อร๊ายยยยยยยยยย!!! อิชั้นจะหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ เฮือกกกก
//สูดหายใจก่อน -..- //
สวัสดีค่ะรีดๆ
ที่น่ารักของไรท์ทุกท่านขาาา >///< ขออภัยที่หายไปนานค่ะ แฮ่ แต่เรื่องที่เราจะมาเอ่ยถึงในวันนี้นั้น
ว่าด้วยเรื่องตอนจบของ Fic For Jared Leto คนสวยของเราค่ะ ฮ๊ากกกกกกก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะเวิ่นได้ถึงขนาดนี้ค่ะ
แต่ลงช้าเป็นบ้าเลย 55555555
//หลบรองเท้า// ขอโทษจริงๆ ค่ะ ขออภัยอย่างมหาศาลเลยนะคะ มิโกรธไรท์นาค้าาา ^U^ //นวดรีด//
เรากำลังจะได้รู้แล้วค่ะว่าคนที่บุกเข้าไปขืนใจจาเร็ดเป็นใคร?
//พูดดูตรงและร้ายแรงมาก....ขืนใจ 55555 ทำร้ายจิตใจโจ๊กเกอร์นางฟ้าส่งมาเกิดอีก
5555// คือจะบอกว่าจาเร็ดน่าเลียทุกส่วนจริงๆ
ค่ะ //ผิดประเด็น// 555555 น่าอยู่ใต้อ้อมกอดของผู้ชายล่ำๆ
หรือดูตัวใหญ่กว่าเค้ามากๆ เลยค่ะ ฮ่อลลลลล นางฟ้าคนสวยของไรท์ TUT
(สังเกตนะคะ เคะเมะทุกคนจะได้รับชื่อหรือฉายาเฉพาะจากไรท์) อืม
เอาจริงๆ จะต้องบอกว่าเป็นนางฟ้าคนสวยที่แสบทรวงที่สุดในสามโลกเลยนะเออ
55555555 ไม่มีใครจี๊ดเกินนางค่ะ
เอาล่ะค่ะ! >< เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
เราไปอ่านกันเลยล่ะกันเนอะ
และร่วมลุ้นไปด้วยกันค่ะ
ว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร >///<
---------------------------------------------------------------------------------------------
“จาเร็ด...” เค้ากระซิบด้วยน้ำเสียงอ่านใจไม่ออก แต่ทว่าหากคนถูกเรียกลืมตาขึ้นมามองสายตาคมที่สบลงมานั้นจะพบเข้ากับความโอนอ่อนที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากผู้ชายคนนี้เลย
************************************************************************
“ไง ไอ้น้อง ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะ?” แว่วเสียงคนพี่ส่งข้ามมาจากอีกฝากหนึ่งของห้องเก็บตัวภายในบริษัทเดิมที่พวกเค้าทำงานอยู่อย่างเอื้อยเฉื่อย
จาเร็ดที่หน้างอแต่ก็เหม่อลอยในเวลาเดียวกันนั้นไม่ได้ยินคำของพี่ชายเลยในคราแรก จนกระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งต้องออกปากเรียกเสียงดังเป็นครั้งที่สองนั่นแหละ
คนเป็นน้องจึงได้สะดุ้งเฮือกแล้วหันมาขานรับพี่ชายตัวเองอย่างหวาดๆ
“เป็นอะไรไปจาเร็ด? ดูนายแปลกไปนะ” โทโมะที่นั่งเกากีตาร์อยู่หันมาถามด้วยสีหน้าสงสัยยิ่ง
คนถูกตั้งข้อสังเกตมองหน้าพี่ชายและเพื่อนอีกคนหนึ่งเลิกลั่ก
ก่อนจะกอดหมอนแนบอกแน่นแล้วส่ายหน้าดิก “ไม่หนิ
ไม่มีอะไร ฉันสบายดี” ร่างบางที่นั่งเหยียดขาอยู่บนโซฟายาวตัวโปรดของเจ้าตัวเอนหลังพิงตามปรกติด้วยความพยายามให้มันดูปรกติที่สุด
และเก็บซ่อนดวงตากลมโตที่บัดนี้ไร้แววยี่ยวนเช่นเมื่อหลายวันก่อนเอาไว้
“นายแน่ใจเหรอ?” แชนอนยืดตัวจากการนั่งเอกเขนกเล่นเกมส์กดแล้วมองหน้าน้องชายด้วยใบหน้าคาดคั้นน้อยๆ
ไม่แปลกนักที่จาเร็ดจะทำตัวให้เป็นน่าห่วงแบบนี้ และถ้าหากมีปัญหาจริงๆ นั่นก็ถือว่าแปลกมากเหมือนกันเพราะน้องชายของเค้าไม่เคยเก็บปัญหาหมกเม็ดเอาไว้คนเดียวโดยที่ไม่บอกใครเลย
มีแต่จะวิ่งโร่เข้ามาให้ช่วยแก้ปัญหาให้ตัวเองนั่นแหละ......เรื่องนั้นทำเอาแชนอนอยากกลอกตา
“ช่ายย ฉันแน่ใจสิพวก” คนถูกถามและได้รับจอบจ้องจากเพื่อนกับพี่ชายตอบตาใส ทำเสียงคางยานและเบื่อหน่ายเล็กน้อยเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าพี่ชายไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง แชนอนถอนหายใจกับท่าทีกวนหัวจิตหัวใจนั้นของน้องชายแล้วกลอกตาขึ้นฟ้าก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจจะแลแล้ว
ทั้งพี่ชายและเพื่อนอีกหนึ่งคนของนักร้องชื่อดังจึงเลิกสนใจคนที่เอาแต่นั่งหันหลังให้ในที่สุด จาเร็ดเปลี่ยนมานอนราบกับโซฟานุ่มตัวโปรดก่อนจะลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก็จะบอกเรื่องที่ทำให้เค้าหนักใจได้อย่างไรล่ะในเมื่อมัน......อ่า
ให้ตายเถอะ ถึงจะอยากบอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันมากแค่ไหนแต่มันก็ทำไม่ได้ ชัดไหม?! ทำไม่ได้! ไม่ว่าจะเป็นเสียง รอยยิ้มน่าโมโห ใบหน้าที่น่าโมโหและหงุดหงิดใจยิ่งกว่านั่น และสัมผัสของชายปริศนาคนนั้นยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของร่างบางอยู่เลย
มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ โดนลอบทำร้ายจนถึงในบ้านขนาดนั้นแล้วแถมไม่แถมยังเสียบริสุทธิ์ชายไปให้หมอนั่นอีก! สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย ในเช้าวันนั้นร่างบางแทบสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาเลยในตอนที่แสงแดดยามสายของดวงอาทิตย์สาดเข้ามาแยงตา รอบตัวเค้าสะอาดเอี่ยมเป็นระเบียบทุกอย่างราวกับว่าแคนดิสแม่บ้านผู้ดูแลรับผิดชอบเพิ่งเข้ามาเก็บกวาดของที่เค้าทิ้งระเกะระกะไว้ และเหนือออกบางก็ถูกห่มคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนานุ่มราวกับมีคนมาส่งเข้านอนให้ถึงที่
เพราะเนื่องจากในเวลาปรกติเจ้าตัวก็แทบจะนอนไม่เป็นสุขอยู่แล้ว
ร่างบางมึนงง มองไปรอบตัวอยู่พักใหญ่ด้วยความสับสน เค้าเกือบจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจอยู่แล้วว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน
ถ้าหากไม่เห็นรอยแดงที่ขึ้นเด่นชัดอยู่บนข้อมือของตัวเองเสียก่อนลามไปยังรอยจูบที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้อกล้ามตัวบางนั้นอย่างนับไม่ถ้วน แล้วไหนจะยังความเจ็บแปลบที่แล่นริ้วเข้ามาทำร้ายอย่างรุนแรงที่สะโพกนั่นอีกล่ะ จาเร็ดจึงต้องยอมรับอย่างเสียมิได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นความฝันเลย
ในคราแรกจาเร็ดก็ตัวสั่นเพราะความตื่นตกใจแต่แล้วกลับเป็นเสียงและใบหน้ายี่ยวนนั้นที่วนเวียนเข้ามาในหัวทำให้เลิกอาการตัวสั่นแต่กลับมาเป็นใจสั่นแทน หัวใจของเจ้าของบ้านเต้นระรัวเหมือนกลอง จาเร็ดขบกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วหวนนึกถึงริมฝีปากได้รูปที่คอยยิ้มกวนซึ่งทาบทับลงมากดจูบอย่างลุ่มหลง
เช้านั้นหัวใจจาเร็ดเต้นจนตัวร้อน ตั้งแต่วันนั้นเจ้าตัวก็อาศัยเสื้อผ้าและเครื่องประดับปกปิดร่องรอยที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อไม่ให้คนรอบตัวสังเกตุเห็น แชนอนและโทโมะจึงไม่เห็นความผิดปรกติบนนั้น แต่ทว่าร่างบางก็กลับไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำท่าทีแปลกออกไปทีละเล็กละน้อยจนเพื่อนๆ
ถามไถ่อย่างคับข้องใจและสุดท้ายก็เป็นฝีมือการตีหน้านิ่งสนิทของเจ้าตัวนั้นแหละที่พาให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้
แต่จะให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปคงไม่ดีแน่ จาเร็ดไม่เข้าใจ เค้าแค่กำลังสงสัย...เค้าควรโกรธคนที่ทำให้เค้าแทบลุกเดินไม่ได้และเจ็บช้ำน้ำใจสิ แต่ทำไมกลับกลายเป็นเอาแต่คิดถึงอีกคนหนึ่งซะอย่างนั้น จาเร็ดนึกถึงริมฝีปากที่คอยแต่จะยกยิ้มกวนหาเรื่องทะเลาะ เสียงทุ้มนุ่มที่ออกมาจากลำคอแกร่ง ใบหน้ากวนประสาทที่ถูกฉาบไปด้วยความหล่อเหลา ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวสีเกือบแทนที่เสียดสีจนเกิดความอบอุ่น และ....จาเร็ดชะงักไป และกลายเป็นว่าร่างบางเอาแต่คิดถึงผู้ชายคนนั้นจนเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้งไปเสียแล้ว
“เฮ้ เค้าว่ากันว่าบอสจะให้เราจัดแคมแปนทัวร์คอนเสิร์ตอีกแล้วนะ”
เสียงโทโมะดังขึ้นเมื่อเค้านึกขึ้นได้ว่าผู้จัดการจอมน่าเบื่อคุยอะไรอยู่กับปลายสายของอีกฝ่ายเมื่อระหว่างทางที่เค้าเดินมาที่ห้องนี้
แชนอนขมวดคิ้ว หยุดเล่นเกมส์ไปในทันทีแล้วเอ่ยถาม “จะบ้ารึไง เราเพิ่งจะทัวร์ไปเมื่อสามปีที่แล้วนี่นะ นายฟังผิดรึเปล่าพวก เค้าบอกว่า เคที่ เพอร์รี่ รึเปล่า?”
“ถ้าเป็นเคที่แล้วจะมาคุยกับผู้จัดการเราทำไมล่ะเจ้าโง่”
โทโมะเอ็ดเล็กๆ ในตอนที่จาเร็ดพลิกตัวทับหมอนแล้วหันมามองเพื่อนร่วมวงทั้งสองคุยกัน
แชนอนแสยะยิ้มแต่ไม่ได้คาดหวังจริง “ถ้าเป็นงั้นก็ดีสิ
เราจะได้ดังมากกว่าเดิมและจะได้รวยมากกว่าเดิมด้วย”
“ไม่ บริษัทสิที่รวย ไม่ใช่เรา” โทโมะสวนแล้วแก้ให้ จาเร็ดยกตัวขึ้นมา ดีดนิ้วแล้วชี้ไปทางโทโมะเป็นเชิงเห็นด้วย แชนอนทิ้งตัวกระแทกพนักผิง
“จะเข้าใจอะไรกับคนแก่” เค้าโอดครวญ
“ไม่แน่เค้าอาจจะแกล้งทำให้เราดีใจเล่นๆ เพราะต้องการเอาคืนจาเร็ดก็ได้”
คนน้องทำหน้างง “แล้วไหงเป็นฉันล่ะ?”
คนที่นอนกลิ้งอยู่บนโซฟาชี้หน้าตัวเอง
“อ้าว ก็หมานายไง...หมาที่แฟนคลับของนายให้เค้าเป็นธุระฝากส่งมาให้น่ะ”
โทโมะพูดเสริมก่อนจะช่วยแชนอนหัวเราะแล้วทั้งสองก็ป๊ะมือกันอย่างเข้าขา แต่คนที่ถูกพาดพิงถึงกับหน้างอใส่เลยทีเดียว
“โทษนะเพื่อน ถ้ามีเบอร์เค้าวันหลังฉันจะโทรไปบอกว่าให้ส่งมาที่บ้านฉันเลยก็แล้วกันนะ...ว่าไงล่ะ?”
จาเร็ดท้าวคางกับโซฟาพลางทำตาใส ก่อนจะทำหน้าบูดใส่ “ใครส่งมาฉันยังไม่รู้เลย ฉันผิดรึไง” เค้าทำหน้ายู่อีก
“แต่จะว่าไปตั้งแต่บอสคนนี้มาดูแลบริษัท
พวกเราก็มักจะยุ่งๆ กันนะว่าไหม? เหมือนเค้าตั้งใจจะทำให้ทุกคนกลายเป็นตัวทำเงินยังไงยังงั้นเลยแฮ่ะ เมื่อเร็วๆ นี้ก็เห็นไมค์บอกว่ามีคิวเดินสายในแท็กซัสน่ะ”
“เอาจริงง่ะ แท็กซัสเนี่ยนะ?” จาเร็ดทวนคำพูดเปรยๆ
ของพี่ชายเมื่อพูดถึงเพื่อนศิลปินร่วมค่าย
“อืม” เป็นโทโมะนั่นเองที่ตอบแทน “ฉันรู้
ถึงหมอนั่นจะรักสงบแต่มันก็น่าเหลือเชื่ออยู่ดีที่จะคิดว่าไมค์ได้ไปเดินสายที่แท็กซัสน่ะ ฉันนึกว่าบอสจะส่งเค้าเข้าตลาดในนิวออลีนส์ซะอีก”
“อืม นั่นสินะ ความคิดคนแก่นี่เข้าใจยากจัง” และคนที่นอนกลิ้งอยู่บนเก้าอี้นุ่มคนเดิมก็ทำหน้ามุ้ยราวกับครุ่นคิดประกอบกับคำพูดไปด้วย
ก่อนจะพลิกตัวนอนแผ่กับกองหมอนอย่างเกียจคร้านและเก็บอาการเจ็บแปลบที่ก้นอย่างแนบเนียนที่สุด
“เอ่อ เค้าเข้ามาบริหารที่นี่ได้กี่เดือนนะ สามหรือสี่เดือน?”
“ปีหนึ่งแล้วพวก นี่ก็เข้าปีที่สองแล้วด้วย” พี่ชายเริ่มเล่นเกมส์ต่อแล้วหัวข้อนั้นก็ตกไปด้วยคำพูดสุดท้ายเค้านั่นเอง
“นายไม่สังเกตรึไงว่าทำไมปีนี้เคที่ถึงได้ร้องเพลงโอลิมปิกน่ะ ถ้าเป็นบอสคนเก่าปานนี้เธอคงจะได้ทำอย่างอื่นไปแล้ว”
กระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จาเร็ดยกหัวขึ้นมาดูหวังว่าจะเป็นผู้จัดการแสนน่าเบื่อของพวกเค้าที่เพิ่งเข้าประชุมเสร็จและบอกๆ
แพลนงานในช่วงสามเดือนนี้ของวงได้เสียที......เสร็จตรงนี้แล้วจะได้ไปอย่างอื่นต่อ ร่างบางทำหน้าเรียบเฉยปนซังกะตาย
แล้วร่างสูงที่ไม่สูงมากนักของชายใส่ชุดสูทเรียบร้อยสีเทาก็เบียดผ่านซอกประตูเข้ามา
ก่อนจะเปิดมันให้อ้าออกกว้างกว่าเดิมและปรากฏเป็นหญิงสาวผมบล์อนที่ใส่ชุดสาวออฟฟิศรัดรูปดูดีเดินตามเข้ามาอยู่ข้างชายคนแรก
ทุกคนที่ทำตามอัธยาศัยรออยู่ในห้องอย่างไม่กระตือรือร้นหันไปมองเธอด้วยสีหน้ามีคำถาม
แต่ผู้จัดการเริ่มพูดก่อน “ดีใจด้วยบอยแบนด์สุดขี้เกียจของฉัน
วันนี้พวกนายได้กลับไปนอนเขียนเพลงที่บ้านโดยไม่มีอะไรทำเลยตลอดวีคนี้ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาคุยถึงแผนตลอดไตรมาสนี้หลังจากที่พวกนายนอนเกาพุงเสร็จกัน”
แล้วเค้าก็ขอตัวออกไปโดยไม่ลืมหันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกลากับเลขาสาวของท่าน CEO บริษัทด้วย
“หวัดดีทุกคน คือบอสอยากพบพวกคุณน่ะค่ะ เค้าบอกว่าอยากคุยเรื่องทัวร์คอนเสิร์ตใหม่ของพวกคุณและมีที่ปรึกษาใหม่อยากให้พวกคุณรู้จักด้วย”
เธอบอก
แว่นบางสวยของเธอวันนี้เป็นขอบสีแดงดูโฉบเชี่ยวไม่น้อย มันสะท้อนแสงไฟในห้องเมื่อเธอกลับหลังหันให้พวกเค้าเดินตามไป
สามหนุ่มในห้องก็พากันชนหมัดด้วยความลิงโลดอย่างเงียบๆ
ด้วยเวลาอันรวดเร็วก่อนจะเดินตามเธอไป
แต่เอาเข้าจริงคนออกหน้าอย่างจาเร็ดก็รู้สึกหวั่นๆ ไม่น้อยว่าจะพูดอะไรดีเมื่ออยู่ต่อหน้า
CEO คนใหม่ของค่ายเพลง นักร้องเสียงน่าหลงใหลค่อนข้างประหม่าเลยไม่รู้ว่าจะต้องปั้นสีหน้าหรือแสดงอารมณ์อย่างไรใส่อีกฝ่ายดี
แต่จะอย่างไรพวกเค้าก็เดินตามเลขาสาวมาถึงหน้าห้องของผู้ถือหุ้นสูงสุดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แล้วในเวลาอันรวดเร็ว เธอเคาะประตู เรียนตามมารยาทว่ามีธุระรบกวนเวลางานของบอสอย่างไร สามหนุ่มสูดหายใจลึกเพราะกำลังจะได้เจอผู้ใหญ่ที่จะไฟเขียวเรื่องคอนเสิร์ตรอบโลกของพวกเค้า
และที่ปรึกษาคนใหม่ที่อาจมาช่วยเรื่องจัดคอนเสิร์ตของพวกเค้า
แชนอนหน้าอกพอง โทโมะจัดผมยาวที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนักตัวเอง แต่จาเร็ดที่ตั้งใจจะทำแบบเดียวกันนั้นกลับรู้สึกถึงฝ่ามือใหญ่อบอุ่นที่ไล่ผ่านใบหน้าของเค้าเมื่อเจ้าตัวเสยผมให้ไปรวมกันอยู่ที่ด้านหลัง......เสียงทุ้มพร่าที่ครางกระเซ้าอยู่ข้างหู ดวงตาคมที่มองลงมาด้วยความหมายแอบแฝงที่ฝังลึกอยู่ในนั้น สัมผัสวาบวามจากมือฝ่าร้อนที่ทำให้ร่างบางต้องข่มตาไม่มองตอบอยู่ร่ำไป การแนบชิดที่ทำเอาร่างบางต้องกลืนน้ำลายด้วยความแห้งผาก
ไม่เอาน่า!
จะบอกว่าในเวลางานแบบนี้เจ้าคนนิสัยไม่ดีนั่นก็จะเข้ามาปั่นป่วนเค้าอีกอย่างนั้นหรือ? จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว......จาเร็ดส่ายหน้าเบาๆ พร้อมนึกตำหนิตัวเองที่ควรเกลียดคนที่ควรเกลียด แต่กลับคิดฝังใจจนไม่เป็นอันทำอะไรเสียนี่ ก่อนร่างบางจะได้ยินเสียงก้าวเดินด้วยความมั่นใจและหนักแน่น......ตรงมาทางนี้
ใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งรอบข้างก็เต็มไปด้วยพนักงานในค่ายเพลงที่เดินไปมาติดต่อธุระกันขวักไขว้ แต่พลันบรรยากาศรอบตัวของเค้าก็เงียบลงโดยไม่รู้สาเหตุ
มีเพียงแค่การก้าวเดินของคนที่กำลังมุ่งมาหาเค้าเท่านั้นที่ก้องอยู่ในโสตประสาท จาเร็ดขมวดคิ้วผูกกันแน่นก่อนจะหันหลังไปมองคนที่เดินมาหาจากด้านหลัง
“ซูซาน”
“เฮ้ พอล” เลขาสาวหันกลับมาเมื่อเธอถูกเรียก แล้วเค้าก็เดินผ่านชายสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอไปสองสามก้าวก่อนจะยื่นแฟ้มบางๆ
ให้
“ผมทำให้แล้วนะ ที่เหลือก็แค่คุณเอาไปให้บอสดู” ชายหนุ่มใส่สูทสีเทาสะท้อนแสงเป็นประกายว่า ก่อนจะหันไปสบตากับจาเร็ดแล้วเดินออกไปอย่างมีมารยาท
พอลฝ่ายการตลาดนี่เอง......ร่างบางพยักหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนจะพ้นหน้ากัน พวกเค้าเคยทักกันบ่อยๆ
ตามประสาคนมีมนุษย์สัมพันธ์ของร่างบางตาสีฟ้าสดใส
คิดไปเอง......
อีกแล้วหรือนี่
คิดเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงกันนะ
หรือว่าเค้าเป็นเอามากเรื่องหมอนั่นไปซะแล้ว?
“ฉันจะส่งคุณในห้องและไปเตรียมเรื่องเอกสารสำคัญก่อนนะคะ”
เมื่อได้รับอนุญาตแล้วเธอก็ชูแฟ้มที่รับมาจากพอลให้ดูประกอบ แล้วเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้ชายทั้งสามคนได้เข้าไปเหยียบภายในห้องของบอสใหญ่แห่ง
Virgin
“บอสคะ พวกเค้ามาแล้วค่ะ” เธอยิ้มหวานเช่นคนที่พร้อมให้บริการเสมอ ก่อนจะบอกคนสามคนที่หยุดยืนอยู่ต่อหน้าโต๊ะทำงานเรียบหรูมีราคาของเจ้าของห้อง
“หนุ่มๆ นี่คือคุณคาเมรอนค่ะ” เธอพูด
เก้าอี้นวมพนักพิงทรงสูงหมุนหันกลับมาหาวงร็อคที่กำลังจะได้ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนเอ่ยทักทายเค้าด้วยมารยาท แชนอนและโทโมะยิ้มด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เพราะไม่คิดว่า
CEO คนปัจจุบันของพวกเค้าจะหนุ่มขนาดนี้ ดูแล้วเผลอๆ อาจจะอายุน้อยกว่าพวกเค้าเสียด้วยซ้ำ จึงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ไปว่าอีกฝ่ายว่าเป็นคนแก่ความคิดคาดเดาไม่ได้
......ที่แท้ก็เป็นแผนการบริหารของคนหนุ่มไฟแรงนี่เอง......
“สวัสดีทุกคน ยินดีที่ได้เจอนะครับ” คนที่นั่งอยู่ต่อหน้าทุกคนกล่าวด้วยความสุภาพยิ่ง
แต่ใบหน้าที่ยกยิ้มและมือที่กอบกุมกันหลวมๆ นั่นกลับทำให้คนพูดดูเหมือนกำลังสนุกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แชนอนกับโทโมะยิ้มตอบ ไม่เจื่อนขนาดครั้งแรก คิดว่าผู้บริหารคนนี้ก็น่าคบค้าด้วย แต่สมาชิกคนสุดท้ายกลับเบิกตาโตอยู่ตรงกลางอย่างเงียบงันด้วยความรู้สึกที่เหมือนโลกถูกจับให้หยุดหมุน
ซูซานขอตัวออกไปแต่แรกแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงที่จัดแต่งทรงผมราวกับเป็นนายแบบชื่อดังจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าระรื่นแบบเดิม
“ผมมีธุระอยากคุยกับนักร้องนำของพวกคุณเกี่ยวกับเพลงใหม่และรายชื่อเพลงในคอนเสิร์ตทัวร์ ขอโทษที่ผมเรียกพวกคุณมาด้วย หวังว่าเพียงแค่ผมอยากทำความรู้จักคงไม่ทำให้พวกคุณรำคาญนะครับ”
เค้ายกมุมปากด้วยรอยยิ้มที่สามารถฆ่าสาวๆ ให้ตายตรงนั้นได้ “เชิญพวกคุณไปพักผ่อนเถอะครับ...อ่อ
เรื่องที่ปรึกษาพวกคุณคงต้องรอไปก่อน และฝากบอกเลขาสุดสวยของผมที่อยู่ข้างนอกด้วยว่าทุกอย่างผมแคนเซิลไปวันพรุ่งนี้ ขอบคุณมากครับ”
ชายหนุ่มผู้ใส่สูททรงอเมริกันสีดำเรียบหรูยิ้มส่งสร้างความประทับใจ
เค้าพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายเป็นกันเองอย่างอารมณ์ดี ก่อนคนไม่มีธุระอะไรอีกแล้วสองคนจะหันมองหน้ากันเลิกลั่กแล้วขอตัวออกไปเมื่อพวกเค้าไร้ประโยชน์ จึงทิ้งไว้เพียงแต่คนที่บอสต้องการจะคุยเรื่องงานด้วยเท่านั้น ร่างสูงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ติดกระดุมเสื้อนอกแล้วเดินมาหน้าโต๊ะทำงานของเค้า......
......ที่ตรงนั้นมีชายผมสีเดียวกันยืนแข็งอยู่กับที่
จ้องการก้าวเดินของเค้าอยู่อย่างไม่วางตา
“ไง” ร่างสูงใช้สะโพกพิงโต๊ะทำงานของตัวเองหัวเราะทักขึ้น
“ดีใจที่ได้เจอผมไหม?”
จาเร็ดถอยหลังแล้วชี้หน้า “ไอ้...!”
ใช่จริงๆ ด้วย!
ร่างบางผงะถอยหลังไป มือคู่สวยยกขึ้นค้างไว้อย่างนั้น
ก่อนร่างสูงจะวาดยิ้มขึ้นอีก......เป็นรอยยิ้มดูร้ายที่แสยะกวนโมโหเต็มที่ มือหนายกขึ้นล่วงกระเป๋ากางเกงสเล็คอย่างสบายอารมณ์ ไหล่กว้างที่ผึ่งผายทำให้เข้ากับสูททรงอเมริกันที่เจ้าตัวใส่อยู่อย่างได้ไร้ที่ติ
ต้องใช่ ไม่ผิดแน่
ใครมันจะไปลืมลงได้กัน! ถึงแม้คนที่ใส่ชุดดูดีมีราคาจะไม่ได้ใส่เพียงแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์เท้าเปล่าเหมือนเมื่อคืนนั้น แต่ร่างบางจะลืมไปได้ยังไง.....ก็ตอนนี้ยังคงคิดถึงอยู่เลยหยกๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหญ่ที่ปัดผ่านจนทำให้เค้าเร่าร้อนทั้งๆ
ที่ไม่ต้องการ เสียงนุ่มแต่พูดคำกวนประสาทได้อย่างไม่เป็นสองรองใคร ใบหน้าหล่อเหลาแต่ยิ้มร้ายดูน่าโมโหอยู่ตลอดเวลานั่น
ถึงจะเปลี่ยนสถานที่ๆ เจอกัน
หรือใส่ชุดต่างกัน...ทำตัวดีแค่ไหนเค้าก็ลืมไม่ลงหรอก!
จาเร็ดหัวใจเต้นแรงไม่อยู่สุข นิ้วเรียวสวยก็ยังชี้ค้างที่หน้าคู่สนทนาอยู่เช่นเดิมแล้วพูดเป็นประโยคอย่างสมบรูณ์เป็นครั้งแรก
“นายโกหกคนอื่นเรื่องที่ปรึกษาด้วยใช่ไหม?!” ร่างบางทำตาเขียว
เขย่านิ้วชี้ของตัวเองอีก
จนถึงตอนนี้จาเร็ดก็ไม่พร้อมที่จะเชื่อว่าเจ้าคนน่าขยะแขยงคนนี้เป็น CEO
ของเค้า และคราวนี้ก็เอาเรื่องมาพบคนอื่นมาใช้เป็นเรื่องบงหน้าอีกต่างหาก
ร่างสูงหัวเราะในลำคอเบาๆ แต่ชัดเจน เค้ายกยิ้มมุมปากเหมือนจาเร็ดเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ประสา
“เปล่า ผมไม่ได้โกหก”
“แล้วเค้าอยู่ไหน?!” ร่างบางคงยังไม่ยอมแพ้ ปักหลักสู้ด้วยนิ้วชี้และคำพูดของตัวเองต่อไป
“ก็ผมนี่ไง”
“ไปตายซะ ฉันไม่สนุก” ร่างบางทำเสียงขู่
ไม่เล่นด้วย แล้วถูกหัวเราะกลับมา
“ผมไม่สนหรอกนะว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ผมให้ความสำคัญกับคอนเสิร์ตของคุณมากเลยนะ และเดาว่าเพื่อนๆ อีกสองคนของคุณก็คงจะดีใจมากกว่าคุณที่ในตอนนี้ชี้นิ้วด่าผมอยู่แน่ๆ
พวกเค้าดูจะน่ารักกว่าคุณ แต่ถึงยังไงผมก็ชอบคุณมากกว่าอยู่ดีจาเร็ด”
ร่างสูงจงใจยอดเสียงกระซิบในคำหลัง
ร่างบางหน้าร้อนและชาวาบเมื่อได้ยินชื่อตัวเองออกมาจากปากของคนที่ทำมิดีมิร้ายกับเค้าอย่างไม่น่าให้อภัย ทั้งน่าเจ็บใจและอยู่ๆ มันก็ทำให้ใจสั่นไปด้วย ร่างบางอึกอักก่อนชายหนุ่มตรงหน้าจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงระรื่นอีกครั้งหนึ่ง
“ไปกับผม ผมบอกไปแล้วใช่ไหมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ร่างสูงยังมิวายทวงสัญญาที่เค้าเพิ่งบอกออกไปเมื่อครู่นี้แต่คนที่รู้สึกเหมือนโดนต้อนให้จนกรอบโดยไร้คนช่วยเหลืออีกครั้งหนึ่งนี่สิ
“ไปตายซะ! ไอ้บ้า!!” จาเร็ดตวาดลั่น “อย่ามายุ่งกับฉัน!”
ไอ้สโตรคเกอร์น่ากระทืบ!
แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มชอบใจ
เค้าบอกแล้วไงว่าตัวเองไม่ได้เป็นสโตรคเกอร์ แต่เป็น CEO คนปัจจุบันของจาเร็ดต่างหากล่ะ
“คุณจะไม่ไปกับผมจริงๆ เหรอ?”
รอยยิ้มของเค้าทำให้ร่างบางนึกถึงคืนนั้น
คืนที่เจ็บปวด รุนแรง
และเร่าร้อน…
ร่างบางเริ่มประวิงแล้วว่าถ้าลองทำตัวดื้อดึงไปอีกสักหน่อยจะถูกจับมัดแล้วข่มขู่เหมือนอย่างวันนั้นอีกหรือไม่ ความสามารถและการกระทำของร่างสูงตรงหน้าไม่น่ากลัวสำหรับเค้าหรอก
แต่มันก็น่าเกรงใจไม่น้อยเลยทีเดียว
.
.
.
FIN.
-------------------------------------------------------------------------------------------
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!! >{}<
ย.ยักษ์ ล้านตัวเลยหากไรท์ทำได้ค่ะ อูยยยย พ่อคุณรุนช่องเอ้ยยยย
พ่อศรีนวลนิรนามมม
คุณเป็นถึงขั้นนี้เลยเหรอคะ....ไรท์หมายถึงมีหน้าที่การงานถึงขนาดนี้เลยเหรอ??
เก็บเก่งมากๆ เลยนะคะ อร๊ายยยย จาเร็ดเงิบเลยไหมคะ? ไม่ เค้าไม่เงิบ เค้าช็อคกะด่าหมอนั่นพร้อมกันเลยน่ะสิ
555555555
อร๊ายยยยยยย ว่าจะหายหน้าหายตาไป ไม่เจอกันอีกแล้วเนอะ แต่มาป้ะเจอกันชนิดที่ว่าคงต้องเจอหน้ากันทุกวันเลยค่ะ
55555555 โถ่ๆๆๆๆ จาเร็ดผู้น่าสงสาร เอ...รึว่าไม่น้า 555555
ค่ะ ก็จบไปแล้วนะคะสำหรับฟิคเวิ่นตามความต้องการของไรท์ สนอง Need ส่วนลึกที่ไม่มีใครจะสมารถสนองไรท์ได้
เพราะไม่มีใครแต่งฟิคจาเร็ดเลย 555555
ขอบคุณรีดๆ ทุกท่านมากๆ เลยนะค้าาา >//< ที่ติดตามอ่านเรื่องนี้และคอมเม้นท์ให้กำลังใจมา ขอบคุณมากๆ เลย><
ขอบพระคุณทุกท่านและรักมากมายเหมือนเดินนะคะ
>U< เรื่องหน้าจะเป็นของคู่ไหน
ต้องติดตามค้าาา >////<
ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น