สวัสดีค่าาาา มาอีกเรื่องสำหรับการหายไปรวมหลายเดือน -_-“ มาพร้อมๆ กับคู่ของ MaLec เลยนะเนี่ย 55555 //หัวเราะแห้งๆ //
ขอโทษด้วยนะค่ะ
ที่หายไปนานมาก
ไรท์รู้ตัวว่าหายไปนานค่ะ M- -M ยอมรับผิดแต่โดยดี ฮืออออออ T^T แฟนคลับหมอน้องรอกันนานเกิ๊นนนน
วันนี้เชิญอ่านไปก่อนนะคะ เร็วๆ นี้จะลง Part 5 ค่ะ
ขอโทษที่ช้าค่าาาาา
[วันนี้ไม่มีอะไรจะเมาท์เลยอ่ะ
-*- ]
[พอแล้วแก!!
//โดนโบก//]
----------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 4
ข้างนอกเม็ดฝนเกาะพราวอยู่เต็มหน้าต่าง...........
ไม่รู้มันจะตกมาทำไมนักหนา! นัดเพื่อนไว้แท้ๆ เจ้าหมอนั่นก็ดันเป็นคนตรงต่อเวลามากมายซะด้วยสิ
แล้วฝนก็ดันตกอีก.........
แล้วจิมมันจะมาเมื่อไรว่ะเนี่ยยย!!............ร่างสูงเกาหลังหูอย่างเบื่อหน่ายกับฝนหลงฤดูข้างนอกนั้น
พร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเผื่อจะช่วยให้ใจเค้าเย็นลงได้บ้าง
แต่ก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไรเลย
สำหรับบุรุษแดนใต้ความอดทนต่ำคนนี้
ลมหายใจถูกพ่นพรูออกมาเป็นรอบที่ยี่สิบแปดแล้วในเช้านี้
บ่งบอกได้อย่างดีถึงความเบื่อหน่ายของเค้า.........ถึงแม้จะเป็นฝ่ายเค้าเองก็เถอะที่โทรไปออกปากชวนเพื่อนตัวดีคนนี้ให้ออกมาคุยกันที่ร้านโปรดของร่างสูง
(ใช่ ร้านโปรดของเค้า ไม่ใช่ร้านโปรดของจิม เพราะถ้านัดไปที่โปรดของมันคงจะไม่มีที่เงียบๆ
ให้คุยกันเป็นแน่)
หลังจากที่เมื่อวานโทรไป
เจ้าหนูผีหูแหลมกิ๊กหน้าตายสุดสวาทของมันเป็นคนรับแล้วตัดสายเค้าทิ้งไป
แต่แล้วหลังจากที่เริ่มโทรไปนัดใหม่
แล้วรอมาร่วมชั่วโมงเสียงเปิดประตูร้านก็ดังขึ้นพร้อมกับคนที่แมคคอยตั้งใจจะเจอ1
เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งแบบอนุรักษ์สมันนิยมของร้านกาแฟแนวซาน อันโทนิโอ
ดังขึ้นเสียงไพเราะพร้อมกับชายหนุ่มตาสีฟ้าเป็นประกายและผมสีทองสว่างเดินเข้ามาหน้าประตูด้วยท่าสโลว์โมชั่น
มาได้สักทีนะเอ็ง!........บุรุษแดนใต้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกและรู้สึกปวดขมับไปในเวลาเดียวกัน
“อ้าวโบนส์--! มานานแล้วเหรอ....รอฉันนานไหม”
ไม่นานเลยจิม.........แมคคอยหันไปมองหน้าคนที่ทำหน้าสดใสร่าเริงในวันฝนตกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้มาสายเลย
แล้วยังมีหน้ามายกแขนยกขาช้าๆ
ใส่เค้าตั้งแต่แรกเห็นอีกต่างหาก
กัปตันเคิร์กแห่งยาน Enterprise หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหมอใหญ่แห่งยาน
Enterprise เค้าดูรีบร้อนมากถ้าไม่นับรวมท่าสโลว์โมชั่นที่จงใจทำให้เพื่อนซี้ขี้หงุดหงิดน่ะนะ
เพราะนอกจากทรงผมที่ยุ่งเหยิงแล้วเสื้อผ้าที่ดุก็รู้ว่า....รีบใส่ของจิมก็บ่งบอกถึงข้อนั้นได้เป็นอย่างดี
(หากไม่ใช่แมคคอย
จิมจะไม่กวนประสาทใส่เด็ดขาด.......ใช่
เรื่องกวนประสาทโบนส์เพื่อนซี้เค้าชอบที่สุด ยิ่งเห็นเพื่อนหงุดหงิดยิ่งชอบใจ)
“ฉันพลาดอะไรไปเหรอ”
ชายหนุ่มตาสีฟ้าสดใสก็ยังคงสดใสเช่นเคยเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเซ็งสุดๆ
ของเพื่อนหมอ
แต่เค้าก็ได้คำตอบที่ทำเอายิ้มเจื้อนด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน
“นาย – สาย”
แมคคอยพุดก่อนจะเอนหลังไปพิงพนักบุนวมของร้านกาแฟร้านโปรดของเค้า คู่กรณีของเค้ายังคงอวดรอยยิ้มเจื้อนต่อไปจนกระทั่งเอื้อมมือมาฟาดเข้าที่ต้นแขนแกร่งเข้าอย่างแรง
เพี๊ยะ!!
“ไม่เอาน่าไอ้โบนส์!....นายก็รู้ว่าเรื่องตรงเวลาฉันค่อนข้างมีปัญหา
ถึงฉันจะใส่มันไว้ในตารางนัดแล้วก็เหอะ
แต่ฉันก็ลืมมันทุกทีนั้นแหละจนกว่าจะถึงเวลาจริงๆ.....เอ่อ
ว่าแต่นายมีอะไรจะปรึกษาฉันเหรอเพื่อน” .....ที่ปรึกษาที่ดีพูดจาทำท่ากระฉับกระเฉงก่อนจะเป็นฝ่ายที่กอดอกแล้วเอนหลังไปพิงกับพนักพิงบ้างอย่างร่าเริง
ผิดจากอีกคนที่นอกจากคำว่า โอ๊ย
ในใจแล้ว แมคคอยก็มีหลายคำในใจด่าทอเพื่อนซี้อีกเป็นโหล แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน
ในเมื่อที่เค้าเรียกเพื่อนซี้ตัวดีมาวันนี้ก็เพื่อจะขอคำปรึกษา
ร่างสูงยืดตัวตรงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นที่เค้าจำได้...............
และจบที่ซูลูมารับตัวเชคอฟกลับไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่แมคคอยเองก็ไม่เข้าใจ
เพราะเค้าเองก็ยั้วไม่แพ้กัน.............
จิมอ้าปากค้าง
มือของเค้าถือช้อนที่กำลังคนอยู่ในถ้วยกาแฟค้าง
แมคคอยเหลือบตาขึ้นมองเพื่อนซี้ที่อึ้งเป็นเห้งเจียแล้วถอนหายใจออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก
และท้ายที่สุดก็จบด้วยการที่เค้าเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเองจนต้องขออ้าปากด่าสักยกหนึ่ง
“นี่แก.......”
“ไอ้โบนส์!!”
คนทั้งร้านหยุดกิจกรรมแล้วหันมามองทางนี้เป็นตาเดียว
แมคคอยหุบปากแล้วตกใจกับเสียงตะโกนของจิม
“แกฉุดเชคอฟเรอะ!!!”
จิมสะบัดช้อนในมือกระเด็นไปข้างหลังอย่างไม่ใยดีและทุบโต๊ะ สีหน้าเค้าดูตื่นตกใจมาก ดวงตาสีฟ้าสดใสบัดนี้เบิกกว้างขึ้นแล้วเต้นระริกด้วยแววตาที่เป็นประกายยิ่งกว่าตอนไหนๆ และจิมยังคงค้างท่าอยู่เช่นนั้น เช่นเดียวกับที่ผู้คนในร้านกาแฟเล็กๆ
นี้พากันมองมาทางมุมขวาสุดของร้านราวกับสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น
แมคคอยหลังติดพนักพิงบุนวมเพราะเสียงของจิม จากนั้นเค้าก็ดึงหลังตัวเองออกมาแล้วเอียงหัวไปทางผู้คนในร้าน กวาดสายมองไปรอบๆ แล้วพูด
“มันซ้อมบทละครครับ
ไม่มีอะไร ผมต้องขอโทษด้วย
เทสหน้ากล้องครั้งนี้ของมันสำคัญมากน่ะครับ.......เฮ้ จิม
ตรงนี้นายต้องพูดเสียงดังแล้วก็ลากยาวอีกหน่อยนะ
มันถึงจะสมจริง.......” วิชาปลาไหลร้อยท่าที่ก็อปปี้มาจากเพื่อนตรงหน้านี้พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
แมคคอยจึงไม่รีรอเลยที่จะงัดมันออกมาใช้ทันที
เค้าขอโทษขอโพยก่อนที่จะเอียงหน้ามาทำเป็นแนะนำเรื่องแอคติ้งกับจิม
แล้วเค้าก็หันมาทำตาเขียวใส่พร้อมกับทำเสียงประชดประชัน
“.......เอาให้กระแทกหน้าผู้กำกับไปเลยเพื่อน!”
เค้าพูดพลางพยักหน้าแล้วปั้นหน้ายิ้ม
จิมคิ้วกระดิกเล็กน้อยเหมือนตามมุขไม่ทัน
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้คนในร้านก็เลิกสนใจพวกเค้าแล้ว เพียงแต่พยักหน้าบอกว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระของคนช่างฝันแล้วก็หันไปพูดคุยกันต่อ
แมคคอยเอาศอกท้าวโต๊ะ
ยกมือขึ้นบังหน้าแล้วพูดรอดไรฟัน “ขอบใจที่ช่วยขยายความ นายทำได้ดีมาก เจมส์ ที. เคิร์ก......นั่งลงได้แล้ว
ขอบใจ!”
จิมหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ราวกับทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงแล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งโดนล้างสมอง
“นายโกหกป่ะเนี่ย” กัปตันแห่งยาน Enterprise จ้องหน้าแมคคอยแล้วพูดเสียงเบา
แมคคอยสูดหายใจเข้าลึกที่สุดในชีวิตแล้วเอ่ยออกไปอย่างหัวเสีย
“หลังจากที่นายตะโกนซะป่าช้าแตกขนาดนี้น่ะหรือจิม......ว่าฉันโกหก”
“ไอ้บ้าเอ้ยย” เจมส์ ที. เคิร์ก พูดรอดไรฟัน
“นายคิดอะไรอยู่
นายชอบเชคอฟก็ไม่เห็นต้องไปฉุดเค้าเลยหนิ เรื่องกินเด็กใครๆ เค้าก็ทำ.........”
ผั๊วะ!!
“ฉันบอกแกตอนไหน!”
แมคคอยยกฝ่ามือขึ้นโบกกลางอากาศลงตรงกลางหัวของเพื่อนซี้อย่างพอดิบพอดี
จิมหน้าเสียพลางกุมหัวแต่แมคคอยก็ยังมิวายบ่นเสียงดุ
“เลิกพูดแบบนั้นได้แล้ว”
กัปตันตัวน้อยนิดทำหน้าเป็นโกลเดิ้นหงอยแล้วลอบมองถ้วยกาแฟของตัวเอง
ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนหมอที่ทำหน้าเครียดอย่างคิดไม่ตกอยู่กับปัญหาของตัวเอง
“แล้วนายจะเอายังไงต่อ......โอเค
โอเค ที่นายเรียกฉันมาคุยก็เพราะเรื่องนี้สินะ
เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว
ฉันสำนึกแล้ว.......โอเค ฉันขอโทษ”
นักแสดงหนุ่มโบกมือคันระหว่างเค้าทั้งสองไว้ แล้วมองไปที่ถ้วยกาแฟของตัวเองอีกรอบ
สายตาเค้าดูสอดส่องเป็นพิเศษ
แต่แล้วจิมก็หยุดโบกมือแล้วเบนความสนใจมาที่แมคคอยแทน
จิมดูเหมือนกำลังใช้ความคิดและพูดจาให้ระมัดระวังที่สุด
เพราะเค้ารู้ดีว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหาโลกแตกและสำคัญกับเพื่อนเค้าขนาดไหน........ใช่
โดยเฉพาะกับคนอย่างแมคคอย
“แล้วนายรู้สึกยังไงเพื่อน”
เริ่มด้วยคำถามจิตวิทยา
“โคตรแย่”
“ดี แล้วเชคอฟล่ะ นายว่าเค้ารู้สึกยังไง”
และกัปตันเคิร์กก็ยังคงเล่นบทหมอจิตวิทยาต่อไปเป็นคำถามที่สอง
แมคคอยไหวไหล่ “ก็ต้องตกใจแหงอยู่แล้ว
แต่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเว้นแต่ปลอบใจเค้า บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว.....แค่นั้น”
“แค่นั้น เอง”
“ก็เออน่ะสิ! เห็นฉันเป็นร่างแยกของหมอนั้นรึไงถึงจะได้รู้ไปหมดซะทุกอย่างน่ะว่าหมอนั่นรู้สึกยังไง!” แมคคอยกระแทกเสียง เพราะหมดความอดทนกับคำถามที่ซอกแซกของร่างตรงหน้า
“เลิกทำตัวเป็นนักจิตวิทยาได้แล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยไอ้หนู”
“อืมม
ฉันว่านายน่าจะลงเรียนเป็นจิตแพทย์ด้วยนะ
ตอนนี้มันคงช่วยได้มาก”
“ขอบใจ” แมคคอยประชดประชัน
แล้วกระแทกแผ่นหลังกำยำตามสรีระกับพนักพิงอีกทีหนึ่ง
เค้ายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว
มองดูฝนที่หยุดตกแล้วข้างนอก......เม็ดฝนเม็ดเล็กเม็ดน้อยเกาะพราวอยู่บนกระจกด้านขวามือของเค้า แสงแดดข้างนอกเริ่มสาดส่องลงมาแล้ว
ดูแล้ววันนี้ควรเป็นวันหยุดที่ดีของทุกคน แสงแดดที่แรกแย้มเมื่อเม็ดฝนหยุดโปรยปราย ตอนนี้ที่บ้านของเค้าคงเริ่มมีเสียงของนกในป่าระแวกใกล้เคียงดังขึ้นระงมกันไปแล้ว
และมันคงจะดีไม่น้อยเลยที่เค้าจะได้นั่งทำการวิจัยเล็กๆ น้อยๆ
โดยเปิดหน้าต่างบานใหญ่ออกให้หมดแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นจนพระอาทิตย์ตกดินแล้วชื่นชมความสวยงามของมันไปในเวลาเดียวกัน
แต่วันนี้กลับมีเรื่องตื่นเต้นใหม่ให้เค้าต้องทำ..........นั่นคือนั่งจับเจ่าอยู่ในร้านกาแฟย่านเคนชิง
ตันกับเพื่อนกัปตันผมบล์อนตาสีฟ้าที่กำลังนั่งถูๆ จับๆ
ไปรอบถ้วยกาแฟของตัวเองอยู่
ในที่สุดแมคคอยก็หยุดคิดอะไรบ้างอย่างแล้วพูดขึ้น
“ฟังนะจิม
ฉันรู้ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะแอลกอฮอล์
ตอนนั้น ตอนที่ฉันเมาฉันยอมรับเลยนะว่ารู้ตัว
แต่ก็ห้ามอะไรตัวเองไม่ได้เลย” แมคคอยผายมือเล็กน้อย
“ใช่ เฮ้
ไม่เป็นไรหรอกน่า
เรื่องนั้นฉันเข้าใจนายดี.....แอลกอฮอล์มันก็ร้ายตรงนี้แหละ เพราะงั้นถ้ามันทำให้นายรู้สึกไม่สบายใจนะเพื่อน
ซึ่งฉันไม่อยากให้นายเป็นอย่างนั้นเลย
ฉันคิดว่านายน่าจะปล่อยวางเรื่องนี้ได้แล้วเพราะเชคอฟก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนนายข่มขืนนี่ใช่ไหม?
คิดซะว่าเรื่องเป็นแบบนี้ก็เพราะบูม บูม ชอตท์ที่นายแย่งฉันไปล่ะกันนะ”
แรกเริ่มของประโยคเกือบทำเอาสุภาพบุรุษแดนใต้แทบตั้งใจฟัง แต่พอคำว่า ข่มขืน มันพุ่งมากระทบหูเค้า
ร่างสูงก็ทำหน้าตายทันที
“ขอบใจจิม สรุปได้แรงดี”
แกคิดอย่างอื่นที่มันดูเข้าท่ากว่านี้ไม่ได้รึไงนะ........’ข่มขืน’ เป็นคำที่บ่งบอกการกระทำฉันได้ตรงมากจริงๆ..........ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนเพื่อนกลบดินฝังหน้าตัวเอง
แต่ถึงอย่างไรจิตใต้สำนึกลึกๆ ของเค้าก็บอกให้เค้าควรใส่ใจกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น
เพียงเพราะเค้าเองก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของเด็กคนนั้นด้วยเช่นกัน
“แต่ฉันทำไม่ได้.....ไม่
ไม่ได้” แมคคอยพูดเสียงจริงจัง
ทำให้เพื่อนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งมองตามสีหน้าแน่วแน่นั้นของแมคคอย
“ฮะ....”
“ฉันหมายถึงฉันคงทำตามที่นายบอกไม่ได้หรอกจิม
เชคอฟยังเด็กมากเกินไปที่จะเข้าใจว่าเรื่องนี้มันสำคัญแค่ไหน”
“แล้วนายได้ขอโทษเค้าไปรึยัง”
“พูดไปแล้ว แต่เจ้าหนูนั่นก็บอกว่าไม่เป็นไรไม่ใช่ความผิดฉัน”
“ก็โอเคแล้วนี่.......หรือนายยังต้องคิดอะไรอีก”
จิมมองตรงมาแล้วถามคำถามที่ทำให้แมคคอยต้องชะงักค้างอยู่อย่างนั้น เค้าอ้าปากเหมือนกับจะพูดอะไรบ้างอย่างออกมา
แต่ทว่ากลับไม่มีอะไรเลย........เค้าพูดอะไรไม่ออก
ใช่ ถ้าเชคอฟยืนยันแบบนั้นและยกโทษให้เค้าแล้ว มันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอีก แต่ว่าแมคคอยไม่สามารถคิดอะไรแบบนั้นได้ คำพูดที่จะค้านจิมคำนั้นจึงจุกอยู่ที่ลำคอของเค้า......ไม่มีอะไรออกมาจากปากแมคคอย
จิมมองดูท่าทางของแมคคอยแล้วรู้สึกเป็นห่วง “นายโอเครึเปล่าเพื่อน” เค้าถาม
ร่างสูงส่ายหน้าช้าๆ “ไม่
ไม่เป็นไร แค่ฉัน....เอ่อ
ไม่รู้สิ”
เค้าส่ายหน้าอีกครั้งแล้วจ้องถ้วยกาแฟที่พร่องลงไปแล้วครึ่งหนึ่งของตัวเอง
ถึงแม้จะนิสัยแตกต่างกันมากเพียงใด
แต่การที่พวกเค้าได้เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าสตาร์ ฟลีท ก็ทำให้กัปตันตัวเล็กผู้ที่มีแววตาซุกซนอยู่เป็นนิจคนนี้พอจะเดาออกว่า
เพื่อนหมอของเค้ากำลังคิดเช่นไรอยู่
“ถึงนายไม่พูดฉันก็รู้ว่านายคิดยังไงอยู่โบนส์......นายไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ถ้าหากมันยิ่งทำให้นายรู้สึกแย่ งั้นเอางี้ดีไหม ฉันจะให้นายทำข้อสอบ.....” แมคคอยเลิกคิ้วมองเค้า พลันรอยยิ้มซุกซนปนเสน่ห์ของเจมส์ ที.
เคิร์กก็กลับมาอีกครั้ง
“........อาจารย์เคิร์กมีช้อยให้นายเลือกนะพวก
ให้นายเลือกตอบคำถามที่จะตัดสินทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้...........A. นายจะรับคำขอโทษของเชคอฟไว้เช่นเดียวกับที่เชคอฟก็รับคำขอโทษของนาย
และลืมเรื่องนี้ไปซะ หรือ B. นายจะรับผิดชอบเชคอฟ
ทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเค้าจะไม่มีความรู้สึกที่แย่ๆ
ทุกครั้งที่เห็นหน้าของนาย
และ....ส่วนคำตอบก็อยู่ในใจของนายแล้วตอนนี้” จิมพูดจบพลางบรรจงจิ้มเบาๆ
ไปที่กลางอกของเค้า
แมคคอยเลียริมฝีปากแล้ว
มองเพื่อนซี้ราวกับจะถามให้แน่ใจว่า นายจะเลิกไร้สาระกับเรื่องสำคัญของฉันจริงๆ
แล้วใช่ไหม? แล้วใช้ความคิดไตร่ตรองว่าเค้าต้องการอะไรมากที่สุด
..............หากเลือกข้อแรก
เรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรเกิดก็จะหมดไป
และเชคอฟก็เป็นเด็กดีอยู่แล้วด้วย เช่นนั้นแมคคอยก็ไม่ควรต้องกังวลอะไรอีก............
...............แต่ข้อสอง
มันบ่งบอกถึงสิ่งที่เค้าทำมาโดยตลอดนั่นคือ ‘สำนึก’
เป็นจิตสำนึกที่เค้าถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เกิด
และมันก็คงจะดีกว่าถ้าเค้าตัวเป็นผู้ใหญ่แบบเสมอต้นเสมอปลาย..............
“คิดให้ดีล่ะโบนส์.....นี่ข้อสอบรอบ
Final นะ”
กัปตันผู้เป็นเพื่อนของหมอใหญ่ลอบมองแล้วยิ้มน้อยๆ
กับสีหน้าที่ดูเหมือนจะปั่นป่วนไม่น้อยเลยกับคำตอบที่ต้องเลือก
แล้วจิมมี่ก็ตัดสินใจมองถ้วยกาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มของตัวเองต่อ
“โบนส์ โบ๊นส์ โบนส์....ไม่เอาน่าอย่าเพิ่งทำหน้ายังงั้นสิ
ฉันไม่ได้รบเร้าบอกว่าจะเอาคำตอบวันนี้เสียหน่อย” จิมเค้านิ้วลงบนโต๊ะ
“นายค่อยให้คำตอบของนายกับฉันทีหลังก็ได้......เอ่อ
ว่าแต่นายเห็นช้อนคนกาแฟของฉันไหมอ่ะ ฉันเอามันไว้ไหนนะ ให้ตาย
ฉันกินกาแฟไม่ได้ถ้าไม่ได้คนมันซะก่อนน่ะ” คนขี้ลืมพูดพลางทำหน้าครุ่นคิด
เรื่องเล่าสุดช็อคทำเอาความทรงจำเค้าหายไประยะหนึ่ง
แมคคอยถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับปัญหาของตัวเอง
คิ้วเข้มยังคงผูกกันเป็นปมแน่น
แมคคอยยังไม่ได้สนใจจิมตอนนี้
แต่ถ้าหากเค้าไม่ได้นัดคุยกับจิมในวันนี้ก็คงจะทำให้เค้ารู้สึกไม่อยากทำอะไรไปเลย มาคุยกันในร้านกาแฟวันอาทิตย์กับจิมก็ใช่ว่าจะแย่อะไร
(ถ้าไม่นับรวมถึงการพล่ามไร้สาระสารพัดของเจ้าตัวน่ะนะ)
ในที่สุดแมคคอยก็พูดขึ้น
หลังจากเค้าคิดว่าควรกลับไปคิดไตร่ตรองที่บ้านดีกว่า “ขอบใจนายมากจิม ได้
ฉันจะกลับไปทำข้อสอบแสนสำคัญของนาย.........และช้อนของนายก็ปลิวออกไปตั้งแต่ตอนที่นายโยนมันไปข้างหลังเมื่อกี้แล้วนี่ไง”
จิมหันกลับมา ตาสีฟ้ากระตุกเล็กน้อย
ก่อนจะพรมนิ้วบนโต๊ะจนเกิดเสียงครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มแฉ่ง “โอ้.....ใช่
ฉันก็เพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้สป็อคอยู่บ้านกำลังศึกษาแนวทางและวิถีชีวิตของชาวดวงสีรุ้งที่เราเพิ่งไปสำรวจมาอ่ะนะ
ฉันคิดว่าขากลับจะซื้อของที่เค้าชอบกลับไปฝากเค้าเสียหน่อย ก่อนที่เค้าจะรู้ตัวว่าฉันออกมาหานาย”
“ห๊ะ.......นี่นายกำลังจะบอกว่านายแอบหนีเจ้าหนูผีนั่นมาหรือ”
แมคคอยทำหน้าเหยเก “มาตามนัดฉัน
นายต้องโกหกแฟนว่าอยู่บ้านแล้วหนีออกมายังนั้นเรอะ! โอ้ ไม่เอาน่า....ทำยังกะฉันเป็นชู้นายยังงั้นแหละ”
“เฮ้ๆๆ อย่า worry สิพวก.....ฉันแค่แวบออกมาเพราะไม่อยากกวนเวลาตอนเค้าทำงานเท่านั้นเองง”
จิมลุกขึ้นพลางยกมือทั้งสองขึ้นมากั้นเป็นเชิงบอกว่า เรื่องทั้งหมดเค้าจัดการได้
“งั้นนายก็รีบไปเลย ก่อนที่เจ้าหนูหน้าเขียวนั่นจะรู้ตัวแล้วจัดการนายจนลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้จนถึงเช้าวันอังคาร”
ร่างสูงแดนใต้พูดขึ้นเป็นเชิงไล่
ก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อนที่กำลังเครื่องร้อนเต็มที่ให้หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน
“เฮ้ นี่....แล้วเรื่องคำตอบน่ะอย่าเอาไปพูดในเวลางานล่ะเข้าใจไหม
มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ฉันจะตัดสินใจเองและฉันจะทำเองคนเดียว และมันจะเป็นความลับเฉพาะแค่ฉันกับนายเท่านั้นโอเคไหม”
สายตาของแมคคอยบ่งบอกได้อย่างชัดเจนตามที่พูด
ส่วนเพื่อนผมบล์อนก็พยักหน้าหงึกพลางชูนิ้ว โอเค.
“เค...ได้เลยเพื่อนฉันสัญญา
นี่คือความลับของเรา” แล้วเจมส์ ที.
เคิร์กก็ดีดตัวออกจากร้านกาแฟอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบบึ่งกลับบ้านอย่างด่วนจี๊
และเป็นเวลานานพอสมควรกว่าที่ร่างสูงอันโดดเด่นของบุรุษแดนใต้จะลุกขึ้น
วางเงินไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากร้านที่ยังคงมีกลิ่นไอของฝนและกลิ่นหอมของขนมปังที่อยู่ร้านถัดไป
ซึ่งร่างสูงตัดสินใจซื้อกลับบ้านอีกสองสามก้อนเพื่อเก็บไว้เผื่อเค้าจะหิวตอนที่อาหารเย็นหมดแล้ว
เพราะกลิ่นของมันหอมกรุ่นเตะจมูกจนทำให้เค้ารู้สึกคิดถึงทุ่งหญ้าแถวบ้านของเค้าเสียเหลือเกิน
แมคคอยกลับถึงบ้าน
วางขนมปังที่ซื้อมาไว้ตรงเคาเตอร์
เค้าเตรียมอาหารเย็นให้ตัวเองและหยิบขนมปังทานไปด้วยก้อนหนึ่ง
แล้วลงมือทานมื้อค่ำเพียงคนเดียวดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ซึ่งเค้าไม่มีใครทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนเลยนอกจากเก้าอี้ไม้โอ๊คเคลือบเงาหายากที่อยู่ตรงข้ามกับเค้า.......มันตั้งอยู่ตรงนั้นมานานหลายปีเห็นจะได้
ตั้งแต่ตอนที่แมคคอยเริ่มต้นงานใหม่กับสตาร์
ฟลีทและทิ้งบ้านที่ภรรยาเก่าฟ้องอย่าไป
หลังจากนั้นเมื่อสร้างตัวได้แล้วนั้น ก็หาที่ดินจนเจอทำเลงามตามที่ฝัน
แล้วก็สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่างเสร็จสมบรูณ์อย่างสวยงามเหมือนอย่างที่เค้าวาดฝันไว้เลยทีเดียว ก่อนที่แมคคอยจะกวาดซื้อสมบัติของเค้าทุกชิ้นที่ภรรยาเก่าได้เลขายไปเมื่อหลายปีก่อนให้กลับเข้ามาอยู่ในความดูแลของเค้าเช่นเดิม
โดยเฉพาะเก้าอี้ไม้
หลายต่อหลายตัวที่เค้ารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เค้าชื่นชอบมากที่สุดรองลงมาจากการเป็นแพทย์
มันเป็นเสมือนเครื่องตอกย้ำว่าครั้งหนึ่งมนุษย์เคยมีวิถีชีวิตเยี่ยงไร
ในคืนนั้นเองร่างสูงของแมคคอยก็ยืนชมดวงดาวที่ดูสว่างไสวกว่าที่ใดในระแวกลอนดอน
เพราะบ้านของเค้าตั้งอยู่แถบนอกเมืองและใกล้กับป่าซึ่งมีเนื้อที่อยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ผิวสีแทนอ่อนๆ ถูกสวมทับแต่เพียงกางเกงนอนตัวเดียว ซึ่งนานๆ
ครั้งที่ร่างสูงคิดอยากจะใส่แบบนี้เข้านอนสักทีหนึ่ง..........ดูเหมือนวันนี้จะมีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับแมคคอย หมอใหญ่แห่งยาน Enterprise เข้านอนดึกเป็นพิเศษในคืนนี้
และในท้ายที่สุดแล้วขนมปังที่เค้าซื้อมาจากร้านเบเกอร์รี่ก็ถูกวางไว้อยู่ที่เดิมโดยที่เค้าก็ไม่ได้แตะมันอีกเลย
***************************************************************************
หลายวันต่อมาบน Enterprise…………..
“เอ้า! ว่าไงล่ะโบนส์......นายคิดได้รึยังง!” กัปตันเคิร์กนั่งโยกตัวอยู่บนเก้าอี้ราวกับว่าเค้าเป็นเด็กที่อยากได้อมยิ้ม
“หนวกหูน่าจิม! หยุดแหกปากสักที”
หมอแมคคอยที่ยืนพิงเตียงคนไข้อยู่พูดอย่างหัวเสียในขณะที่กำลังตรวจเช็คจำนวนยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ
ที่เพิ่งเอามาเพิ่มใหม่
“ม่ายยย” กัปตันที่อยู่ในเสื้อสตาร์
ฟลีทสีเหลืองทึ่งหัวตัวเอง “ฉันจะไม่หยุดแหกปากจนกว่านายจะบอกฉันมาสักทีว่านายเลือกข้อไหน”
เค้าโยกตัวแรงขึ้น
“อย่ามางี่เง่ากับฉันนะไอ้หนู
แล้วก็เลิกโยกเก้าอี้ฉันแบบนั้นสักที” แมคคอยสั่งเสียงเด็ดขาด พร้อมชี้นิ้วประกอบ
“เวลาพักของนายเป็นประโยชน์มาก......เปลี่ยนจากมาก่อกวนฉัน เป็นไปพักเข้าห้องน้ำดีไหม”
แต่กัปตันคนเก่งแห่งสตาร์
ฟลีทกลับยึดเก้าอี้ไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม “ให้ตายเถอะโบนส์…..นายหลบหน้าเชคอฟมาเป็นเกือบอาทิตย์แล้วนะ ที่นายต้องจัดการกับเรื่องนี้ก็คือให้คำตอบมาซะ
แล้วจากนั้นฉันก็จะช่วยนายเองหากนายอยากได้อะไร”
จิมเหยียบไปบนล้อของเก้าอี้หมุนได้ของแมคคอยแล้วชูมือขึ้น สีหน้าเค้าเหมือนกำลังอยากกู้เงินกับธนาคาร
แต่แมคคอยไม่สนใจเค้า
และเหลือบตาลงไปมองเพียงเก้าอี้ของตัวเองแวบเดียวเท่านั้น
...............อย่างน้อยมันก็เป็นเก้าอี้หมุนธรรมดาๆ
ใน Enterprise
ไม่ใช่เก้าอี้ที่บ้านเค้า
ถ้าไม่งั้นนะเค้าคงได้ทุบหัวกัปตันจอมจุ้นนี่จนจำหน้าเจ้าต่างดาวหูแหลมนั่นไม่ได้เลยทีเดียว.............
“นายรู้ไหมว่าตอนอัลฟาชีคน่ะฉันเห็นเชคอฟเป็นยังไงง”
แมคคอยเลิกคิ้วแล้วหันกลับมาหาจิมผู้ซึ่งในที่สุดก็เรียกร้องความสนใจได้สำเร็จ
“เค้านิ่งมากๆ ทำตัวปรกติ!” จิมพูดเสียงดัง แมคคอยคิ้วกระตุก
“อ่อ ก็ดีแล้วนี่....”
“มันดีตรงไหนกันฟะ!
นายรู้ไหมว่าการวิจัยบอกว่าเด็กที่เพิ่งผ่านการเสียตัวมาอย่างไม่คาดฝัน
ในกลุ่มที่มักจะเก็บเรื่องเงียบไม่บอกใครน่ะมีสิทธิ์ในการคิดสั้นต่างๆ รวมถึงฆ่าตัวตายด้วยนะโว้ยย!.....ฉันไม่เห็นเค้าบอกเรื่องนี้กับใครเลย แม้แต่จิม เคิร์กผู้ช้ำชองอย่างฉันเค้าก็ไม่บอก
ถึงนายจะไม่ห่วงเค้าแต่ฉันในฐานะกัปตันและเพื่อนฉันห่วงนะเว้ยยยย!” จิมมี่ตวาดเสียงดัง
จนทำให้แมคคอยรู้สึกอยากจะบ้าตายขึ้นมาแล้วถอนหายใจพลางทำตาโตอย่างเบื่อหน่าย
ไหนใครสัญญากับฉันว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ในเวลางานกันว่ะ! ฉันจะเดินไปตบหัวมัน........แต่จะบอกอะไรให้
มันโชคดีเป็นบ้าที่ฉันแค่คิดเล่นๆ ตอนนี้ยังก่อน...........ว่าแล้วเค้าก็เดินไปลากพนักพิงของเก้าอี้ที่จิมนั่งอยู่แล้วเหวี่ยงเข้าไปในฉากกั้นท่ามกลางความงุนงงของกัปตันผมทองเองและสายตาที่จับจ้องไม่หยุดของพยาบาลของเค้า
“เอ่อ.....คุณชาเพลผมอนุญาตให้คุณพักเพิ่มเป็นสามสิบนาทีพร้อมกับคนอื่นๆ ขอเวลาส่วนตัวผมหน่อย” หมอใหญ่แห่งยาน Enterprise พูดเพียงแค่นั้นพยาบาลทุกคนก็รับคำแล้วออกไปตามที่ร่างสูงขออย่างว่าง่าย จากนั้นแมคคอยจึงเดินกลับมาที่ฉากกั้นด้วยสีหน้าที่เครียดน้อยกว่าเก่า พอไปถึง.........
“โอ๊ยย! นายเอานี่มาตีหัวฉันทำไมเนี่ย ฉันทำอะไรผิดว่ะ” กัปตันเคิร์กเอามือกุมหัวปูดๆ
ของตัวเองพลางทำหน้ายู่ใส่
“ก็โทษฐานที่แกเอาเรื่องข้อสอบ
Final บ้าบอนั่นมาพูดในเวลางาน แล้วแถมยังเอามาพูดไม่ดูตาม้าตาเรือต่อหน้าคนอื่นอีกต่างหากน่ะสิ!”
แมคคอยคำรามรอดไรฟันขณะในมือก็กำ PADD ที่ร้าวนิดๆ ไว้แน่น
จิมมีสีหน้าที่เป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น
เค้าเลิกเอามือกุมหัวตัวเองแล้วยื่นหน้าขึ้นไปสบตากับเพื่อน
“แต่นี่มันเรื่องสำคัญนะเพื่อน นายจะปล่อยให้ฉันรอ.....ให้เชคอฟรอไปถึงไหน”
แมคคอยจ้องกลับ
“นายพูดเหมือนกับรู้
ว่าฉันจะตอบอะไร”
แต่ยังไม่ทันที่แมคคอยหรือจิมจะได้พูดอะไรต่อ
เสียงนางพยาบาลชาเพลที่เพิ่งเดินออกไปก็ลอยกลับเข้ามาทางวิทยุสื่อสารที่ดังทั่วทั้งห้องพยาบาล แมคคอยกับจิมนิ่งงันขณะฟังเสียงนั้น
‘ขอโทษค่ะคุณหมอแมคคอย คุณพาเวลลื่นล้ม
มีอาการเจ็บอย่างรุนแรงเพราะเค้าทำหน้าไม่สู้ดีเสียเท่าไรค่ะ
และเค้ากำลังจะเข้าไปหาคุณแล้วค่ะ.......โธ่เอ้ย
คุณพาเวลเลิกทำหน้าอย่างนั้นเสียทีเถอะ
ตอนนี้คุณหมอคุยกับกัปตันอยู่และฉันเชื่อว่าเค้าคงยอมรักษาให้เธอทันทีที่ไปถึงแน่นอนจ๊ะ รีบเข้าไปเถอะ.......ไปสิจ๊ะเชคอฟ’
เสียงอ่อนโยนของนางพยาบาลพูดขึ้นในท้ายประโยคราวกับเอ็นดูเด็กที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าห้องพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง
ชายทั้งสองที่อยู่ในห้องพยาบาลมองออกไปยังประตูทางเข้าอย่างพร้อมเพรียง จิมพูดกับแมคคอยโดยที่ยังไม่ละสายตา
“นายมีทางออกฉุกเฉินไหม เพราะถ้ามี.....ฉันว่านายคงจะต้องใช้มันด่วนเลยล่ะ”
แมคคอยฟัง
ขณะเค้าทั้งสองก็ยังคงไม่ละสายตาไปจากทางเข้า
แล้วมันมีที่ไหนกันล่ะฟะไอ้จิม!
เค้าคิดในใจอย่างรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง
.
.
.
.
TBC.
-------------------------------------------------------------------------------------------
ฮ้าาาาห์ น้องเชจะเข้ามาแล้ว! ทำอะไรสักอย่างสิค่ะหมออย่านั่งบื้อ!
//กระชากคอเสื้อหมอแล้วเขย่าแรง//
จิม เคิร์กที่อยู่ในห้องจะช่วยชีวิตเพื่อนหมอเช่นไรติดตามกันได้ใน
Part หน้าเลยค่ะ แต่ถ้าท่านใดที่ติดตามคู่อื่นๆ หรือคู่นี้แต่อยากเกาะติดว่าไรท์ลงเมื่อไรจะได้เข้ามาอ่านอย่างเร็วรี่ ก็ตามไปเกาะกันได้เลยค่ะที่
เฟสไรท์เองค่ะ ^^ ยินดีรับแอดเสมอค่ะ............ที่นี้รีดก็นั่งเช็คเฟสรอโพตส์ไรท์ได้เลยค่ะ แต่อย่าลืมแวะเวียนเข้ามาคุยกันด้วยนะคะ ไรท์ยินดีร่วมวงเมาท์ด้วยค่ะ หุๆ ^^
ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น