาการผูกกายกับใครแต่ทว่าแมคคอยก็ดูกระหายและช่ำชองมากเกินกว่าจะมองข้ามไป  ผ้าปูที่นอนต่างหลุดลุ้ยออกมาจากขอบ  มันยับย่นอยู่ใต้ร่างของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งขยำแน่นไปที่แผ่นหลังสีแทนของชายด้านบนอย่างเสียวซ่านเมื่อแมคคอยจับขาข้างหนึ่งของเชคอฟให้อ้าออกกว้างแล้วประกบติดกายเข้าออกได้แนบชิดมากขึ้น

ร่างสูงดูเชี่ยวชาญเป็นที่สุดกับการกระตุ้นจุดกระสันแห่งความต้องการของเด็กหนุ่ม  แมคคอยรั้งคอเชคอฟมาแล้วส่งปลายลิ้นลงไปตวัดเลียตามแนวเส้นลำคอน้อยๆ นั่นให้เจ้าตัวได้เริดหน้าส่งเสียงครางสั่นพร่าไปพลางๆ ก่อนจะวาดลิ้นขึ้นไปทักทายกับใบหูเล็กเป็นการพิเศษ

เชคอฟแอ่นกายและลำคอจนมันเหยียดตรงดูเชิญชวนอย่างเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง และพร้อมกันนั้นเด็กหนุ่มก็ส่งเสียงร้องออกมาจากก้นบึ้งแห่งความต้องการอย่างไม่ทันได้ปิดกั้นใดๆ ทั้งสิ้น  ร่างสูงรู้เสมอว่าจุดไหนที่ทำให้เด็กน้อยของเค้าต้องดิ้นเร้าและส่งเสียงร้องราวกับขอชีวิตด้วยน้ำเสียงที่แสนหวานเช่นนั้นได้

ใช่ แมคคอยชอบตรงนั้นแหละ  เค้าชอบมันมาก  ดังนั้นเค้าจึงไม่รอช้าที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง  ร่างสูงจากไอโอว่าจับขาข้างหนึ่งของคนด้านใต้ให้อ้าออกแล้วสอดกายด้วยความเร็วอันสม่ำเสมอ  อีกมือหนึ่งของเค้าก็จับลำคอขาวนวลราวกับเด็กๆ นั้นให้เเหงนเอียงอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่เค้าจะได้ใช้ลิ้นของตัวเองหยอกล้อกับเชคอฟให้มากยิ่งขึ้นอีก  ใบหน้าคมคายคลอเคลียอยู่กับใบหูนิ่มนั้นจนแทบจะกลืนเป็นส่วนเดียวกันอยู่แล้วรอมร่อ

แมคคอยดูสนุกและจดจ่ออยู่กับส่วนอ่อนนุ่มที่ข้างเรือนผมของเชคอฟมากเป็นพิเศษแต่ถึงกระนั้นเค้าก็ยังคงทำหน้าที่ของการสอดประสานได้อย่างดีเยี่ยม  ร่างเล็กที่เหมือนกำลังถูกกัดกินจากชายด้านบนขวนแผ่นหลังสีคมเข้มนั้นจนเป็นรอยชัด  ร้องเสียงหลงหวีดหวิดแล้วปลดปล่อยออกมาในที่สุด  เชคอฟสั่นกระตุกอยู่หลายทีราวกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเปิดบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก  ก่อนจะต้องทำหน้าที่เพื่อแมคคอยต่อไปอีกพักหนึ่ง  และเด็กหนุ่มก็เป็นอันต้องตัวสั่นกระตุกอยู่หลายรอบทีเดียวกว่าร่างสูงจะพอใจ

เชคอฟชอบตรงไหนเค้าก็รู้หมดนั่นแหละ......ก็เออ เค้าเป็นหมอนี่นะ



*************************************************************



อู่วว  คุณต้องไม่เชื่อแน่! พอถึงรุ่งเช้าทุกอย่างกลับสู่ความเป็นจริง  วันคืนสู่เหย้าที่ได้กลับมายังโลกของทุกคนได้ผ่านพ้นไปแล้วถึงหนึ่งคืน  คุณก็รู้ใช่ไหม พวกเค้ามีนัดรายงานตัวกันวันนี้และถือเป็นหน้าที่ที่ๆ ต้องทำ  แม้แต่หมอแมคคอยที่แทบจะแบกเชคอฟมารายงานตัวเค้าก็มาพร้อมหน้าเหมือนกับทุกๆ คนจนได้  แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อท่านนายพลถามว่ากัปตันและรองกัปตันของพวกเค้าหายไปไหนเสียล่ะ?

เกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอ?!

ไม่......ไม่มีใครรู้เลย  ทุกคนมองหน้ากันเลิกลัก  อันที่จริงต้องพูดว่ามองเลิกลักกันให้ขวักเสียมากกว่า......ก็แหงล่ะ เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนสป็อคเพิ่งฟอนฟากำเริบกับจิมที่ไปติดอาการฟอนฟากำเริบมาจากเจ้าตัวแพร่เชื้ออีกทีหนึ่ง 

จะเว้นก็เสียแต่คุณหมอใหญ่ประจำยานน่ะล่ะที่ยืนนิ่งกลอกตามองเพื่อนร่วมยานอยู่ซ้ายทีขวาที  แมคคอยดูสงบนิ่งและจดจ่ออยู่กับการมองหน้าที่ดูโง่และตลกของลูกเรือที่อยู่ข้างๆ......และแน่นอน เรื่องนี้เชคอฟเองก็รู้ แต่คุณจะโทษเค้าที่ไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกนะเพราะเค้าเป็นแค่เด็ก  เด็กน่ะเข้าใจไหม  ซึ่งในกรณีเชคอฟนั้นนับว่าอายุน้อยมากในสตาร์ ฟลีท

ดังนั้น ชายที่มีวุฒิภาวะมากกว่าและสามารถทนทานต่อความกดดันได้มากกว่าจึงก้าวออกมาข้างหน้า  ยืนเด่นเหนือคนอื่นๆ แล้วพูดว่า “สองคนนั้นติดไข้วัดร้ายแรงตอนที่เรากลับมา  อาการแย่ลงมากผมเลยบอกให้พวกเค้าพักผ่อน  วันนี้กัปตันเคิร์กและผู้การสป็อคเลยมาไม่ได้ครับ” เสียงแมคคอยดูหนักแน่นและกรำประสบการณ์ในอาชีพของการเป็นหมอ

และไม่มีใครรู้ว่าสองคนที่ถูกเอ่ยถึงนั้นมีอาการเช่นที่แมคคอยได้ว่าเอาไว้จริงหรือไม่   แต่ว่าในเมื่อมันออกมาจากปากของหมอผู้มากประสบการณ์และตรงไปตรงมาของแมคคอยแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีก  ก็หมอเค้าไม่โกหกกันหรอก จริงไหม?  แล้วยิ่งทำเพื่อสองคนนั้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ (อันที่จริงควรพูดว่า ทำเพื่อสป็อค) คุณหมอแมคอยที่ทุกคนรู้จักไม่มีวันโกหกเพื่อคนสองคนที่เค้าออกปากบ่นบ่อยที่สุดหรอก

จบการรายงานตัวและกล่าวขอบคุณในที่ประชุมแต่เพียงเท่านั้น ท่านนายพลและสภาหวังว่าทั้งกัปตันเคิร์กและผู้การของเค้าจะหายจากไข้หวัดอาการรุนแรงนั้นได้โดยไว

“คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะโกหกไปแบบนั้น  คงไม่มีใครนึกเป็นห่วงถึงขนาดไปเยี่ยมพวกเค้าที่ห้องหรอกนะ” เชคอฟที่นั่งดูดเครื่องดื่มอยู่ที่บาร์หันไปพูดเสียงกระซิบที่ฟังดูตื่นตระหนกกับชายข้างๆ ที่เลี้ยงเครื่องดื่มเค้า

“ก็แล้วจะให้ฉันพูดยังไงล่ะเชคอฟ  บอกสภาว่า โทษทีที่พวกเค้ามาไม่ได้เป็นเพราะกำลังปั่มปั้มกันอยู่ ยังงั้นเหรอ?  บ้าสิ  จากที่จะได้ถูกชื่นชมจะกลายเป็นถูกทำโทษแทนน่ะสิ” แมคคอยทำหน้าหัวเสียอย่างยิ่ง  มือที่วางรอบปากแก้วน้ำสีอัมพันก็หมุนไปมาก่อนจะกระดกมันเข้าปากรวดเดียวหมด

เด็กหนุ่มรัสเซียทรงผมน่ารักมองตามลำคอที่กระดกกลืนเหล้าเข้าไปอย่างแสนละห้อยหา  สิ่งที่เค้าได้มีเพียงน้ำพั้นซ์สีสวยในแก้วเสียบหลอดให้ดูดแต่เพียงเท่านั้น  มันแทบไม่มีแอลกอฮอล์เลย......ไม่สิ ไม่มีแอลกอฮอล์เลยด้วยซ้ำ  แค่มีหลอดเสียบในแก้วมันก็ไม่ได้เรียกว่าน้ำพั้นซ์แล้ว

ซึ่งในตอนนี้ลูกเรือบนยาน U.S.S. Enterprise ที่รอดกลับมากอดโลกทุกคนกำลังดื่มฉลองกันอยู่ในบาร์ประจำของพวกเค้า  ซึ่งแน่นอนไร้ร่องรอยของเจ้าพ่อปาร์ตี้อย่างจิมเคิร์กและคู่วัลแคนหูแหลมของเค้า

เชคอฟทำหน้าหงอยก่อนจะลืมเรื่องที่ถูกประคบประหงมดีจนเกินไปก่อนจะได้ยินเสียงสก็อตตี้เรียกให้ทั้งเค้าและแมคคอยที่นั่งจับเจ่าอยู่ที่บาร์ ให้ออกมานั่งร่วมวงกันที่โต๊ะใหญ่ของกลุ่มคนที่ทำงานอยู่บนสะพานเรือ

“มาเร็วพวก! มาฉลองกัน” แว่วเสียงเค้าเดินมาเข้ามาใกล้แล้ว  คาดว่าในมือคงจะมีวิสกี้อยู่เป็นขวดแหงๆ และที่แน่ๆ เมื่อฟังจากเสียงแล้วต้นกลคนเก่งของ Enterprise คงกำลังกรึ่มได้ที่แล้ว

แมคคอยดันแก้วเหล้าที่ดื่มหมดแล้วออกไป  ขยับตัวแล้วกระซิบใกล้หูเชคอฟเพื่อต่อสู้กับเสียงอึกทึกของเพลงที่ดังลั่นบาร์อยู่ “ไม่ต้องห่วงพวกเค้าน่า” ก่อนคุณสก็อตจะเดินโซเซเข้ามาแล้วกอดคอของทั้งสองเอาไว้ด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่เบานักของคนเมา

“อูฮูร่าถามหาพวกนายอยู่แหนะ  ตอนนี้เรากำลังคุยเรื่องครอบครัวของซูลูอยู่....เฮ้อ และวงของเราขาดพวกนายอยู่นะเพื่อน” ขวดวิสกี้ถูแก้มเชคอฟ เด็กหนุ่มปัดมันออกอย่างสุภาพ  ก่อนร่างสูงของแมคคอยจะยืนขึ้นทำให้สก็อตตี้เลิกเกาะแกะพวกเค้าเสียที

“เกรงว่าคงจะต้องเป็นอย่างนั้นต่อไปนะมอนท์โกเมอรร์รี่  เพราะพวกเรากำลังจะกลับแล้ว” แมคคอยดึงมือของเด็กหนุ่มที่หันมามองหน้าเค้าตาละห้อย  และหันไปกระซิบข้างหูของคนที่มีน้ำใจมาชักชวนด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นห่วง “อย่าดื่มมากล่ะสก็อต  เรื่องแย่ครั้งล่าสุดที่นายทำตอนเมาฉันยังจำได้อยู่เลย  แต่จะว่าไปนายเมาแล้วมันก็ไม่น่าดูทุกทีนั่นแหละนะเพื่อน”

คนพูดตบไหล่หนักแน่นอย่างจริงใจแบบใจถึงใจ  สก็อตตี้งงเพราะคนเมามักจะประมวลผลช้า  ก่อนแมคคอยจะหันไปขยิบตาให้กับเพื่อนๆ ในสะพานเรือที่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะแล้วเดินออกไปพร้อมกับเชคอฟ  ซูลูและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ว่ากระไร เพียงแค่ยกแก้วขึ้นเหนือศีรษะเป็นเชิงบอกลาและขอให้กลับบ้านโดยปลอดภัย  แมคคอยหันหลังเดินไปหาประตูแล้วแต่ก็ยังยกมือขึ้นข้างหนึ่งเพื่อตอบรับอย่างรู้กัน   ส่วนสก็อตตี้ที่ยืนกำคอขวดวิสกี้อยู่นั้นก็ยิ้มแล้วชูขวดไล่หลังหมอไป  ถึงแม้เค้าจะยังคงงงอยู่ก็ตาม

“อา  ความเงียบบริสุทธิ์” ร่างสูงเดินนำมาที่รถพลางทำท่าสดชื่น  ถึงแม้นี่จะเกือบค่ำแล้วก็ตามเค้าปล่อยมือจากไหล่ของเชคอฟที่รั้งโอบมาตั้งแต่ข้างในบาร์เพื่อเปิดประตูรถให้อีกฝ่ายหนึ่ง  เด็กหนุ่มที่เดินตามมาทำหน้าไม่ใคร่ดีนัก  ประตูรถจึงได้แต่ถูกเปิดค้างไว้

“กัปตันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” เชคอฟทำหน้ากังวลมาก  เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนที่เข้าไปในบาร์เค้าเล่าให้แมคคอยฟังว่าจิมเล่าว่าอูฮูร่าพูดถึงช่วงฟอนฟาของวัลแคนไว้ว่าอย่างไร......และบางครั้งเด็กก็มักจะเชื่อคำพูดแรกของเรื่องราวนั้นๆ เสมอ

แมคคอยถอนหายใจ แต่ยิ้มบางๆ “ไม่หรอกเชคอฟ  ฉันบอกไปแล้วไงว่ามันไม่ใช่แบบนั้น” เค้าทั้งสองคนเข้าไปในรถแล้วเชคอฟก็พูดอีกว่า

“จะมีคนเจอพวกเค้าไหมฮะ?” เป็นเรื่องไม่ดีนักหากความแตก และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทุกคนก็จะรู้ว่าแมคคอยโกหกด้วย  เชคอฟเป็นห่วงในเรื่องนั้น  แต่เจ้าของรถกลับเอื้ออมมือออกมาลูบเรือนผมบริเวณท้ายทอยของเด็กหนุ่มไว้  เค้าคลึงมันไปมาก่อนจะยิ้มน้อยๆ

“ผู้สมรู้ร่วมคิดมีแค่ฉันกับนาย  ในตอนที่เรากลับบ้านและไม่มีใครพูดถึงมัน  มันก็จะไม่เป็นอะไรหรอกเชคอฟเพราะทุกคนก็กลับบ้านเหมือนเรา  ไม่มีใครไปสนใจเจ้าพวกนั้นหรอก” เค้าบอกและมันเป็นเรื่องน่าแปลกที่เด็กอัจฉริยะอย่างเชคอฟลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปอาจเป็นเพราะความกังวลและความตื่นเต้นที่ทำให้เจ้าตัวไม่รอบคอบ  เชอคอฟจึงเริ่มวาดยิ้มเลิกกังวลในที่สุด

แมคคอยรั้งคอเด็กหนุ่มมาจูบแล้วเปรยเบาๆ “นายอยากกลับบ้านหรือยังล่ะ  ตอนนี้ฉันอยากกลับจะแย่อยู่แล้ว” เค้าหมายถึงบ้านของตัวเอง  แต่จู่ๆ เด็กหนุ่มก็กลับโผล่งขึ้นมาเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ่า ใช่! ผมต้องกลับไปเยี่ยมคุณย่าก่อน  คุณย่าคงจะคิดถึงผมมาก” เด็กหนุ่มยิ้มร่าขึ้นมาเพราะในตอนนี้คุณย่าที่รักคงจะถามหาเจ้าตัวแย่แล้ว  เชคอฟเองก็เช่นกัน  แต่ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับทำหน้าบูดลงเสียอย่างนั้น

“โอ้ ช่าย  กลับบ้านไปหาคุณย่ากันก่อน” แมคคอยพูดเหมือนกำลังถอนหายใจพลางกลอกตาไปมาโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้มองเห็น

ไม่ใช่คุณย่าหรอกที่ทำให้แมคคอยเซ็ง  แต่เป็นพ่อของเชคอฟต่างหาก  เนื่องจากวันแรกที่เจอกันเมื่อแมคคอยบอกอีกฝ่ายหนึ่งว่าเค้าเป็นหมอประจำการอยู่บนยาน U.S.S. Enterprise พ่อของเชคอฟก็หาว่าเค้าเป็นคนขี้โกหก พร้อมทั้งยังบอกอีกด้วยว่าโหงวเฮ้งอย่างเค้าไม่มีวันจะเป็นหมอได้ พร้อมทั้งยังเถียงหัวชนฝาว่าไม่เชื่อคำจากปากหมอที่เฝ้าบอกอย่างไม่มีหวังอีกด้วยความเป็นหมอจริงๆ อีกต่างหาก



.



.



.



TBC.



-----------------------------------------------------------------------------------------------



อร๊ายยยยยยยยย!!!! //กรีดร้อง//  บรดาเมะทำอะไรกันค้าาา >0<  คือทั้งจิมและน้องเช....อูยยย  เบาหน่อยค่ะ ให้พักหายใจกันบ้าง  อิจิมไม่เท่าไรเพราะมันปล้นสวาท  แต่น้องเชนี่สิคะ หมอ...หมอทำงี้ หมอเป็นวัลแคนเหรอคะ  ฟอนฟากำเริบหรืออย่างไร  แหม  กลับโลกมาฟัดน้องซะเต็มที่เลยนะคะ  อิ๊กอิ๊ววววว >/////< 5555 //โดนหมอตบด้วยมีดผ่าตัด//  สงสารเชคอฟนิดๆ ค่ะแต่ก็บอกตัวเองว่าดีแล้วล่ะ  น้องได้รับความรักอย่างดีแล้ว  ฮาาาา  //ต้องเห็นใจเคะสิ//

คือเมื่อคืนดิบเถื่อนมาก พอเช้ามากลายเป็นคนล่ะคนเลยนะคะหมอ  ถ้าไม่ได้หมออิจิมกับสป็อคคงจะตกที่นั่งลำบากทั้งๆ ที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวแน่ๆ เลยค่ะ ><  จิม เธอโชคดีแล้วที่มีเพื่อนอย่างเพื่อนหมอโบนส์คนนี้ //ตบไหล่หมอ//  5555555  แต่จะว่าไปแล้วเรื่องของซูลูก็น่าเอามาขยายเนอะ  เค้ากับคนรักน่ารักมากเลยค่ะ ไหนจะยังลูกสาวตัวน้อยๆ ของพวกเค้าอีก ฮร๊ายยยย  ชีวิตของชาววายนี้ดี๊ดีเนอะ ^^  //เอามือทาบแก้ม//   เอ.....แต่จะว่าไปอีกอย่างหนึ่ง ไรท์เขียนฟิค Star Trek ทีไรสก็อตตี้ออกมาเมาทุกทีเลยค่ะ 555555  ไม่ได้เคืองอะไรกันเป็นการส่วนตัวนะคะ แต่ว่าออกมาได้จังหวะพอดีเลยน่ะค่ะ  ไม่มีใครเมาแล้วออกมาดูดีเท่ามอนท์โกเมอร์รี่เลยน่า 55555

อร๊ายยยยย จะเป็นยังไงต่อไปนะเรื่องราวหลังจากตรงนี้ไป  ถ้าอยากรู้ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ ><  รักรีดๆ มากเลยนะคะ   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคของไรท์ค่ะ 


ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund