วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

[FIC – The Maze Runner] + [Part 3] The Scorch Trials – Minho x Thomas [The Maze Runner 2]





 สวัสดีค่ะรีดๆ ที่รักของไรท์ทุกท่านนนน >//<  มาต่อแล้วค่ะ  ใน Part นี้จะมาขยายความว่าชายหนุ่มปริศนาสองคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่  และไรท์ขอบอกไว้ก่อนล่ะกันนะคะ เผื่อบางทีไรท์อาจเขียนงงแล้วรีดบางท่านไม่ค่อยเข้าใจ  แอชกับแดเนียล //อ้าว เริ่มสปอยล์แล้ว 5555// เค้าจะอายุมากกว่าเด็กทุ่ง 2 – 3 ปีนะคะ  สองคนนี้เลยค่อนข้างจะมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าค่ะ  แต่รูปลักษณ์ก็เอาะๆ เหมือนเด็กทุ่งเลย 5555555   น่ากินนั่นแหละ 5555555  //นี่แกไม่เคยหยุดเลยใช่ไหม -*-//

นั่นล่ะเนอะ  บุคลิกของสองคนนี้ก็ไม่ซับซ้อนมากค่ะ  รีดๆ อ่านในฟิคแล้วก็จะรู้คาแรกเตอร์ของพวกเค้าเองค่ะ  ไรท์ไม่อยากสปอยล์เนอะ เดี๋ยวรีดจะไม่สนุกเอา 55555  เอาล่ะค่ะเรื่องราวก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ นะคะ  เชิญรีดๆ ไปอ่านกันเลยค่าาา >< !!!!



-------------------------------------------------------------------------------------



“โอ้พระเจ้า แอช!

และคำพูดของแอริสก็ทำให้มินโฮยุติการต่อสู้กับบุคคลนิรนามที่กำหมัดเค้าไว้ได้สำเร็จ  รวมทั้งทำให้เพื่อนคนอื่นหยุดชะงักไปด้วย  แอริสโดนรั้งตัวเองไว้ในตอนที่ถูกวางลงพื้นเพื่อกันไม่ให้วิ่งพล่านออกไปด้านนอกเอาได้  ดังนั้นเค้าจึงสะบัดการเกาะกุมนั้นออกแล้วตะกายเข้าไปหาชายที่ปล่อยมินโฮแล้วอ้าแขนรับการโผเข้ากอดของเค้าไว้

“โอ้  แอช! โอ้พระเจ้า เป็นพี่จริงๆ ด้วย!” แอริสจับเนื้อตัวของชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงคนนั้น “พี่ยังไม่ตาย” เด็กหนุ่มผอมแห้งที่ใจเด็ดเป็นหัวโจ่เล็กๆ พาคนอื่นๆ หนีจนมาถึงนี่เสียงสั่นเครือและนี่เป็นครั้งแรกที่เด็กทุ่งเห็นน้ำตาในดวงตาของแอริส

คู่สนทนาหัวเราะ “ใช่ พี่ยังอยู่” เค้ายิ้มก่อนจะโดนขัดขึ้น

“โทษทีนะพวก...เอ่อ ไม่อยากขัดจังหวะช่วงใจถึงใจ แต่ว่าฉันก็อยู่ตรงนี้เหมือนกันนะ....แล้วก็แอช เราไม่ใช่ว่าต้องเงียบกันหรอกเหรอ?” คนที่แบกแอริสเข้ามาคุกเข่าอยู่ใต้เงาเช่นเดียวกับทุกๆ คน เค้าอ้าแขนประกอบคำพูดอยู่ข้างฟรายกับเทเรซ่าที่จ้องเค้าเขม็ง

คนพวกนี้ดูมอมแมมและสกปรก  แต่ก็ไม่ถึงขนาดไม่น่าเข้าใกล้เสียทีเดียว......

อาจอยู่ข้างนอกนี่มานานแล้ว  หลายๆ คนออกความคิดเห็นในใจ

คนโดนถามตบบ่าน้องชายเบาๆ แล้วพยักหน้าเออออไปด้วยอย่างลืมตัวไปชั่วขณะเพราะมัวแต่ดีใจที่ได้เจอน้องชาย “อ่อ ใช่เพื่อน ขอบใจมาก...เฮ้ ทุกคนเงียบ  อย่าเพิ่งตกใจไป เรามาดีและพวกนายเกือบถูกพวกวิกเก็ตจับได้แล้ว” มินโฮเลิกคิ้วอย่างคับข้องใส่เค้า ก่อนจะได้ยินเสียงใบพัดพลังมหาศาลดังตามหลังคำพูดของแอชมา

“เราตามพวกนายมา และมาเตือนเพราะดูแล้วคงไม่ทันการณ์ถ้าขืนปล่อยให้พวกนายเดินลอยชายอยู่บนถนนโล่งแบบนั้นต่อไป  หูช้าชะมัด  โอเค ทีนี้เงียบ” แอชพูดแต่ทำเหมือนบ่นก่อนจะร่ายสาเหตุว่าทำไมทุกคนต้องทำตามเค้า “เครื่องบินค้นหาของพวกวิกเก็ตมีระบบตรวจจับโซนิค  กลางวันแสกๆ อย่างนี้ไม่มีพวกแครงค์ออกมาเพ่นพ่านหรอก หรือถ้ามีพวกนั้นก็จะลงมาอยู่ดี เพราะงั้นเงียบก่อน

ทุกคนเงียบตามเสียงดังกระหึ่มและกระแสลมหอบวนเข้ามาใต้ซากที่พวกเค้าหลบภัยอยู่  คนที่มากับแอชขยับปากเบาๆ แต่ท่าทางเค้าดูเหมือนมันเป็นเรื่องสนุกมาก “พวกนั้นจะสแกนเรา” ผมสีดอกเล้าของเค้าย้อยมาด้านหน้าแต่ข้างขมับทั้งสองข้างกลับสั้นเกรียน  ถือว่าเป็นทรงบาดใจสาวทรงใหม่ในฝันของฟรายเลยทีเดียว

ปีส” แอชทำเสียง.....บอกให้เงียบ

ปีส” เพื่อนของเค้าทำกลับ

ปีส” แอชใช้มือปาดคอ “เงียบได้แล้วแดเนียล  ฉันจะฆ่านาย

แดเนียลยักไหล่ขอโทษเมื่อหมดเวลาสนุกแล้ว  มีเสียง หวืด ดังเข้ามาพร้อมเสียงใบพัดที่กรรโชกเอาทรายหลายพันเม็ดเข้ามาปะทะใบหน้าของเด็กๆ  ก่อนมันจะผ่านหัวทุกคนไปแล้วส่งเสียง หวืด ตามไปตลอดทาง

ฟิ้วว” แดเนียลพ่นทรายออกจากริมฝีปากแล้วทำท่าโล่งอก “ปลอดภัยแล้ว” แต่คราวนี้ความโล่งอกของจริงก็แฝงมาด้วย  ชายหนุ่มรูปร่างโตเต็มวัยอย่างหนุ่มแน่นผมขึ้น  แต่เพื่อนผมสีน้ำตาลเข้มวัยเดียวของเค้ายังคงจ้องมองเครื่องบินไฮเทคลำนั้นจนมันหายลับตาไป  แอริสกอดเค้าไว้อีก  แอชตบบ่าน้องชายเบาๆ

ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะพวก  นี่มันหมายความว่ายังไง?  พวกนาย...สองคน อยู่ข้างนอกนี่  ตามเรามายังไงเหรอ?” นิวท์ชันเข่าขึ้นกับพื้นแล้วถามเสียงแข็ง ฟังดูไม่ไว้ใจคนที่แอริสเรียกว่าพี่ชายนัก

ชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำราวกับเด็กหนุ่มที่โตเต็มที่ทั้งสองคนมองหน้ากัน  ก่อนคนผมสีดอกเล้าจะนั่งลงอย่างไม่รีบร้อน  ยิ้มพร้อมหลุดหัวเราะแล้วโบกมือให้เพื่อนผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งดูเป็นทรงเรียบตากว่าของเค้ามาก “ยกให้เลย  เคสนายหนิ”

แอชเขย่าหัวเบาๆ “ขอบใจ” ชายหนุ่มข้างมินโฮกับโทมัสประชัด  ก่อนจะนั่งลงบ้างแล้วอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างช้าๆ โดยที่พยายามกระชับให้มากที่สุด  ถึงแม้ว่าสีหน้าไม่ไว้ใจของนิวท์จะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าก็ตามเพราะแดเนียลพูดถึงเจ้าตัวไว้ด้วย

เคสบ้าอะไรของนาย?!.....นิวท์อยากตอกกลับไป  แต่แอชก็เริ่มพูดแล้ว

“ใช่  ฉันกับแดนเราอยู่ที่นี่...ของนอกนี่  ห่างไกลจากพวกวิกเก็ต  คนที่รอดชีวิตจากวงกตของเรามาถึงที่นี่เป็นกลุ่มแรก” พอคราวนี้ชาวทุ่งทุกคนก็ไม่มีใครเอ่ยปากเสียมารยาทกล้าขัดการท้าวความของบุคคลที่มาถึงสวรรค์จอมปลอมนั่นเป็นคนแรกเลยแม้แต่คนเดียว

แดเนียลเปลี่ยนท่านั่งชันเข่าขึ้นแล้วผิงหลังกับซากตึก “ใช่  ถ้ากลุ่มก่อนหน้าไม่โดนพวกนั้นเอาไปซูบเป็นยาไปหมดแล้วน่ะนะ”

“ทุกอย่างใหม่หมด  แจนสันบอกเองด้วยซ้ำว่าเราเป็นพวกแรก” แอริสขัดขึ้นเพื่อแก้คำพูดลอยๆ ที่แค่อยากตั้งข้อสังเกตของเพื่อนพี่ตัวเอง  แดเนียลผายมือให้  เค้ายอมแอริส

“งั้นที่แอริสอยู่มานานสุดก็เพราะแบบนี้เองสินะ” โทมัสพูดขึ้นบ้าง

ใช่พวก  เรามีกันเจ็ดคนและหลังจากนั้นสองชั่วโมงก็มีมากันอีก   เรื่อยๆ จนเบื่อนับไปเลย” แอชพยักหน้า “เราตามพวกนายมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แค่ไม่อยากทำให้ตกใจน่ะเลยตามอยู่ห่างๆ ....แต่รู้อะไรไหมเพื่อน? พวกนายทำฝันฉันเป็นจริงล่ะฉันกะจะเปิดเครื่องปั่นไฟบ้านั้นตั้งหลายครั้งจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว  ยังสงสัยอยู่ว่ามันใช้ได้จริงๆ หรือเปล่า  แต่นายเข้าใจใช่ไหม?  พวกแครงค์น่ะ มันยั่วเยี๊ยะเต็มไปหมด  แดเนียลเลยบอกให้เราแค่ดูมันเฉยๆ ก็พอ” แอชยักไหล่

“นั่นความดีฉัน” แดเนียลได้โอกาสสอด

“ขอบใจเพื่อน” ก่อนคนเริ่มพูดก่อนจะยกนิ้วให้เพื่อนซี้ตามความดีความชอบ  แดเนียลยิ้มแฉ่งก่อนแอริสจะหน้าบูด  เด็กผอมแห้งไม่ชอบเพื่อนของพี่ตัวเองเสียเท่าไรนักเป็นเพราะแดเนียลชอบแกล้งเค้าบ่อยครั้งในตอนที่อยู่ในวงกต “เพราะงั้นเราเลยอยู่ที่นี่  สำรวจและเก็บอะไรก็ตามที่พอจะใช้ได้  ก่อนนายจะเปิดเครื่องปั่นไฟบ้านั่น” แอชชี้นิ้วสุ่มๆ “แครงค์ก็แตกกระเจิงและ...พวกเราก็เจอนาย”

แดเนียลมองหน้าแอริส ก่อนจะพูดกับทุกคน “อย่าว่ากัน  เหตุการณ์แครงค์แตกเมื่อคืนนี้ทำให้ซ่องของเราโดนถล่มซะยับเลยน่ะ  อะไรที่คว้ามาได้ก็อย่างที่พวกนายเห็นนี่แหละ  ไม่แปลกใจทำไมเค้าถึงได้หงุดหงิดนัก  แต่ขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วยเค้าไม่สบอารมณ์ก็เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น” พวกเค้าสองคนมีเป้เล็กๆ ติดตัว และปืนลำกลางยาวบนหลังของแดเนียล  ก่อนโทมัสจะมองหน้ามินโฮแล้วหนุ่มเอเชียก็กระพริบตาถี่ๆ

“ขอโทษนะ  ฉันเป็นคนเปิดมันเอง” สุดท้ายมินโฮไม่ปิดบังเค้ารับสารภาพแต่แอชที่อยู่ข้างๆ กลับมองกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“นายเองเหรอ” ชายหนุ่มที่สวมถุงมือหนังสีดำตัดปลายนิ้ว  ยกมือขึ้นไฮไฟฟ์แบบแมนๆ กับมินโฮ “ขอบใจเพื่อน  ฉันหมั่นไส้ไอ้เครื่องบ้านั่นมานานแล้วเหมือนกัน  ได้มีเรื่องตื่นเต้นค่อยดีขึ้นหน่อย” แอริสเชื่อว่าไม่ได้ฟังผิดไปที่ได้ยินเสียงพี่ชายตัวเองถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย จนแดเนียลที่อยู่ข้างๆ แทรกประโยคเข้ามาอย่างเสียไม่ได้

เฮ้พวก แล้วไอ้ที่วิ่งหนีแครงค์อยู่ทุกคืนนี่นายยังตื่นเต้นไม่พออีกเหรอ? อย่าลืมสิสามคืนแรกเราแทบไม่ได้นอนเลยนะพ่อขาซ่า

“ไม่ นั่นฉันไม่นับมันแล้ว” เค้ายิ้ม

“เดี๋ยวนะ โทษที ใครบอกให้พวกนายนอกเรื่องกันมิทราบ” สุดท้ายคนที่นั่งฟังอยู่อย่างสงบเงียบและต้องการคำอธิบายมากที่สุดโพล่งขึ้นอย่างเหลืออดในที่สุด  นิวท์แบมือน้อยๆ เหมือนอยากให้ใครสักคนสนใจเค้าบ้างแต่แดเนียลก็เอื้อมไปตบไหล่เล็กๆ ของนิวท์อย่างสนิทสนมจนได้สายตาที่ไม่จัดว่าอยู่แง่ดีตวัดกลับมา

ยอๆ ใจเย็นน่า  อย่าใจร้ายกับคนที่เพิ่งช่วยนายไว้เมื่อคืนนี้สิ” และหลายครั้งแล้วที่ชายหนุ่มผมสีอ่อนคนนี้ทำตัวร่าเริงเหมือนฟรายแต่ไม่ตัวใหญ่ตุ๊ต๊ะเท่าชายเจ้าเนื้อผิวสีเข้มเลยสักนิดเดียว หนำซ้ำยังทำเป็นมองไม่เห็นสายตาไม่ชอบใจของอีกคนหนึ่งอีกด้วย

นิวท์ขมวดคิ้ว  แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเค้าก็ยังคงป่าวร้องว่าไม่ไว้ใจจะทำดีด้วยอยู่ดีหรือแม้แต่เชื่อคำพูดนั้นก็ยังมีข้อกังหาทางทิฐิอยู่มากมาย  บุคคลดังกล่าวหันมาสบตานิวท์  พยักหน้าแล้วพูดด้วยความจริงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการกระทำของเค้าที่ช่วยคณะหลบหนีทุกคนมาได้เมื่อคืนนี้

“ใช่  ฉันช่วยนาย  ถือว่าโชคดีที่มาทันพอดี  แครงค์บางทีก็ไม่น่าต่อกรด้วยแต่นายก็ต้องบ้าพอๆ กับมันถ้าอยากจะสู้  และต้องบ้ามากกว่าถ้าอยากจะชนะ” มาถึงตอนนี้สายตาเอาจริงเอาจังและบอกว่ายังไงฉันก็จะไม่ยอมตายของแอชก็ไม่ทำให้นิวท์หายคืบแคลงใจไปเปราะหนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ สีหน้าของแอชไม่ได้ต่อล้อต่อเล่นเหมือนกับเพื่อนของเจ้าตัว เจตนารมณ์ที่มาพร้อมกับน้ำเสียงนั้นบ่งบอกได้ดีว่าเชื่อใจฉันได้....ใช่ สายตาที่ไม่มีแม้แต่ความโป้ปดนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่เค้าเห็นในตัวอัลบี้

“แต่ฉันไม่โทษใคร  เพราะว่าพอรู้ตัวอีกทีก็มีแต่พวกมันเต็มไปหมดแล้ว” แอชเอาลิ้นดุนกระพุงแก้ม ในใจเค้ามีอารมณ์เศร้าสลดเช่นเดียวกับทุกๆ คนเมื่อพูดถึงคนที่ขังเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายเอาไว้ในวงกต “แถมยังมีวิกเก็ตอีก”

“แต่ฉันรู้เพื่อน นายสนุกไม่น้อยที่ได้ไล่ฟาดหลังแครงค์เมื่อคืนนี้ใช่ไหมล่ะหา?” และก็เป็นแดเนียลที่วกกลับเข้าเรื่องเมื่อคืนต่อ เนื่องจากไม่ใคร่จะชอบให้ใครหดหู่เท่าไรนักก่อนจะได้รับการขยิบตาตอบรับจากแอช  มันทำให้เด็กชาวทุ่งทุกคนรู้สึกมึนงงและประหลาดใจไม่น้อย ตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยเจอคนที่ทำตัววางเฉยเสียจนน่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย

จะบอกว่าสองคนนี้มีอาการทางจิตก็ดูจะใกล้เคียงที่สุดกระมัง....

ไม่มีใครชอบแครงค์กันหรอก

ชายหนุ่มที่สวมเสื้อยืดสีขาวแนบเนื้อเมื่อยามเค้ากอดเข่าตัวเองหลวมๆ หันมาหาเพื่อนใหม่ “เราอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเพื่ออยู่รอดไม่ใช่เหรอ? ถ้าปรับตัวไม่ได้ยังไงก็ต้องตาย นายไม่อยากรู้หรอกเหรอว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกนี่อีกไหม...เอ่อ ที่ไม่ใช่วิกเก็ตกับพวกแครงค์น่ะ  จะมีคนปรกติที่อาศัยอยู่อย่างสงบโดยไม่ต้องทำอะไรป่าเถื่อนแบบพวกวิกเก็ตอยู่รึเปล่า  ฉันเองคนหนึ่งล่ะที่อยากรู้” แอชยกยิ้มบางๆ บ่งบอกว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนี้มองโลกในแง่ดีมากแค่ไหน

“แล้วพวกนายหนีออกมาจากที่นั่นได้ยังไง?  พวกวิกเก็ตตามหาไม่เจอด้วย” ฟรายที่ฟังเรื่องราวของชายหนุ่มปริศนาสองคนเริ่มตั้งใจฟังและตั้งคำถาบ้างแล้ว

“ช่องระบายอากาศยังไงล่ะ แดเนียลขโมยตัวสั่งการจากห้องบังคับการณ์ย่อย ฉันเป็นคนสำรวจเส้นทางแล้วจากนั้นเราก็หนีออกมา  ไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำ”

“หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมงได้กว่าแจนสันจะรู้ตัว” แอริสเสริม  น้องชายตัวผอมแห้งผิดจากคนเป็นพี่ไม่ถือโทษที่ไม่ได้ติดสอยห้อยตามพี่ชายทั้งสองมาด้วย  อีกทั้งยังเป็นเพราะเจ้าตัวเสียด้วยซ้ำที่บอกพี่ชายในนาทีสุดท้ายว่าจะไม่ขอไปเป็นตัวถ่วงของพวกเค้าเป็นอันขาด  และแอริสก็หนีรอดจากการคาดคั้นของแจนสันมาได้ด้วยการเข้าไปขดอยู่บนเตียงนอนแล้วบอกว่าเค้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นเนื่องจากหลับไปนานแล้ว ซึ่งแจนสันก็ดูจะหัวเสียเป็นอย่างมากที่แอชกับแดเนียลหายไป

ดังนั้น จึงบอกไม่ได้ว่าดีใจแค่ไหนที่เค้ารู้ข่าวว่าโทมัสกำลังจะออกไปจากนรกที่รอวันตายนั่น  แผนการของแอชและแดเนียลทำให้แอริสสามารถเข้าไปเอาตัวสั่งการมาได้และเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเด็กทุ่งทุกคนออกมาได้

แอชยื่นหน้าออกไปมองฟ้าแล้วชูนิ้วขึ้นสัมผัสลม “เอาล่ะ เราต้องไปกันแล้วเดี๋ยวจะมืดซะก่อน  เราไปกันอีกทางหนึ่งพวกวิกเก็ตจะหาเราไม่เจอแน่นอน  เร็วเข้าตามฉันมา” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อยืดสีขาวดูเปื้อนฝุ่นดีดตัวออกจากที่ซ่อนแล้วเริ่มออกเดินอย่างฉับไว

ทุกคนเดินตามเค้าไป  โดยมีแดเนียลรั้งอยู่ท้ายขบวนเนื่องจากที่นี่เป็นที่ซึ่งพวกเค้าทั้งคู่ได้ทำการสำรวจมาก่อนแล้วจึงเป็นการปลอดภัยกว่าถ้าจะให้ชายหนุ่มทั้งสองคนกระนาบหัวท้ายอยู่แบบนี้ก่อนทั้งกลุ่มเดินทางจะทำความรู้จักกันและกัน

“แล้วทำไมนายถึงหนีออกมาล่ะ นายรู้ได้ไงว่าพวกเค้าคิดไม่ซื่อ?” โทมัสที่กระชับสายกระเป๋าอย่างเหนื่อยล้าจากไอร้อนเป็นครั้งที่สิบได้ถามขึ้น

แอชหยุดชะงักไป  แดเนียลและแอริสก็ด้วย  ผู้ร่วมวงกตของชายหนุ่มที่เดินนำเส้นทางอยู่ในขณะนี้พากันมองชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเลิกลั่ก ก่อนจะเกิดบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนใจขึ้นโดยที่เด็กชาวทุ่งไม่รู้ตัวเลย  จนคนถูกถามหันใบหน้าคมสันมาเพียงเล็กน้อยเพื่อตอบเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปรกติ “พวกเค้าจะเอาฉันไปเก็บเกี่ยวเป็นคนแรกน่ะ”

เด็กจากท้องทุ่งหยุดชะงักไปเล็กน้อย ความรู้สึกขมขื่นปรากฏอยู่ในใจของทุกคนซึ่งพวกเค้าไม่เคยคิดว่าแอชเกือบจะได้เป็นคนแรกของโศกนาถตกรรมที่ไร้มนุษยธรรมของ เอวา   เพจ การที่ได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายคงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก  เด็กหนุ่มทุกคนคำนึงถึงจิตใจแอชและรู้สึกเห็นใจเค้าเป็นอย่างยิ่ง

“แฮเรียตได้ยินแจนสันคุยกับลูกน้องของเค้าน่ะเธอเลยมาบอกเรา  แอชเลยต้องหนีเดี๋ยวนั้น ฉันออกมาเป็นเพื่อนเค้าและมารู้ข่าวอีกทีว่าพวกไรต์อาร์มเข้าบุกโจมตีพวกวิกเก็ต  แต่เราไม่รู้เลยว่าแอริสเป็นยังไงบ้างตอนแรกก็ภาวนาขอให้แอริสโดนไรต์อาร์มพาตัวไป” แดเนียลอธิบายเพิ่มเติมแทนเพื่อนของตัวเอง  ก่อนจะหันไปสบตากับแอริสโดยบังเอิญ  สองคนหลบหน้ากันเลิกลั่กเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ก่อนแดเนียลจะโดยแอชฟาดที่หลังหัว

“ขอบใจพ่อนักรัก  แต่ไม่ต้อง ขอบใจอีกที...แค่นายแกล้งน้องฉันมันก็มากพอแล้ว แค่นั้นเค้าก็รักนายจะแย่อยู่แล้วล่ะ” แอชเป็นเพื่อรักกับแดเนียลแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยปละละเลยความสำคัญกับความรู้สึกของแอริส  ความรักน่ากลัวเสมอถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมของเค้าจะอันตรายแต่แอชก็รู้ดี

แดเนียลยักไหล่ “ก็...อย่างน้อยเราก็เพิ่งกลับมาคิดกันได้ว่าแจนสันคงไม่คิดว่าแอริสจะพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวหรอก  นายรู้ที่ฉันจะพูดใช่ไหม?...ก็ ก็ ก็เค้าตัวเล็กน่ะ คิกๆๆ” ชายหนุ่มเสื้อสีครามเข้มจนออกเขียวปล่อยหัวเราะออกมาก่อนจะได้เสียงตอบรับจากเพื่อนๆ อย่างเสียไม่ได้  แอริสกลอกตาขึ้นฟ้า  บ่นงึมงำว่าแดเนียลปัญญาอ่อน

แต่จู่ๆ กลับมีเสียงกระแทกดังขึ้น  พื้นใต้เท้าของทุกคนสั่นสะเทือน เสียงฟรายที่ดูแลวินสตันดังขึ้นก่อนทุกคนจะวิ่งเข้าไปดูวินสตันที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อคืนนี้  แอชและแดเนียลวิ่งรุดหน้าเข้าไปดูอย่างคนที่ชำนาญการกว่า  และเมื่อรู้ว่าวินสตันเป็นอะไรสองหนุ่มก็ถึงกับผงะทันที

“เค้าเป็นอะไร?” โทมัสถาม  ขณะที่จับตัวอันสั่นเทาของวินสตัน

พี่ชายของแอริสส่ายหน้า แม้แต่เพื่อนจอมขัดประโยคก็ไม่แสดงอาการว่าสนุกเลยด้วยซ้ำแต่กลับกล่าวอย่างเห็นใจแทน

“นายเข้มแข็งมากวินสตัน  แต่เสียใจที่ฉันต้องบอกว่านายมาได้แค่นี้ล่ะ”

หลังจากนั้นก็เกิดคำถามขึ้นมากมายพร้อมการแสดงความไม่พอใจ  เมื่อชาวทุ่งไม่รู้ว่าวินสตันติดเชื้อ  ซึ่งเค้าจะกลายเป็นแครงค์โดยไม่ช้าและเพื่อนๆ ก็ทำอะไรไม่ได้เลยถึงแม้ว่าแอชที่ดูชัดเจนกับโลกภายนอกอันแสนน่าหดหู่ราวกับสมรภูมิมอดไหม้นี้จะพยายามไตร่ตรองมากแค่ไหนก็ยังบอกไว้ไม่มีหนทาง  หรือหากมีวินสตันก็กลายเป็นพวกมันไปมากกว่าครึ่งแล้ว

เค้าได้ตายไปแล้ว ถึงแม้ว่าเราทุกคนจะยอมหรือไม่ก็ตาม.....

สุดท้ายแล้วทุกคนจึงจำใจต้องทิ้งวินสตันไว้เบื้องหลัง  ท่ามกลางความเศร้าใจของเพื่อนทุกคน  ไม่เว้นแม้แต่แอชและแดเนียลที่อายุมากที่สุดในกลุ่มและเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น  ทั้งสองรู้ว่าต้องใจแข็งเข้าไว้แต่ทว่าหากเลือกได้ก็คงจะไม่อยากให้เพื่อนพ้องคนไหนต้องจากไปอีกแล้ว  การสูญเสียไม่ควรเกิดขึ้นกับพวกเค้าที่มีจำนวนกันอยู่เพียงน้อยนิด

กระทั่งเสียงปืนดังขึ้นหลังจากที่ทั้งกลุ่มเดินจากมาได้ไม่นานนัก  วินสตันก็จัดการใช้ปืนที่กลายมาเป็นของเค้ายิงตัวเอง   โทมัสร้องไห้แม้ไม่มีใครรู้ว่าเค้าร้อง แต่มินโฮก็เดินอยู่ข้างเค้าและกอดเค้าในตอนที่เห็นโทมัสน้ำตาไหล  ทุกคนร้องไห้ยกเว้นเทเรซ่าที่ไร้น้ำตาอาบแก้มและการปลอบโยน  เธอดูเหมือนไม่รู้จักวินสตัน  แต่ก็ไม่มีใครสนใจเธอ

ไม่มีใครว่ามินโฮที่กอดโทมัส เพราะฟรายเองก็กอดเทรเรซ่าเช่นเดียวกัน(ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ร้องด้วย)  ขบวนเดินทางจึงหยุดไปชั่วขณะ  หนุ่มเอเชียกอดร่างบางที่ขย่ำอกเสื้ออยู่ในอ้อมกอดของเค้า  ยอมให้โทมัสใช้เสื้อของเค้าเช็ดน้ำตาได้เต็มที่และมินโฮเองก็ยอมรับว่าวิสตันคือส่วนหนึ่งของครอบครัวรวมทั้งเป็นชาวทุ่งที่ดี  ไม่มีใครสนใจทั้งคู่ถึงแม้ว่าสายตาที่แอบมองอยู่แวบหนึ่งของนิวท์จะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ทำให้สองคนนั้นไร้ตัวตนก็ตาม แต่ต่อมาแอชก็เดินเข้ามาบดบังภาพนั้นโดยบังเอิญและกล่าวคำเสียใจกับนิวท์ก่อนมินโฮกับโทมัสจะได้อยู่กันตามลำพังนอกเหนือสายตาของเพื่อนร่วมกลุ่ม

หลังจากนั้นต่อมาเด็กๆ ก็ออกเดินทางต่อไปอีกเล็กน้อยจนพ้นเขตสันทราย  ก่อนจะตัดสินใจหยุดพักกันในที่สุด  เพราะมืดแล้วขืนเดินต่อไปก็ไร้หนทางพวกเค้าจึงนอนล้อมวงแล้วขดกอดตัวเองหลบหนีความหนาวเย็น

ยกเว้นเสียแต่มินโฮที่พูดว่า “โทมัสขี้หนาว” เสียเท่านั้นแล้วกระชับอ้อมกอดของตัวเองกับคนที่หลับไปเพราะร้องไห้อย่างหนัก  ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรขัดเลยแม้แต่น้อยหรือติดไม่ใคร่จะสนใจเสียมากกว่า  เว้นเสียแต่นิวท์ที่นอนไม่หลับ บางอย่างในใจบอกเค้าว่าให้นอนได้แล้วพร้อมทั้งเลิกคิดเรื่องบางเรื่องที่ไม่เข้าท่าซะที แต่พอมารู้ตัวอีกทีเค้าก็ลุกขึ้นแล้วมานั่งข้างกองไฟกับแอชเสียแล้ว

ชายหนุ่มกำยำรูปร่างสูงโปร่งใช้รองเท้าบู้ทหุ้มข้อหนาๆ ของเค้าเขี่ยเศษกอหญ้าเข้าไปในกองไฟเพื่อกันไม่ให้มันมอดลงเร็วนัก  เสื้อยืดเบาบางสีขาวของเค้าดูไม่เพียงพอสำหรับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างเฉียบพลันในตอนนี้  แอชไม่พูดอะไรราวกับรู้ว่าต้องมีใครสักคนที่นอนไม่หลับแล้วมานั่งข้างเค้าเป็นแน่  ดังนั้นนิวท์จึงเปิดประโยคเป็นคนแรกเสียเอง

“ทำไมนายถึงไม่ไปหาไรต์อาร์มล่ะ?” เค้าใช้ปลายแขนเสื้อแจ็คเก็ตเช็ดจมูก คำถามฟังดูเลื่อนลอยแต่เป็นเพราะว่าไม่อยากเอะอะให้ใครตื่น  แอชไม่ตอบในทันทีแค่มองกลับมาแล้วยิ้มน้อยๆ “นายมีโอกาสแล้ว  นายบอกว่าหนีออกมาตั้งแต่วันแรกที่มาถึง นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วถ้าจะไปกันจริงๆ พวกนายก็คงจะเจอไรต์อาร์มไปแล้ว”

คนถูกถามเปลี่ยนมาเป็นใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟที่ใกล้มอด  บิดมุมปากต่อไปเหมือนกับว่านิวท์ถามคำถามโง่ๆ กับเค้า  แต่ไม่เลย แอชแค่เป็นคนใจเย็นและเก็บอารมณ์ได้ดี ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนหากเค้ามีเวลาทั้งคืน

“นายจะรีบไปทำไม ในเมื่อโลกข้างนอกนี่มันก็เหมือนๆ กันไปหมด  มีแต่ทรายแล้วก็แครงค์ที่ค่อยบั่นทอนกำลังใจของนาย” เมื่อสิบชั่วโมงที่แล้วนิวท์บอกตัวเองว่าจะทำใจไม่เกลียดขี้หน้าแอชเพราะอีกฝ่ายหนึ่งช่วยเค้าเอาไว้ แต่กระนั้นก็คงจะต้องคุยถึงเรื่องการพูดของแอชเสียหน่อยแล้ว

ขอโทษนะ แล้วไม่ใช่เพราะอย่างนั้นเหรอนายถึงต้องรีบน่ะ  ถ้าไม่โดนแครงค์กินนายก็จะโดนวิกเก็ตจับไปห้อยผนังแล้วเอาไปทำเป็นยาอยู่ดี” นิวท์ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะน้อยๆ อย่างไม่ถือสาจากแอช  นั่นยิ่งทำให้เค้ายิ่งฉุน

“ฉันไม่ใจดำขนาดนั้นหรอกนะ” แอชยิ้มให้นิวท์ตรงๆ ในที่สุด “ฉันทิ้งแอริสไว้ไม่ได้  ถึงจะไม่รู้ว่าแม่เป็นใคร...หรือเค้าเป็นน้องฉันจริงๆ ไหม แต่ฉันก็พอจะเดาได้ว่าแม่คงจะบอกให้ฉันดูแลเค้าให้ดีที่สุด  อย่าทิ้งเค้าเพราะเราเป็นพี่น้องกัน”

ชายหนุ่มที่ท้าวแขนกับเข่าเขี่ยกิ่งไม้ไปเรื่อยๆ ไม่ยิ้มแล้ว  ทั้งสองสบตากัน  ความขุ่นเคืองของนิวท์ที่มีต่อคนข้างๆ ถูกเตะหายไปอย่าไม่น่าเชื่อ  เค้าไม่คิดว่าภายใต้ใบหน้าที่ไม่ใส่ใจในสภาพแวดล้อมอันหฤโหดนี้และการพูดจาอ้อมค้อมราวกับจงใจจะกวนประสาทแบบนั้นแอชจะเป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกถึงเพียงนี้....ใช่  เป็นใครก็ต้องรักพี่น้องกันทั้งนั้น  แต่ว่าอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ก็เป็นคนละเรื่องที่จะมาพูดถึงกันสำหรับใครหลายๆ คน  แต่แอชกลับเลือกทำในสิ่งที่ต้องทำและถูกต้อง  สายตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นแฝงแววอบอุ่นแต่ก็ไม่มีความขี้ขลาดอยู่ในนั้นเลย



.



.



.



TBC.



-----------------------------------------------------------------------------------------



โอ้แอช!  แอชกับแดนเนียล  ใช่ค่ะ สองคนนี้เข้ามาใหม่ค่ะ  แอชเป็นพี่ชายของแอริสนั่นเองค่ะ  อย่างที่น Part สองที่แอริสได้บอกไปแล้วว่าพี่เค้าเป็นนักวิ่งเหมือมินโฮ  และแอชกับแดเนียลก็ถือว่าเป็นระดับหัวกะทิเลยล่ะค่ะ  ประมาณเดียวกับมินโฮเลย  และก็อย่างที่ได้เรียนไปแล้วค่ะว่าไรท์บิดเบือนมาก 555555  ในฟิคนี้วงกตที่แอริสจากมา แท้จริงแล้วไม่ได้มีแต่ผู้หญิงค่ะ  มีผู้ชายอยู่ด้วยอีก 5 คนด้วยกัน  สองคนตายในวงกตเหลือแค่ แอริส  แอช  และแดเนียล ค่ะ  ก่อนจะถูกแจนสันพาตัวมา

ตัวพลิกบทของไรท์ พิเศษ ค่ะ......... 5555555  มโนเองล้วนๆ 5555555 

โธ่ วินสตันตายแล้ว  ไม่น่าตายเลยเนอะ TWT  เค้าก็เป็นคนดีหนึ่งนะคะ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ตายไปแล้ว  Part หน้าจะเป็นอย่างไรจะมีความลับอะไรเปิดผยออกมาอีกหรือไม่  ต้องติดตาม Part 4 ค่าาาา   คอนเม้นท์กันหน่อยนะคะ ><  รักรีดทุกๆ ท่านมากเลยค่ะ  

แปะเฟสค่ะ >>แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด<<  เฟสไรท์เองค่ะ เข้ามาคุยกันได้นะเออ ^^ 

ด้วยรักและแรงหื่น

Ray - Aund



ไม่มีความคิดเห็น: