วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Fic - Star Trek] +[Part 4] You Or You? - McCoy x Chakov [After Rain 3]


สวัสดีค่าาาา  มาอีกเรื่องสำหรับการหายไปรวมหลายเดือน -_-“  มาพร้อมๆ กับคู่ของ MaLec เลยนะเนี่ย 55555 //หัวเราะแห้งๆ //

ขอโทษด้วยนะค่ะ ที่หายไปนานมาก  ไรท์รู้ตัวว่าหายไปนานค่ะ M- -M  ยอมรับผิดแต่โดยดี ฮืออออออ T^T  แฟนคลับหมอน้องรอกันนานเกิ๊นนนน

วันนี้เชิญอ่านไปก่อนนะคะ  เร็วๆ นี้จะลง Part 5 ค่ะ

ขอโทษที่ช้าค่าาาาา

[วันนี้ไม่มีอะไรจะเมาท์เลยอ่ะ -*- ]

[พอแล้วแก!! //โดนโบก//]


----------------------------------------------------------------------------------------------



บทที่ 4


ข้างนอกเม็ดฝนเกาะพราวอยู่เต็มหน้าต่าง...........

ไม่รู้มันจะตกมาทำไมนักหนา!  นัดเพื่อนไว้แท้ๆ เจ้าหมอนั่นก็ดันเป็นคนตรงต่อเวลามากมายซะด้วยสิ แล้วฝนก็ดันตกอีก.........

แล้วจิมมันจะมาเมื่อไรว่ะเนี่ยยย!!............ร่างสูงเกาหลังหูอย่างเบื่อหน่ายกับฝนหลงฤดูข้างนอกนั้น พร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเผื่อจะช่วยให้ใจเค้าเย็นลงได้บ้าง

แต่ก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไรเลย สำหรับบุรุษแดนใต้ความอดทนต่ำคนนี้

ลมหายใจถูกพ่นพรูออกมาเป็นรอบที่ยี่สิบแปดแล้วในเช้านี้  บ่งบอกได้อย่างดีถึงความเบื่อหน่ายของเค้า.........ถึงแม้จะเป็นฝ่ายเค้าเองก็เถอะที่โทรไปออกปากชวนเพื่อนตัวดีคนนี้ให้ออกมาคุยกันที่ร้านโปรดของร่างสูง

(ใช่ ร้านโปรดของเค้า  ไม่ใช่ร้านโปรดของจิม เพราะถ้านัดไปที่โปรดของมันคงจะไม่มีที่เงียบๆ ให้คุยกันเป็นแน่)

หลังจากที่เมื่อวานโทรไป  เจ้าหนูผีหูแหลมกิ๊กหน้าตายสุดสวาทของมันเป็นคนรับแล้วตัดสายเค้าทิ้งไป

แต่แล้วหลังจากที่เริ่มโทรไปนัดใหม่  แล้วรอมาร่วมชั่วโมงเสียงเปิดประตูร้านก็ดังขึ้นพร้อมกับคนที่แมคคอยตั้งใจจะเจอ1

เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งแบบอนุรักษ์สมันนิยมของร้านกาแฟแนวซาน  อันโทนิโอ ดังขึ้นเสียงไพเราะพร้อมกับชายหนุ่มตาสีฟ้าเป็นประกายและผมสีทองสว่างเดินเข้ามาหน้าประตูด้วยท่าสโลว์โมชั่น

มาได้สักทีนะเอ็ง!........บุรุษแดนใต้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกและรู้สึกปวดขมับไปในเวลาเดียวกัน

“อ้าวโบนส์--! มานานแล้วเหรอ....รอฉันนานไหม”

ไม่นานเลยจิม.........แมคคอยหันไปมองหน้าคนที่ทำหน้าสดใสร่าเริงในวันฝนตกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้มาสายเลย  แล้วยังมีหน้ามายกแขนยกขาช้าๆ ใส่เค้าตั้งแต่แรกเห็นอีกต่างหาก

กัปตันเคิร์กแห่งยาน Enterprise หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหมอใหญ่แห่งยาน Enterprise เค้าดูรีบร้อนมากถ้าไม่นับรวมท่าสโลว์โมชั่นที่จงใจทำให้เพื่อนซี้ขี้หงุดหงิดน่ะนะ  เพราะนอกจากทรงผมที่ยุ่งเหยิงแล้วเสื้อผ้าที่ดุก็รู้ว่า....รีบใส่ของจิมก็บ่งบอกถึงข้อนั้นได้เป็นอย่างดี

(หากไม่ใช่แมคคอย จิมจะไม่กวนประสาทใส่เด็ดขาด.......ใช่  เรื่องกวนประสาทโบนส์เพื่อนซี้เค้าชอบที่สุด  ยิ่งเห็นเพื่อนหงุดหงิดยิ่งชอบใจ)

“ฉันพลาดอะไรไปเหรอ” ชายหนุ่มตาสีฟ้าสดใสก็ยังคงสดใสเช่นเคยเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเซ็งสุดๆ ของเพื่อนหมอ  แต่เค้าก็ได้คำตอบที่ทำเอายิ้มเจื้อนด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน

นาย – สาย” แมคคอยพุดก่อนจะเอนหลังไปพิงพนักบุนวมของร้านกาแฟร้านโปรดของเค้า  คู่กรณีของเค้ายังคงอวดรอยยิ้มเจื้อนต่อไปจนกระทั่งเอื้อมมือมาฟาดเข้าที่ต้นแขนแกร่งเข้าอย่างแรง

เพี๊ยะ!!

“ไม่เอาน่าไอ้โบนส์!....นายก็รู้ว่าเรื่องตรงเวลาฉันค่อนข้างมีปัญหา ถึงฉันจะใส่มันไว้ในตารางนัดแล้วก็เหอะ แต่ฉันก็ลืมมันทุกทีนั้นแหละจนกว่าจะถึงเวลาจริงๆ.....เอ่อ ว่าแต่นายมีอะไรจะปรึกษาฉันเหรอเพื่อน” .....ที่ปรึกษาที่ดีพูดจาทำท่ากระฉับกระเฉงก่อนจะเป็นฝ่ายที่กอดอกแล้วเอนหลังไปพิงกับพนักพิงบ้างอย่างร่าเริง

ผิดจากอีกคนที่นอกจากคำว่า โอ๊ย ในใจแล้ว แมคคอยก็มีหลายคำในใจด่าทอเพื่อนซี้อีกเป็นโหล  แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน ในเมื่อที่เค้าเรียกเพื่อนซี้ตัวดีมาวันนี้ก็เพื่อจะขอคำปรึกษา  ร่างสูงยืดตัวตรงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นที่เค้าจำได้...............

และจบที่ซูลูมารับตัวเชคอฟกลับไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่แมคคอยเองก็ไม่เข้าใจ เพราะเค้าเองก็ยั้วไม่แพ้กัน.............

จิมอ้าปากค้าง  มือของเค้าถือช้อนที่กำลังคนอยู่ในถ้วยกาแฟค้าง  แมคคอยเหลือบตาขึ้นมองเพื่อนซี้ที่อึ้งเป็นเห้งเจียแล้วถอนหายใจออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก  และท้ายที่สุดก็จบด้วยการที่เค้าเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเองจนต้องขออ้าปากด่าสักยกหนึ่ง

“นี่แก.......”

ไอ้โบนส์!!” คนทั้งร้านหยุดกิจกรรมแล้วหันมามองทางนี้เป็นตาเดียว แมคคอยหุบปากแล้วตกใจกับเสียงตะโกนของจิม

“แกฉุดเชคอฟเรอะ!!!” จิมสะบัดช้อนในมือกระเด็นไปข้างหลังอย่างไม่ใยดีและทุบโต๊ะ  สีหน้าเค้าดูตื่นตกใจมาก  ดวงตาสีฟ้าสดใสบัดนี้เบิกกว้างขึ้นแล้วเต้นระริกด้วยแววตาที่เป็นประกายยิ่งกว่าตอนไหนๆ  และจิมยังคงค้างท่าอยู่เช่นนั้น  เช่นเดียวกับที่ผู้คนในร้านกาแฟเล็กๆ นี้พากันมองมาทางมุมขวาสุดของร้านราวกับสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น

แมคคอยหลังติดพนักพิงบุนวมเพราะเสียงของจิม  จากนั้นเค้าก็ดึงหลังตัวเองออกมาแล้วเอียงหัวไปทางผู้คนในร้าน  กวาดสายมองไปรอบๆ แล้วพูด

มันซ้อมบทละครครับ ไม่มีอะไร ผมต้องขอโทษด้วย  เทสหน้ากล้องครั้งนี้ของมันสำคัญมากน่ะครับ.......เฮ้ จิม ตรงนี้นายต้องพูดเสียงดังแล้วก็ลากยาวอีกหน่อยนะ  มันถึงจะสมจริง.......” วิชาปลาไหลร้อยท่าที่ก็อปปี้มาจากเพื่อนตรงหน้านี้พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง  แมคคอยจึงไม่รีรอเลยที่จะงัดมันออกมาใช้ทันที   เค้าขอโทษขอโพยก่อนที่จะเอียงหน้ามาทำเป็นแนะนำเรื่องแอคติ้งกับจิม  แล้วเค้าก็หันมาทำตาเขียวใส่พร้อมกับทำเสียงประชดประชัน

“.......เอาให้กระแทกหน้าผู้กำกับไปเลยเพื่อน!” เค้าพูดพลางพยักหน้าแล้วปั้นหน้ายิ้ม  จิมคิ้วกระดิกเล็กน้อยเหมือนตามมุขไม่ทัน  แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้คนในร้านก็เลิกสนใจพวกเค้าแล้ว  เพียงแต่พยักหน้าบอกว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระของคนช่างฝันแล้วก็หันไปพูดคุยกันต่อ

แมคคอยเอาศอกท้าวโต๊ะ ยกมือขึ้นบังหน้าแล้วพูดรอดไรฟัน “ขอบใจที่ช่วยขยายความ  นายทำได้ดีมาก เจมส์ ที. เคิร์ก......นั่งลงได้แล้ว ขอบใจ!” จิมหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ราวกับทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงแล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งโดนล้างสมอง

“นายโกหกป่ะเนี่ย” กัปตันแห่งยาน Enterprise จ้องหน้าแมคคอยแล้วพูดเสียงเบา  แมคคอยสูดหายใจเข้าลึกที่สุดในชีวิตแล้วเอ่ยออกไปอย่างหัวเสีย

“หลังจากที่นายตะโกนซะป่าช้าแตกขนาดนี้น่ะหรือจิม......ว่าฉันโกหก

ไอ้บ้าเอ้ยย” เจมส์ ที. เคิร์ก พูดรอดไรฟัน “นายคิดอะไรอยู่  นายชอบเชคอฟก็ไม่เห็นต้องไปฉุดเค้าเลยหนิ  เรื่องกินเด็กใครๆ เค้าก็ทำ.........”

ผั๊วะ!!

“ฉันบอกแกตอนไหน!” แมคคอยยกฝ่ามือขึ้นโบกกลางอากาศลงตรงกลางหัวของเพื่อนซี้อย่างพอดิบพอดี  จิมหน้าเสียพลางกุมหัวแต่แมคคอยก็ยังมิวายบ่นเสียงดุ “เลิกพูดแบบนั้นได้แล้ว”

กัปตันตัวน้อยนิดทำหน้าเป็นโกลเดิ้นหงอยแล้วลอบมองถ้วยกาแฟของตัวเอง ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนหมอที่ทำหน้าเครียดอย่างคิดไม่ตกอยู่กับปัญหาของตัวเอง

“แล้วนายจะเอายังไงต่อ......โอเค โอเค ที่นายเรียกฉันมาคุยก็เพราะเรื่องนี้สินะ  เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว  ฉันสำนึกแล้ว.......โอเค  ฉันขอโทษนักแสดงหนุ่มโบกมือคันระหว่างเค้าทั้งสองไว้  แล้วมองไปที่ถ้วยกาแฟของตัวเองอีกรอบ สายตาเค้าดูสอดส่องเป็นพิเศษ

แต่แล้วจิมก็หยุดโบกมือแล้วเบนความสนใจมาที่แมคคอยแทน  จิมดูเหมือนกำลังใช้ความคิดและพูดจาให้ระมัดระวังที่สุด เพราะเค้ารู้ดีว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหาโลกแตกและสำคัญกับเพื่อนเค้าขนาดไหน........ใช่ โดยเฉพาะกับคนอย่างแมคคอย

“แล้วนายรู้สึกยังไงเพื่อน” เริ่มด้วยคำถามจิตวิทยา

“โคตรแย่”

ดี  แล้วเชคอฟล่ะ นายว่าเค้ารู้สึกยังไง” และกัปตันเคิร์กก็ยังคงเล่นบทหมอจิตวิทยาต่อไปเป็นคำถามที่สอง

แมคคอยไหวไหล่ “ก็ต้องตกใจแหงอยู่แล้ว  แต่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเว้นแต่ปลอบใจเค้า บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว.....แค่นั้น

แค่นั้น เอง”

“ก็เออน่ะสิ! เห็นฉันเป็นร่างแยกของหมอนั้นรึไงถึงจะได้รู้ไปหมดซะทุกอย่างน่ะว่าหมอนั่นรู้สึกยังไง!” แมคคอยกระแทกเสียง  เพราะหมดความอดทนกับคำถามที่ซอกแซกของร่างตรงหน้า “เลิกทำตัวเป็นนักจิตวิทยาได้แล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยไอ้หนู”

อืมม ฉันว่านายน่าจะลงเรียนเป็นจิตแพทย์ด้วยนะ  ตอนนี้มันคงช่วยได้มาก”

“ขอบใจ” แมคคอยประชดประชัน  แล้วกระแทกแผ่นหลังกำยำตามสรีระกับพนักพิงอีกทีหนึ่ง เค้ายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว  มองดูฝนที่หยุดตกแล้วข้างนอก......เม็ดฝนเม็ดเล็กเม็ดน้อยเกาะพราวอยู่บนกระจกด้านขวามือของเค้า  แสงแดดข้างนอกเริ่มสาดส่องลงมาแล้ว

ดูแล้ววันนี้ควรเป็นวันหยุดที่ดีของทุกคน  แสงแดดที่แรกแย้มเมื่อเม็ดฝนหยุดโปรยปราย  ตอนนี้ที่บ้านของเค้าคงเริ่มมีเสียงของนกในป่าระแวกใกล้เคียงดังขึ้นระงมกันไปแล้ว  และมันคงจะดีไม่น้อยเลยที่เค้าจะได้นั่งทำการวิจัยเล็กๆ น้อยๆ โดยเปิดหน้าต่างบานใหญ่ออกให้หมดแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นจนพระอาทิตย์ตกดินแล้วชื่นชมความสวยงามของมันไปในเวลาเดียวกัน

แต่วันนี้กลับมีเรื่องตื่นเต้นใหม่ให้เค้าต้องทำ..........นั่นคือนั่งจับเจ่าอยู่ในร้านกาแฟย่านเคนชิง ตันกับเพื่อนกัปตันผมบล์อนตาสีฟ้าที่กำลังนั่งถูๆ จับๆ ไปรอบถ้วยกาแฟของตัวเองอยู่  ในที่สุดแมคคอยก็หยุดคิดอะไรบ้างอย่างแล้วพูดขึ้น

“ฟังนะจิม ฉันรู้ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะแอลกอฮอล์  ตอนนั้น ตอนที่ฉันเมาฉันยอมรับเลยนะว่ารู้ตัว แต่ก็ห้ามอะไรตัวเองไม่ได้เลย” แมคคอยผายมือเล็กน้อย

“ใช่ เฮ้ ไม่เป็นไรหรอกน่า  เรื่องนั้นฉันเข้าใจนายดี.....แอลกอฮอล์มันก็ร้ายตรงนี้แหละ  เพราะงั้นถ้ามันทำให้นายรู้สึกไม่สบายใจนะเพื่อน ซึ่งฉันไม่อยากให้นายเป็นอย่างนั้นเลย  ฉันคิดว่านายน่าจะปล่อยวางเรื่องนี้ได้แล้วเพราะเชคอฟก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนนายข่มขืนนี่ใช่ไหม? คิดซะว่าเรื่องเป็นแบบนี้ก็เพราะบูม บูม ชอตท์ที่นายแย่งฉันไปล่ะกันนะ” แรกเริ่มของประโยคเกือบทำเอาสุภาพบุรุษแดนใต้แทบตั้งใจฟัง แต่พอคำว่า ข่มขืน มันพุ่งมากระทบหูเค้า ร่างสูงก็ทำหน้าตายทันที

“ขอบใจจิม สรุปได้แรงดี”

แกคิดอย่างอื่นที่มันดูเข้าท่ากว่านี้ไม่ได้รึไงนะ........ข่มขืนเป็นคำที่บ่งบอกการกระทำฉันได้ตรงมากจริงๆ..........ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนเพื่อนกลบดินฝังหน้าตัวเอง แต่ถึงอย่างไรจิตใต้สำนึกลึกๆ ของเค้าก็บอกให้เค้าควรใส่ใจกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพียงเพราะเค้าเองก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของเด็กคนนั้นด้วยเช่นกัน

“แต่ฉันทำไม่ได้.....ไม่ ไม่ได้” แมคคอยพูดเสียงจริงจัง  ทำให้เพื่อนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งมองตามสีหน้าแน่วแน่นั้นของแมคคอย

“ฮะ....”

“ฉันหมายถึงฉันคงทำตามที่นายบอกไม่ได้หรอกจิม  เชคอฟยังเด็กมากเกินไปที่จะเข้าใจว่าเรื่องนี้มันสำคัญแค่ไหน”

“แล้วนายได้ขอโทษเค้าไปรึยัง”

“พูดไปแล้ว แต่เจ้าหนูนั่นก็บอกว่าไม่เป็นไรไม่ใช่ความผิดฉัน”

“ก็โอเคแล้วนี่.......หรือนายยังต้องคิดอะไรอีก” จิมมองตรงมาแล้วถามคำถามที่ทำให้แมคคอยต้องชะงักค้างอยู่อย่างนั้น  เค้าอ้าปากเหมือนกับจะพูดอะไรบ้างอย่างออกมา แต่ทว่ากลับไม่มีอะไรเลย........เค้าพูดอะไรไม่ออก

ใช่ ถ้าเชคอฟยืนยันแบบนั้นและยกโทษให้เค้าแล้ว  มันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอีก  แต่ว่าแมคคอยไม่สามารถคิดอะไรแบบนั้นได้  คำพูดที่จะค้านจิมคำนั้นจึงจุกอยู่ที่ลำคอของเค้า......ไม่มีอะไรออกมาจากปากแมคคอย

จิมมองดูท่าทางของแมคคอยแล้วรู้สึกเป็นห่วง  “นายโอเครึเปล่าเพื่อน” เค้าถาม

ร่างสูงส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ ไม่เป็นไร  แค่ฉัน....เอ่อ ไม่รู้สิ” เค้าส่ายหน้าอีกครั้งแล้วจ้องถ้วยกาแฟที่พร่องลงไปแล้วครึ่งหนึ่งของตัวเอง

ถึงแม้จะนิสัยแตกต่างกันมากเพียงใด แต่การที่พวกเค้าได้เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าสตาร์ ฟลีท ก็ทำให้กัปตันตัวเล็กผู้ที่มีแววตาซุกซนอยู่เป็นนิจคนนี้พอจะเดาออกว่า เพื่อนหมอของเค้ากำลังคิดเช่นไรอยู่

“ถึงนายไม่พูดฉันก็รู้ว่านายคิดยังไงอยู่โบนส์......นายไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ถ้าหากมันยิ่งทำให้นายรู้สึกแย่  งั้นเอางี้ดีไหม ฉันจะให้นายทำข้อสอบ.....” แมคคอยเลิกคิ้วมองเค้า  พลันรอยยิ้มซุกซนปนเสน่ห์ของเจมส์ ที. เคิร์กก็กลับมาอีกครั้ง

“........อาจารย์เคิร์กมีช้อยให้นายเลือกนะพวก  ให้นายเลือกตอบคำถามที่จะตัดสินทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้...........A. นายจะรับคำขอโทษของเชคอฟไว้เช่นเดียวกับที่เชคอฟก็รับคำขอโทษของนาย และลืมเรื่องนี้ไปซะ  หรือ  B. นายจะรับผิดชอบเชคอฟ  ทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเค้าจะไม่มีความรู้สึกที่แย่ๆ ทุกครั้งที่เห็นหน้าของนาย  และ....ส่วนคำตอบก็อยู่ในใจของนายแล้วตอนนี้” จิมพูดจบพลางบรรจงจิ้มเบาๆ ไปที่กลางอกของเค้า

แมคคอยเลียริมฝีปากแล้ว มองเพื่อนซี้ราวกับจะถามให้แน่ใจว่า นายจะเลิกไร้สาระกับเรื่องสำคัญของฉันจริงๆ แล้วใช่ไหม? แล้วใช้ความคิดไตร่ตรองว่าเค้าต้องการอะไรมากที่สุด

..............หากเลือกข้อแรก เรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรเกิดก็จะหมดไป  และเชคอฟก็เป็นเด็กดีอยู่แล้วด้วย  เช่นนั้นแมคคอยก็ไม่ควรต้องกังวลอะไรอีก............

...............แต่ข้อสอง มันบ่งบอกถึงสิ่งที่เค้าทำมาโดยตลอดนั่นคือ สำนึก เป็นจิตสำนึกที่เค้าถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เกิด และมันก็คงจะดีกว่าถ้าเค้าตัวเป็นผู้ใหญ่แบบเสมอต้นเสมอปลาย..............

“คิดให้ดีล่ะโบนส์.....นี่ข้อสอบรอบ Final นะ” กัปตันผู้เป็นเพื่อนของหมอใหญ่ลอบมองแล้วยิ้มน้อยๆ กับสีหน้าที่ดูเหมือนจะปั่นป่วนไม่น้อยเลยกับคำตอบที่ต้องเลือก  แล้วจิมมี่ก็ตัดสินใจมองถ้วยกาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มของตัวเองต่อ

โบนส์  โบ๊นส์ โบนส์....ไม่เอาน่าอย่าเพิ่งทำหน้ายังงั้นสิ  ฉันไม่ได้รบเร้าบอกว่าจะเอาคำตอบวันนี้เสียหน่อย” จิมเค้านิ้วลงบนโต๊ะ

“นายค่อยให้คำตอบของนายกับฉันทีหลังก็ได้......เอ่อ ว่าแต่นายเห็นช้อนคนกาแฟของฉันไหมอ่ะ ฉันเอามันไว้ไหนนะ  ให้ตาย ฉันกินกาแฟไม่ได้ถ้าไม่ได้คนมันซะก่อนน่ะ” คนขี้ลืมพูดพลางทำหน้าครุ่นคิด  เรื่องเล่าสุดช็อคทำเอาความทรงจำเค้าหายไประยะหนึ่ง

 แมคคอยถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับปัญหาของตัวเอง คิ้วเข้มยังคงผูกกันเป็นปมแน่น  แมคคอยยังไม่ได้สนใจจิมตอนนี้ 

แต่ถ้าหากเค้าไม่ได้นัดคุยกับจิมในวันนี้ก็คงจะทำให้เค้ารู้สึกไม่อยากทำอะไรไปเลย  มาคุยกันในร้านกาแฟวันอาทิตย์กับจิมก็ใช่ว่าจะแย่อะไร (ถ้าไม่นับรวมถึงการพล่ามไร้สาระสารพัดของเจ้าตัวน่ะนะ)

ในที่สุดแมคคอยก็พูดขึ้น หลังจากเค้าคิดว่าควรกลับไปคิดไตร่ตรองที่บ้านดีกว่า “ขอบใจนายมากจิม  ได้ ฉันจะกลับไปทำข้อสอบแสนสำคัญของนาย.........และช้อนของนายก็ปลิวออกไปตั้งแต่ตอนที่นายโยนมันไปข้างหลังเมื่อกี้แล้วนี่ไง”

จิมหันกลับมา  ตาสีฟ้ากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะพรมนิ้วบนโต๊ะจนเกิดเสียงครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มแฉ่ง  “โอ้.....ใช่ ฉันก็เพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้สป็อคอยู่บ้านกำลังศึกษาแนวทางและวิถีชีวิตของชาวดวงสีรุ้งที่เราเพิ่งไปสำรวจมาอ่ะนะ  ฉันคิดว่าขากลับจะซื้อของที่เค้าชอบกลับไปฝากเค้าเสียหน่อย  ก่อนที่เค้าจะรู้ตัวว่าฉันออกมาหานาย”

“ห๊ะ.......นี่นายกำลังจะบอกว่านายแอบหนีเจ้าหนูผีนั่นมาหรือ” แมคคอยทำหน้าเหยเก “มาตามนัดฉัน  นายต้องโกหกแฟนว่าอยู่บ้านแล้วหนีออกมายังนั้นเรอะ!  โอ้ ไม่เอาน่า....ทำยังกะฉันเป็นชู้นายยังงั้นแหละ”

“เฮ้ๆๆ อย่า worry สิพวก.....ฉันแค่แวบออกมาเพราะไม่อยากกวนเวลาตอนเค้าทำงานเท่านั้นเองง” จิมลุกขึ้นพลางยกมือทั้งสองขึ้นมากั้นเป็นเชิงบอกว่า เรื่องทั้งหมดเค้าจัดการได้

“งั้นนายก็รีบไปเลย  ก่อนที่เจ้าหนูหน้าเขียวนั่นจะรู้ตัวแล้วจัดการนายจนลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้จนถึงเช้าวันอังคาร” ร่างสูงแดนใต้พูดขึ้นเป็นเชิงไล่  ก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อนที่กำลังเครื่องร้อนเต็มที่ให้หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน

“เฮ้ นี่....แล้วเรื่องคำตอบน่ะอย่าเอาไปพูดในเวลางานล่ะเข้าใจไหม  มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ฉันจะตัดสินใจเองและฉันจะทำเองคนเดียว  และมันจะเป็นความลับเฉพาะแค่ฉันกับนายเท่านั้นโอเคไหม” สายตาของแมคคอยบ่งบอกได้อย่างชัดเจนตามที่พูด  ส่วนเพื่อนผมบล์อนก็พยักหน้าหงึกพลางชูนิ้ว โอเค.

“เค...ได้เลยเพื่อนฉันสัญญา นี่คือความลับของเรา” แล้วเจมส์ ที. เคิร์กก็ดีดตัวออกจากร้านกาแฟอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบบึ่งกลับบ้านอย่างด่วนจี๊

และเป็นเวลานานพอสมควรกว่าที่ร่างสูงอันโดดเด่นของบุรุษแดนใต้จะลุกขึ้น วางเงินไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากร้านที่ยังคงมีกลิ่นไอของฝนและกลิ่นหอมของขนมปังที่อยู่ร้านถัดไป ซึ่งร่างสูงตัดสินใจซื้อกลับบ้านอีกสองสามก้อนเพื่อเก็บไว้เผื่อเค้าจะหิวตอนที่อาหารเย็นหมดแล้ว เพราะกลิ่นของมันหอมกรุ่นเตะจมูกจนทำให้เค้ารู้สึกคิดถึงทุ่งหญ้าแถวบ้านของเค้าเสียเหลือเกิน

แมคคอยกลับถึงบ้าน วางขนมปังที่ซื้อมาไว้ตรงเคาเตอร์ เค้าเตรียมอาหารเย็นให้ตัวเองและหยิบขนมปังทานไปด้วยก้อนหนึ่ง แล้วลงมือทานมื้อค่ำเพียงคนเดียวดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา  ซึ่งเค้าไม่มีใครทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนเลยนอกจากเก้าอี้ไม้โอ๊คเคลือบเงาหายากที่อยู่ตรงข้ามกับเค้า.......มันตั้งอยู่ตรงนั้นมานานหลายปีเห็นจะได้

ตั้งแต่ตอนที่แมคคอยเริ่มต้นงานใหม่กับสตาร์ ฟลีทและทิ้งบ้านที่ภรรยาเก่าฟ้องอย่าไป  หลังจากนั้นเมื่อสร้างตัวได้แล้วนั้น ก็หาที่ดินจนเจอทำเลงามตามที่ฝัน แล้วก็สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่างเสร็จสมบรูณ์อย่างสวยงามเหมือนอย่างที่เค้าวาดฝันไว้เลยทีเดียว  ก่อนที่แมคคอยจะกวาดซื้อสมบัติของเค้าทุกชิ้นที่ภรรยาเก่าได้เลขายไปเมื่อหลายปีก่อนให้กลับเข้ามาอยู่ในความดูแลของเค้าเช่นเดิม

โดยเฉพาะเก้าอี้ไม้ หลายต่อหลายตัวที่เค้ารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เค้าชื่นชอบมากที่สุดรองลงมาจากการเป็นแพทย์ มันเป็นเสมือนเครื่องตอกย้ำว่าครั้งหนึ่งมนุษย์เคยมีวิถีชีวิตเยี่ยงไร  ในคืนนั้นเองร่างสูงของแมคคอยก็ยืนชมดวงดาวที่ดูสว่างไสวกว่าที่ใดในระแวกลอนดอน เพราะบ้านของเค้าตั้งอยู่แถบนอกเมืองและใกล้กับป่าซึ่งมีเนื้อที่อยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

ผิวสีแทนอ่อนๆ ถูกสวมทับแต่เพียงกางเกงนอนตัวเดียว  ซึ่งนานๆ ครั้งที่ร่างสูงคิดอยากจะใส่แบบนี้เข้านอนสักทีหนึ่ง..........ดูเหมือนวันนี้จะมีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับแมคคอย  หมอใหญ่แห่งยาน Enterprise เข้านอนดึกเป็นพิเศษในคืนนี้

และในท้ายที่สุดแล้วขนมปังที่เค้าซื้อมาจากร้านเบเกอร์รี่ก็ถูกวางไว้อยู่ที่เดิมโดยที่เค้าก็ไม่ได้แตะมันอีกเลย


***************************************************************************


หลายวันต่อมาบน Enterprise…………..

“เอ้า! ว่าไงล่ะโบนส์......นายคิดได้รึยังง!” กัปตันเคิร์กนั่งโยกตัวอยู่บนเก้าอี้ราวกับว่าเค้าเป็นเด็กที่อยากได้อมยิ้ม

“หนวกหูน่าจิม! หยุดแหกปากสักที” หมอแมคคอยที่ยืนพิงเตียงคนไข้อยู่พูดอย่างหัวเสียในขณะที่กำลังตรวจเช็คจำนวนยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่เพิ่งเอามาเพิ่มใหม่

“ม่ายยย” กัปตันที่อยู่ในเสื้อสตาร์ ฟลีทสีเหลืองทึ่งหัวตัวเอง “ฉันจะไม่หยุดแหกปากจนกว่านายจะบอกฉันมาสักทีว่านายเลือกข้อไหน” เค้าโยกตัวแรงขึ้น

“อย่ามางี่เง่ากับฉันนะไอ้หนู แล้วก็เลิกโยกเก้าอี้ฉันแบบนั้นสักที” แมคคอยสั่งเสียงเด็ดขาด พร้อมชี้นิ้วประกอบ “เวลาพักของนายเป็นประโยชน์มาก......เปลี่ยนจากมาก่อกวนฉัน เป็นไปพักเข้าห้องน้ำดีไหม”

แต่กัปตันคนเก่งแห่งสตาร์ ฟลีทกลับยึดเก้าอี้ไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม “ให้ตายเถอะโบนส์…..นายหลบหน้าเชคอฟมาเป็นเกือบอาทิตย์แล้วนะ  ที่นายต้องจัดการกับเรื่องนี้ก็คือให้คำตอบมาซะ แล้วจากนั้นฉันก็จะช่วยนายเองหากนายอยากได้อะไร” จิมเหยียบไปบนล้อของเก้าอี้หมุนได้ของแมคคอยแล้วชูมือขึ้น  สีหน้าเค้าเหมือนกำลังอยากกู้เงินกับธนาคาร

แต่แมคคอยไม่สนใจเค้า และเหลือบตาลงไปมองเพียงเก้าอี้ของตัวเองแวบเดียวเท่านั้น

...............อย่างน้อยมันก็เป็นเก้าอี้หมุนธรรมดาๆ ใน Enterprise ไม่ใช่เก้าอี้ที่บ้านเค้า  ถ้าไม่งั้นนะเค้าคงได้ทุบหัวกัปตันจอมจุ้นนี่จนจำหน้าเจ้าต่างดาวหูแหลมนั่นไม่ได้เลยทีเดียว.............

“นายรู้ไหมว่าตอนอัลฟาชีคน่ะฉันเห็นเชคอฟเป็นยังไงง” แมคคอยเลิกคิ้วแล้วหันกลับมาหาจิมผู้ซึ่งในที่สุดก็เรียกร้องความสนใจได้สำเร็จ 

“เค้านิ่งมากๆ ทำตัวปรกติ!” จิมพูดเสียงดัง  แมคคอยคิ้วกระตุก

อ่อ ก็ดีแล้วนี่....”

“มันดีตรงไหนกันฟะ! นายรู้ไหมว่าการวิจัยบอกว่าเด็กที่เพิ่งผ่านการเสียตัวมาอย่างไม่คาดฝัน ในกลุ่มที่มักจะเก็บเรื่องเงียบไม่บอกใครน่ะมีสิทธิ์ในการคิดสั้นต่างๆ รวมถึงฆ่าตัวตายด้วยนะโว้ยย!.....ฉันไม่เห็นเค้าบอกเรื่องนี้กับใครเลย แม้แต่จิม เคิร์กผู้ช้ำชองอย่างฉันเค้าก็ไม่บอก  ถึงนายจะไม่ห่วงเค้าแต่ฉันในฐานะกัปตันและเพื่อนฉันห่วงนะเว้ยยยย!” จิมมี่ตวาดเสียงดัง  จนทำให้แมคคอยรู้สึกอยากจะบ้าตายขึ้นมาแล้วถอนหายใจพลางทำตาโตอย่างเบื่อหน่าย

ไหนใครสัญญากับฉันว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ในเวลางานกันว่ะ! ฉันจะเดินไปตบหัวมัน........แต่จะบอกอะไรให้ มันโชคดีเป็นบ้าที่ฉันแค่คิดเล่นๆ ตอนนี้ยังก่อน...........ว่าแล้วเค้าก็เดินไปลากพนักพิงของเก้าอี้ที่จิมนั่งอยู่แล้วเหวี่ยงเข้าไปในฉากกั้นท่ามกลางความงุนงงของกัปตันผมทองเองและสายตาที่จับจ้องไม่หยุดของพยาบาลของเค้า

“เอ่อ.....คุณชาเพลผมอนุญาตให้คุณพักเพิ่มเป็นสามสิบนาทีพร้อมกับคนอื่นๆ  ขอเวลาส่วนตัวผมหน่อย” หมอใหญ่แห่งยาน Enterprise พูดเพียงแค่นั้นพยาบาลทุกคนก็รับคำแล้วออกไปตามที่ร่างสูงขออย่างว่าง่าย  จากนั้นแมคคอยจึงเดินกลับมาที่ฉากกั้นด้วยสีหน้าที่เครียดน้อยกว่าเก่า  พอไปถึง.........

โอ๊ยย! นายเอานี่มาตีหัวฉันทำไมเนี่ย  ฉันทำอะไรผิดว่ะ” กัปตันเคิร์กเอามือกุมหัวปูดๆ ของตัวเองพลางทำหน้ายู่ใส่

“ก็โทษฐานที่แกเอาเรื่องข้อสอบ Final บ้าบอนั่นมาพูดในเวลางาน แล้วแถมยังเอามาพูดไม่ดูตาม้าตาเรือต่อหน้าคนอื่นอีกต่างหากน่ะสิ!” แมคคอยคำรามรอดไรฟันขณะในมือก็กำ PADD ที่ร้าวนิดๆ ไว้แน่น

จิมมีสีหน้าที่เป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น เค้าเลิกเอามือกุมหัวตัวเองแล้วยื่นหน้าขึ้นไปสบตากับเพื่อน “แต่นี่มันเรื่องสำคัญนะเพื่อน  นายจะปล่อยให้ฉันรอ.....ให้เชคอฟรอไปถึงไหน” แมคคอยจ้องกลับ

“นายพูดเหมือนกับรู้ ว่าฉันจะตอบอะไร”

แต่ยังไม่ทันที่แมคคอยหรือจิมจะได้พูดอะไรต่อ  เสียงนางพยาบาลชาเพลที่เพิ่งเดินออกไปก็ลอยกลับเข้ามาทางวิทยุสื่อสารที่ดังทั่วทั้งห้องพยาบาล  แมคคอยกับจิมนิ่งงันขณะฟังเสียงนั้น

ขอโทษค่ะคุณหมอแมคคอย  คุณพาเวลลื่นล้ม มีอาการเจ็บอย่างรุนแรงเพราะเค้าทำหน้าไม่สู้ดีเสียเท่าไรค่ะ และเค้ากำลังจะเข้าไปหาคุณแล้วค่ะ.......โธ่เอ้ย คุณพาเวลเลิกทำหน้าอย่างนั้นเสียทีเถอะ ตอนนี้คุณหมอคุยกับกัปตันอยู่และฉันเชื่อว่าเค้าคงยอมรักษาให้เธอทันทีที่ไปถึงแน่นอนจ๊ะ  รีบเข้าไปเถอะ.......ไปสิจ๊ะเชคอฟ

เสียงอ่อนโยนของนางพยาบาลพูดขึ้นในท้ายประโยคราวกับเอ็นดูเด็กที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าห้องพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง   ชายทั้งสองที่อยู่ในห้องพยาบาลมองออกไปยังประตูทางเข้าอย่างพร้อมเพรียง  จิมพูดกับแมคคอยโดยที่ยังไม่ละสายตา

“นายมีทางออกฉุกเฉินไหม  เพราะถ้ามี.....ฉันว่านายคงจะต้องใช้มันด่วนเลยล่ะ”

แมคคอยฟัง ขณะเค้าทั้งสองก็ยังคงไม่ละสายตาไปจากทางเข้า

แล้วมันมีที่ไหนกันล่ะฟะไอ้จิม!

เค้าคิดในใจอย่างรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง


.


.


.


.


TBC.


-------------------------------------------------------------------------------------------

ฮ้าาาาห์  น้องเชจะเข้ามาแล้ว! ทำอะไรสักอย่างสิค่ะหมออย่านั่งบื้อ! //กระชากคอเสื้อหมอแล้วเขย่าแรง//

จิม เคิร์กที่อยู่ในห้องจะช่วยชีวิตเพื่อนหมอเช่นไรติดตามกันได้ใน Part หน้าเลยค่ะ  แต่ถ้าท่านใดที่ติดตามคู่อื่นๆ หรือคู่นี้แต่อยากเกาะติดว่าไรท์ลงเมื่อไรจะได้เข้ามาอ่านอย่างเร็วรี่  ก็ตามไปเกาะกันได้เลยค่ะที่


เฟสไรท์เองค่ะ ^^  ยินดีรับแอดเสมอค่ะ............ที่นี้รีดก็นั่งเช็คเฟสรอโพตส์ไรท์ได้เลยค่ะ  แต่อย่าลืมแวะเวียนเข้ามาคุยกันด้วยนะคะ  ไรท์ยินดีร่วมวงเมาท์ด้วยค่ะ หุๆ ^^

ด้วยรักและแรงหื่น
            Ray - Aund


                

ไม่มีความคิดเห็น: