สวัสดีค่ะรีดๆ
ที่รักของไรท์ทุกท่านนนน >//< มาต่อแล้วค่ะ ใน Part นี้จะมาขยายความว่าชายหนุ่มปริศนาสองคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ และไรท์ขอบอกไว้ก่อนล่ะกันนะคะ
เผื่อบางทีไรท์อาจเขียนงงแล้วรีดบางท่านไม่ค่อยเข้าใจ แอชกับแดเนียล //อ้าว เริ่มสปอยล์แล้ว 5555// เค้าจะอายุมากกว่าเด็กทุ่ง
2 – 3 ปีนะคะ สองคนนี้เลยค่อนข้างจะมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าค่ะ แต่รูปลักษณ์ก็เอาะๆ เหมือนเด็กทุ่งเลย
5555555 น่ากินนั่นแหละ 5555555 //นี่แกไม่เคยหยุดเลยใช่ไหม -*-//
นั่นล่ะเนอะ บุคลิกของสองคนนี้ก็ไม่ซับซ้อนมากค่ะ รีดๆ อ่านในฟิคแล้วก็จะรู้คาแรกเตอร์ของพวกเค้าเองค่ะ ไรท์ไม่อยากสปอยล์เนอะ เดี๋ยวรีดจะไม่สนุกเอา
55555 เอาล่ะค่ะเรื่องราวก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ
นะคะ เชิญรีดๆ ไปอ่านกันเลยค่าาา >< !!!!
-------------------------------------------------------------------------------------
“โอ้พระเจ้า แอช!”
และคำพูดของแอริสก็ทำให้มินโฮยุติการต่อสู้กับบุคคลนิรนามที่กำหมัดเค้าไว้ได้สำเร็จ รวมทั้งทำให้เพื่อนคนอื่นหยุดชะงักไปด้วย แอริสโดนรั้งตัวเองไว้ในตอนที่ถูกวางลงพื้นเพื่อกันไม่ให้วิ่งพล่านออกไปด้านนอกเอาได้
ดังนั้นเค้าจึงสะบัดการเกาะกุมนั้นออกแล้วตะกายเข้าไปหาชายที่ปล่อยมินโฮแล้วอ้าแขนรับการโผเข้ากอดของเค้าไว้
“โอ้ แอช! โอ้พระเจ้า เป็นพี่จริงๆ ด้วย!” แอริสจับเนื้อตัวของชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงคนนั้น
“พี่ยังไม่ตาย” เด็กหนุ่มผอมแห้งที่ใจเด็ดเป็นหัวโจ่เล็กๆ พาคนอื่นๆ หนีจนมาถึงนี่เสียงสั่นเครือและนี่เป็นครั้งแรกที่เด็กทุ่งเห็นน้ำตาในดวงตาของแอริส
คู่สนทนาหัวเราะ “ใช่ พี่ยังอยู่”
เค้ายิ้มก่อนจะโดนขัดขึ้น
“โทษทีนะพวก...เอ่อ
ไม่อยากขัดจังหวะช่วงใจถึงใจ แต่ว่าฉันก็อยู่ตรงนี้เหมือนกันนะ....แล้วก็แอช
เราไม่ใช่ว่าต้องเงียบกันหรอกเหรอ?” คนที่แบกแอริสเข้ามาคุกเข่าอยู่ใต้เงาเช่นเดียวกับทุกๆ
คน เค้าอ้าแขนประกอบคำพูดอยู่ข้างฟรายกับเทเรซ่าที่จ้องเค้าเขม็ง
คนพวกนี้ดูมอมแมมและสกปรก แต่ก็ไม่ถึงขนาดไม่น่าเข้าใกล้เสียทีเดียว......
อาจอยู่ข้างนอกนี่มานานแล้ว หลายๆ คนออกความคิดเห็นในใจ
คนโดนถามตบบ่าน้องชายเบาๆ แล้วพยักหน้าเออออไปด้วยอย่างลืมตัวไปชั่วขณะเพราะมัวแต่ดีใจที่ได้เจอน้องชาย
“อ่อ ใช่เพื่อน ขอบใจมาก...เฮ้ ทุกคนเงียบ
อย่าเพิ่งตกใจไป เรามาดีและพวกนายเกือบถูกพวกวิกเก็ตจับได้แล้ว” มินโฮเลิกคิ้วอย่างคับข้องใส่เค้า
ก่อนจะได้ยินเสียงใบพัดพลังมหาศาลดังตามหลังคำพูดของแอชมา
“เราตามพวกนายมา และมาเตือนเพราะดูแล้วคงไม่ทันการณ์ถ้าขืนปล่อยให้พวกนายเดินลอยชายอยู่บนถนนโล่งแบบนั้นต่อไป หูช้าชะมัด โอเค ทีนี้เงียบ” แอชพูดแต่ทำเหมือนบ่นก่อนจะร่ายสาเหตุว่าทำไมทุกคนต้องทำตามเค้า
“เครื่องบินค้นหาของพวกวิกเก็ตมีระบบตรวจจับโซนิค
กลางวันแสกๆ อย่างนี้ไม่มีพวกแครงค์ออกมาเพ่นพ่านหรอก หรือถ้ามีพวกนั้นก็จะลงมาอยู่ดี
เพราะงั้นเงียบก่อน”
ทุกคนเงียบตามเสียงดังกระหึ่มและกระแสลมหอบวนเข้ามาใต้ซากที่พวกเค้าหลบภัยอยู่ คนที่มากับแอชขยับปากเบาๆ แต่ท่าทางเค้าดูเหมือนมันเป็นเรื่องสนุกมาก
“พวกนั้นจะสแกนเรา” ผมสีดอกเล้าของเค้าย้อยมาด้านหน้าแต่ข้างขมับทั้งสองข้างกลับสั้นเกรียน
ถือว่าเป็นทรงบาดใจสาวทรงใหม่ในฝันของฟรายเลยทีเดียว
“ปีส” แอชทำเสียง.....บอกให้เงียบ
“ปีส” เพื่อนของเค้าทำกลับ
“ปีส” แอชใช้มือปาดคอ “เงียบได้แล้วแดเนียล ฉันจะฆ่านาย”
แดเนียลยักไหล่ขอโทษเมื่อหมดเวลาสนุกแล้ว มีเสียง หวืด ดังเข้ามาพร้อมเสียงใบพัดที่กรรโชกเอาทรายหลายพันเม็ดเข้ามาปะทะใบหน้าของเด็กๆ
ก่อนมันจะผ่านหัวทุกคนไปแล้วส่งเสียง หวืด
ตามไปตลอดทาง
“ฟิ้วว” แดเนียลพ่นทรายออกจากริมฝีปากแล้วทำท่าโล่งอก
“ปลอดภัยแล้ว” แต่คราวนี้ความโล่งอกของจริงก็แฝงมาด้วย ชายหนุ่มรูปร่างโตเต็มวัยอย่างหนุ่มแน่นผมขึ้น แต่เพื่อนผมสีน้ำตาลเข้มวัยเดียวของเค้ายังคงจ้องมองเครื่องบินไฮเทคลำนั้นจนมันหายลับตาไป แอริสกอดเค้าไว้อีก แอชตบบ่าน้องชายเบาๆ
“ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะพวก นี่มันหมายความว่ายังไง? พวกนาย...สองคน อยู่ข้างนอกนี่ ตามเรามายังไงเหรอ?” นิวท์ชันเข่าขึ้นกับพื้นแล้วถามเสียงแข็ง
ฟังดูไม่ไว้ใจคนที่แอริสเรียกว่าพี่ชายนัก
ชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำราวกับเด็กหนุ่มที่โตเต็มที่ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนคนผมสีดอกเล้าจะนั่งลงอย่างไม่รีบร้อน ยิ้มพร้อมหลุดหัวเราะแล้วโบกมือให้เพื่อนผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งดูเป็นทรงเรียบตากว่าของเค้ามาก
“ยกให้เลย เคสนายหนิ”
แอชเขย่าหัวเบาๆ “ขอบใจ” ชายหนุ่มข้างมินโฮกับโทมัสประชัด ก่อนจะนั่งลงบ้างแล้วอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างช้าๆ
โดยที่พยายามกระชับให้มากที่สุด ถึงแม้ว่าสีหน้าไม่ไว้ใจของนิวท์จะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าก็ตามเพราะแดเนียลพูดถึงเจ้าตัวไว้ด้วย
เคสบ้าอะไรของนาย?!.....นิวท์อยากตอกกลับไป แต่แอชก็เริ่มพูดแล้ว
“ใช่ ฉันกับแดนเราอยู่ที่นี่...ของนอกนี่ ห่างไกลจากพวกวิกเก็ต คนที่รอดชีวิตจากวงกตของเรามาถึงที่นี่เป็นกลุ่มแรก”
พอคราวนี้ชาวทุ่งทุกคนก็ไม่มีใครเอ่ยปากเสียมารยาทกล้าขัดการท้าวความของบุคคลที่มาถึงสวรรค์จอมปลอมนั่นเป็นคนแรกเลยแม้แต่คนเดียว
แดเนียลเปลี่ยนท่านั่งชันเข่าขึ้นแล้วผิงหลังกับซากตึก
“ใช่ ถ้ากลุ่มก่อนหน้าไม่โดนพวกนั้นเอาไปซูบเป็นยาไปหมดแล้วน่ะนะ”
“ทุกอย่างใหม่หมด แจนสันบอกเองด้วยซ้ำว่าเราเป็นพวกแรก”
แอริสขัดขึ้นเพื่อแก้คำพูดลอยๆ ที่แค่อยากตั้งข้อสังเกตของเพื่อนพี่ตัวเอง แดเนียลผายมือให้ เค้ายอมแอริส
“งั้นที่แอริสอยู่มานานสุดก็เพราะแบบนี้เองสินะ”
โทมัสพูดขึ้นบ้าง
“ใช่พวก เรามีกันเจ็ดคนและหลังจากนั้นสองชั่วโมงก็มีมากันอีก
เรื่อยๆ จนเบื่อนับไปเลย” แอชพยักหน้า
“เราตามพวกนายมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แค่ไม่อยากทำให้ตกใจน่ะเลยตามอยู่ห่างๆ ....แต่รู้อะไรไหมเพื่อน?
พวกนายทำฝันฉันเป็นจริงล่ะฉันกะจะเปิดเครื่องปั่นไฟบ้านั้นตั้งหลายครั้งจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว ยังสงสัยอยู่ว่ามันใช้ได้จริงๆ หรือเปล่า แต่นายเข้าใจใช่ไหม? พวกแครงค์น่ะ มันยั่วเยี๊ยะเต็มไปหมด แดเนียลเลยบอกให้เราแค่ดูมันเฉยๆ ก็พอ” แอชยักไหล่
“นั่นความดีฉัน” แดเนียลได้โอกาสสอด
“ขอบใจเพื่อน” ก่อนคนเริ่มพูดก่อนจะยกนิ้วให้เพื่อนซี้ตามความดีความชอบ
แดเนียลยิ้มแฉ่งก่อนแอริสจะหน้าบูด เด็กผอมแห้งไม่ชอบเพื่อนของพี่ตัวเองเสียเท่าไรนักเป็นเพราะแดเนียลชอบแกล้งเค้าบ่อยครั้งในตอนที่อยู่ในวงกต
“เพราะงั้นเราเลยอยู่ที่นี่ สำรวจและเก็บอะไรก็ตามที่พอจะใช้ได้ ก่อนนายจะเปิดเครื่องปั่นไฟบ้านั่น”
แอชชี้นิ้วสุ่มๆ “แครงค์ก็แตกกระเจิงและ...พวกเราก็เจอนาย”
แดเนียลมองหน้าแอริส ก่อนจะพูดกับทุกคน
“อย่าว่ากัน เหตุการณ์แครงค์แตกเมื่อคืนนี้ทำให้ซ่องของเราโดนถล่มซะยับเลยน่ะ อะไรที่คว้ามาได้ก็อย่างที่พวกนายเห็นนี่แหละ ไม่แปลกใจทำไมเค้าถึงได้หงุดหงิดนัก แต่ขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วยเค้าไม่สบอารมณ์ก็เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น”
พวกเค้าสองคนมีเป้เล็กๆ ติดตัว และปืนลำกลางยาวบนหลังของแดเนียล ก่อนโทมัสจะมองหน้ามินโฮแล้วหนุ่มเอเชียก็กระพริบตาถี่ๆ
“ขอโทษนะ ฉันเป็นคนเปิดมันเอง” สุดท้ายมินโฮไม่ปิดบังเค้ารับสารภาพแต่แอชที่อยู่ข้างๆ
กลับมองกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นายเองเหรอ” ชายหนุ่มที่สวมถุงมือหนังสีดำตัดปลายนิ้ว ยกมือขึ้นไฮไฟฟ์แบบแมนๆ กับมินโฮ “ขอบใจเพื่อน ฉันหมั่นไส้ไอ้เครื่องบ้านั่นมานานแล้วเหมือนกัน ได้มีเรื่องตื่นเต้นค่อยดีขึ้นหน่อย” แอริสเชื่อว่าไม่ได้ฟังผิดไปที่ได้ยินเสียงพี่ชายตัวเองถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
จนแดเนียลที่อยู่ข้างๆ แทรกประโยคเข้ามาอย่างเสียไม่ได้
“เฮ้พวก แล้วไอ้ที่วิ่งหนีแครงค์อยู่ทุกคืนนี่นายยังตื่นเต้นไม่พออีกเหรอ?
อย่าลืมสิสามคืนแรกเราแทบไม่ได้นอนเลยนะพ่อขาซ่า”
“ไม่ นั่นฉันไม่นับมันแล้ว” เค้ายิ้ม
“เดี๋ยวนะ โทษที
ใครบอกให้พวกนายนอกเรื่องกันมิทราบ” สุดท้ายคนที่นั่งฟังอยู่อย่างสงบเงียบและต้องการคำอธิบายมากที่สุดโพล่งขึ้นอย่างเหลืออดในที่สุด นิวท์แบมือน้อยๆ เหมือนอยากให้ใครสักคนสนใจเค้าบ้างแต่แดเนียลก็เอื้อมไปตบไหล่เล็กๆ
ของนิวท์อย่างสนิทสนมจนได้สายตาที่ไม่จัดว่าอยู่แง่ดีตวัดกลับมา
“ยอๆ ใจเย็นน่า อย่าใจร้ายกับคนที่เพิ่งช่วยนายไว้เมื่อคืนนี้สิ”
และหลายครั้งแล้วที่ชายหนุ่มผมสีอ่อนคนนี้ทำตัวร่าเริงเหมือนฟรายแต่ไม่ตัวใหญ่ตุ๊ต๊ะเท่าชายเจ้าเนื้อผิวสีเข้มเลยสักนิดเดียว
หนำซ้ำยังทำเป็นมองไม่เห็นสายตาไม่ชอบใจของอีกคนหนึ่งอีกด้วย
นิวท์ขมวดคิ้ว แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเค้าก็ยังคงป่าวร้องว่าไม่ไว้ใจจะทำดีด้วยอยู่ดีหรือแม้แต่เชื่อคำพูดนั้นก็ยังมีข้อกังหาทางทิฐิอยู่มากมาย บุคคลดังกล่าวหันมาสบตานิวท์ พยักหน้าแล้วพูดด้วยความจริงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการกระทำของเค้าที่ช่วยคณะหลบหนีทุกคนมาได้เมื่อคืนนี้
“ใช่ ฉันช่วยนาย
ถือว่าโชคดีที่มาทันพอดี แครงค์บางทีก็ไม่น่าต่อกรด้วยแต่นายก็ต้องบ้าพอๆ
กับมันถ้าอยากจะสู้ และต้องบ้ามากกว่าถ้าอยากจะชนะ”
มาถึงตอนนี้สายตาเอาจริงเอาจังและบอกว่ายังไงฉันก็จะไม่ยอมตายของแอชก็ไม่ทำให้นิวท์หายคืบแคลงใจไปเปราะหนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ
สีหน้าของแอชไม่ได้ต่อล้อต่อเล่นเหมือนกับเพื่อนของเจ้าตัว
เจตนารมณ์ที่มาพร้อมกับน้ำเสียงนั้นบ่งบอกได้ดีว่าเชื่อใจฉันได้....ใช่
สายตาที่ไม่มีแม้แต่ความโป้ปดนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่เค้าเห็นในตัวอัลบี้
“แต่ฉันไม่โทษใคร เพราะว่าพอรู้ตัวอีกทีก็มีแต่พวกมันเต็มไปหมดแล้ว”
แอชเอาลิ้นดุนกระพุงแก้ม ในใจเค้ามีอารมณ์เศร้าสลดเช่นเดียวกับทุกๆ คนเมื่อพูดถึงคนที่ขังเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายเอาไว้ในวงกต
“แถมยังมีวิกเก็ตอีก”
“แต่ฉันรู้เพื่อน นายสนุกไม่น้อยที่ได้ไล่ฟาดหลังแครงค์เมื่อคืนนี้ใช่ไหมล่ะหา?”
และก็เป็นแดเนียลที่วกกลับเข้าเรื่องเมื่อคืนต่อ เนื่องจากไม่ใคร่จะชอบให้ใครหดหู่เท่าไรนักก่อนจะได้รับการขยิบตาตอบรับจากแอช มันทำให้เด็กชาวทุ่งทุกคนรู้สึกมึนงงและประหลาดใจไม่น้อย
ตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยเจอคนที่ทำตัววางเฉยเสียจนน่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย
จะบอกว่าสองคนนี้มีอาการทางจิตก็ดูจะใกล้เคียงที่สุดกระมัง....
ไม่มีใครชอบแครงค์กันหรอก
ชายหนุ่มที่สวมเสื้อยืดสีขาวแนบเนื้อเมื่อยามเค้ากอดเข่าตัวเองหลวมๆ
หันมาหาเพื่อนใหม่ “เราอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเพื่ออยู่รอดไม่ใช่เหรอ? ถ้าปรับตัวไม่ได้ยังไงก็ต้องตาย
นายไม่อยากรู้หรอกเหรอว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกนี่อีกไหม...เอ่อ ที่ไม่ใช่วิกเก็ตกับพวกแครงค์น่ะ จะมีคนปรกติที่อาศัยอยู่อย่างสงบโดยไม่ต้องทำอะไรป่าเถื่อนแบบพวกวิกเก็ตอยู่รึเปล่า ฉันเองคนหนึ่งล่ะที่อยากรู้” แอชยกยิ้มบางๆ บ่งบอกว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนี้มองโลกในแง่ดีมากแค่ไหน
“แล้วพวกนายหนีออกมาจากที่นั่นได้ยังไง? พวกวิกเก็ตตามหาไม่เจอด้วย” ฟรายที่ฟังเรื่องราวของชายหนุ่มปริศนาสองคนเริ่มตั้งใจฟังและตั้งคำถาบ้างแล้ว
“ช่องระบายอากาศยังไงล่ะ แดเนียลขโมยตัวสั่งการจากห้องบังคับการณ์ย่อย
ฉันเป็นคนสำรวจเส้นทางแล้วจากนั้นเราก็หนีออกมา
ไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำ”
“หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมงได้กว่าแจนสันจะรู้ตัว”
แอริสเสริม น้องชายตัวผอมแห้งผิดจากคนเป็นพี่ไม่ถือโทษที่ไม่ได้ติดสอยห้อยตามพี่ชายทั้งสองมาด้วย อีกทั้งยังเป็นเพราะเจ้าตัวเสียด้วยซ้ำที่บอกพี่ชายในนาทีสุดท้ายว่าจะไม่ขอไปเป็นตัวถ่วงของพวกเค้าเป็นอันขาด และแอริสก็หนีรอดจากการคาดคั้นของแจนสันมาได้ด้วยการเข้าไปขดอยู่บนเตียงนอนแล้วบอกว่าเค้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นเนื่องจากหลับไปนานแล้ว
ซึ่งแจนสันก็ดูจะหัวเสียเป็นอย่างมากที่แอชกับแดเนียลหายไป
ดังนั้น จึงบอกไม่ได้ว่าดีใจแค่ไหนที่เค้ารู้ข่าวว่าโทมัสกำลังจะออกไปจากนรกที่รอวันตายนั่น แผนการของแอชและแดเนียลทำให้แอริสสามารถเข้าไปเอาตัวสั่งการมาได้และเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเด็กทุ่งทุกคนออกมาได้
แอชยื่นหน้าออกไปมองฟ้าแล้วชูนิ้วขึ้นสัมผัสลม
“เอาล่ะ เราต้องไปกันแล้วเดี๋ยวจะมืดซะก่อน
เราไปกันอีกทางหนึ่งพวกวิกเก็ตจะหาเราไม่เจอแน่นอน เร็วเข้าตามฉันมา” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อยืดสีขาวดูเปื้อนฝุ่นดีดตัวออกจากที่ซ่อนแล้วเริ่มออกเดินอย่างฉับไว
ทุกคนเดินตามเค้าไป โดยมีแดเนียลรั้งอยู่ท้ายขบวนเนื่องจากที่นี่เป็นที่ซึ่งพวกเค้าทั้งคู่ได้ทำการสำรวจมาก่อนแล้วจึงเป็นการปลอดภัยกว่าถ้าจะให้ชายหนุ่มทั้งสองคนกระนาบหัวท้ายอยู่แบบนี้ก่อนทั้งกลุ่มเดินทางจะทำความรู้จักกันและกัน
“แล้วทำไมนายถึงหนีออกมาล่ะ
นายรู้ได้ไงว่าพวกเค้าคิดไม่ซื่อ?” โทมัสที่กระชับสายกระเป๋าอย่างเหนื่อยล้าจากไอร้อนเป็นครั้งที่สิบได้ถามขึ้น
แอชหยุดชะงักไป แดเนียลและแอริสก็ด้วย ผู้ร่วมวงกตของชายหนุ่มที่เดินนำเส้นทางอยู่ในขณะนี้พากันมองชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเลิกลั่ก
ก่อนจะเกิดบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนใจขึ้นโดยที่เด็กชาวทุ่งไม่รู้ตัวเลย จนคนถูกถามหันใบหน้าคมสันมาเพียงเล็กน้อยเพื่อตอบเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปรกติ
“พวกเค้าจะเอาฉันไปเก็บเกี่ยวเป็นคนแรกน่ะ”
เด็กจากท้องทุ่งหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ความรู้สึกขมขื่นปรากฏอยู่ในใจของทุกคนซึ่งพวกเค้าไม่เคยคิดว่าแอชเกือบจะได้เป็นคนแรกของโศกนาถตกรรมที่ไร้มนุษยธรรมของ
เอวา เพจ การที่ได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายคงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก เด็กหนุ่มทุกคนคำนึงถึงจิตใจแอชและรู้สึกเห็นใจเค้าเป็นอย่างยิ่ง
“แฮเรียตได้ยินแจนสันคุยกับลูกน้องของเค้าน่ะเธอเลยมาบอกเรา แอชเลยต้องหนีเดี๋ยวนั้น ฉันออกมาเป็นเพื่อนเค้าและมารู้ข่าวอีกทีว่าพวกไรต์อาร์มเข้าบุกโจมตีพวกวิกเก็ต แต่เราไม่รู้เลยว่าแอริสเป็นยังไงบ้างตอนแรกก็ภาวนาขอให้แอริสโดนไรต์อาร์มพาตัวไป”
แดเนียลอธิบายเพิ่มเติมแทนเพื่อนของตัวเอง
ก่อนจะหันไปสบตากับแอริสโดยบังเอิญ
สองคนหลบหน้ากันเลิกลั่กเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ก่อนแดเนียลจะโดยแอชฟาดที่หลังหัว
“ขอบใจพ่อนักรัก แต่ไม่ต้อง ขอบใจอีกที...แค่นายแกล้งน้องฉันมันก็มากพอแล้ว
แค่นั้นเค้าก็รักนายจะแย่อยู่แล้วล่ะ” แอชเป็นเพื่อรักกับแดเนียลแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยปละละเลยความสำคัญกับความรู้สึกของแอริส ความรักน่ากลัวเสมอถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมของเค้าจะอันตรายแต่แอชก็รู้ดี
แดเนียลยักไหล่ “ก็...อย่างน้อยเราก็เพิ่งกลับมาคิดกันได้ว่าแจนสันคงไม่คิดว่าแอริสจะพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวหรอก นายรู้ที่ฉันจะพูดใช่ไหม?...ก็ ก็ ก็เค้าตัวเล็กน่ะ
คิกๆๆ” ชายหนุ่มเสื้อสีครามเข้มจนออกเขียวปล่อยหัวเราะออกมาก่อนจะได้เสียงตอบรับจากเพื่อนๆ
อย่างเสียไม่ได้ แอริสกลอกตาขึ้นฟ้า บ่นงึมงำว่าแดเนียลปัญญาอ่อน
แต่จู่ๆ กลับมีเสียงกระแทกดังขึ้น พื้นใต้เท้าของทุกคนสั่นสะเทือน เสียงฟรายที่ดูแลวินสตันดังขึ้นก่อนทุกคนจะวิ่งเข้าไปดูวินสตันที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อคืนนี้ แอชและแดเนียลวิ่งรุดหน้าเข้าไปดูอย่างคนที่ชำนาญการกว่า และเมื่อรู้ว่าวินสตันเป็นอะไรสองหนุ่มก็ถึงกับผงะทันที
“เค้าเป็นอะไร?” โทมัสถาม ขณะที่จับตัวอันสั่นเทาของวินสตัน
พี่ชายของแอริสส่ายหน้า
แม้แต่เพื่อนจอมขัดประโยคก็ไม่แสดงอาการว่าสนุกเลยด้วยซ้ำแต่กลับกล่าวอย่างเห็นใจแทน
“นายเข้มแข็งมากวินสตัน แต่เสียใจที่ฉันต้องบอกว่านายมาได้แค่นี้ล่ะ”
หลังจากนั้นก็เกิดคำถามขึ้นมากมายพร้อมการแสดงความไม่พอใจ เมื่อชาวทุ่งไม่รู้ว่าวินสตันติดเชื้อ ซึ่งเค้าจะกลายเป็นแครงค์โดยไม่ช้าและเพื่อนๆ
ก็ทำอะไรไม่ได้เลยถึงแม้ว่าแอชที่ดูชัดเจนกับโลกภายนอกอันแสนน่าหดหู่ราวกับสมรภูมิมอดไหม้นี้จะพยายามไตร่ตรองมากแค่ไหนก็ยังบอกไว้ไม่มีหนทาง หรือหากมีวินสตันก็กลายเป็นพวกมันไปมากกว่าครึ่งแล้ว
เค้าได้ตายไปแล้ว ถึงแม้ว่าเราทุกคนจะยอมหรือไม่ก็ตาม.....
สุดท้ายแล้วทุกคนจึงจำใจต้องทิ้งวินสตันไว้เบื้องหลัง ท่ามกลางความเศร้าใจของเพื่อนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แอชและแดเนียลที่อายุมากที่สุดในกลุ่มและเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งสองรู้ว่าต้องใจแข็งเข้าไว้แต่ทว่าหากเลือกได้ก็คงจะไม่อยากให้เพื่อนพ้องคนไหนต้องจากไปอีกแล้ว การสูญเสียไม่ควรเกิดขึ้นกับพวกเค้าที่มีจำนวนกันอยู่เพียงน้อยนิด
กระทั่งเสียงปืนดังขึ้นหลังจากที่ทั้งกลุ่มเดินจากมาได้ไม่นานนัก วินสตันก็จัดการใช้ปืนที่กลายมาเป็นของเค้ายิงตัวเอง
โทมัสร้องไห้แม้ไม่มีใครรู้ว่าเค้าร้อง แต่มินโฮก็เดินอยู่ข้างเค้าและกอดเค้าในตอนที่เห็นโทมัสน้ำตาไหล ทุกคนร้องไห้ยกเว้นเทเรซ่าที่ไร้น้ำตาอาบแก้มและการปลอบโยน เธอดูเหมือนไม่รู้จักวินสตัน แต่ก็ไม่มีใครสนใจเธอ
ไม่มีใครว่ามินโฮที่กอดโทมัส เพราะฟรายเองก็กอดเทรเรซ่าเช่นเดียวกัน(ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ร้องด้วย) ขบวนเดินทางจึงหยุดไปชั่วขณะ หนุ่มเอเชียกอดร่างบางที่ขย่ำอกเสื้ออยู่ในอ้อมกอดของเค้า ยอมให้โทมัสใช้เสื้อของเค้าเช็ดน้ำตาได้เต็มที่และมินโฮเองก็ยอมรับว่าวิสตันคือส่วนหนึ่งของครอบครัวรวมทั้งเป็นชาวทุ่งที่ดี ไม่มีใครสนใจทั้งคู่ถึงแม้ว่าสายตาที่แอบมองอยู่แวบหนึ่งของนิวท์จะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ทำให้สองคนนั้นไร้ตัวตนก็ตาม
แต่ต่อมาแอชก็เดินเข้ามาบดบังภาพนั้นโดยบังเอิญและกล่าวคำเสียใจกับนิวท์ก่อนมินโฮกับโทมัสจะได้อยู่กันตามลำพังนอกเหนือสายตาของเพื่อนร่วมกลุ่ม
หลังจากนั้นต่อมาเด็กๆ ก็ออกเดินทางต่อไปอีกเล็กน้อยจนพ้นเขตสันทราย ก่อนจะตัดสินใจหยุดพักกันในที่สุด เพราะมืดแล้วขืนเดินต่อไปก็ไร้หนทางพวกเค้าจึงนอนล้อมวงแล้วขดกอดตัวเองหลบหนีความหนาวเย็น
ยกเว้นเสียแต่มินโฮที่พูดว่า
“โทมัสขี้หนาว” เสียเท่านั้นแล้วกระชับอ้อมกอดของตัวเองกับคนที่หลับไปเพราะร้องไห้อย่างหนัก ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรขัดเลยแม้แต่น้อยหรือติดไม่ใคร่จะสนใจเสียมากกว่า เว้นเสียแต่นิวท์ที่นอนไม่หลับ บางอย่างในใจบอกเค้าว่าให้นอนได้แล้วพร้อมทั้งเลิกคิดเรื่องบางเรื่องที่ไม่เข้าท่าซะที
แต่พอมารู้ตัวอีกทีเค้าก็ลุกขึ้นแล้วมานั่งข้างกองไฟกับแอชเสียแล้ว
ชายหนุ่มกำยำรูปร่างสูงโปร่งใช้รองเท้าบู้ทหุ้มข้อหนาๆ
ของเค้าเขี่ยเศษกอหญ้าเข้าไปในกองไฟเพื่อกันไม่ให้มันมอดลงเร็วนัก เสื้อยืดเบาบางสีขาวของเค้าดูไม่เพียงพอสำหรับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างเฉียบพลันในตอนนี้ แอชไม่พูดอะไรราวกับรู้ว่าต้องมีใครสักคนที่นอนไม่หลับแล้วมานั่งข้างเค้าเป็นแน่ ดังนั้นนิวท์จึงเปิดประโยคเป็นคนแรกเสียเอง
“ทำไมนายถึงไม่ไปหาไรต์อาร์มล่ะ?”
เค้าใช้ปลายแขนเสื้อแจ็คเก็ตเช็ดจมูก คำถามฟังดูเลื่อนลอยแต่เป็นเพราะว่าไม่อยากเอะอะให้ใครตื่น แอชไม่ตอบในทันทีแค่มองกลับมาแล้วยิ้มน้อยๆ “นายมีโอกาสแล้ว นายบอกว่าหนีออกมาตั้งแต่วันแรกที่มาถึง นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วถ้าจะไปกันจริงๆ
พวกนายก็คงจะเจอไรต์อาร์มไปแล้ว”
คนถูกถามเปลี่ยนมาเป็นใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟที่ใกล้มอด บิดมุมปากต่อไปเหมือนกับว่านิวท์ถามคำถามโง่ๆ กับเค้า แต่ไม่เลย แอชแค่เป็นคนใจเย็นและเก็บอารมณ์ได้ดี
ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนหากเค้ามีเวลาทั้งคืน
“นายจะรีบไปทำไม
ในเมื่อโลกข้างนอกนี่มันก็เหมือนๆ กันไปหมด
มีแต่ทรายแล้วก็แครงค์ที่ค่อยบั่นทอนกำลังใจของนาย” เมื่อสิบชั่วโมงที่แล้วนิวท์บอกตัวเองว่าจะทำใจไม่เกลียดขี้หน้าแอชเพราะอีกฝ่ายหนึ่งช่วยเค้าเอาไว้
แต่กระนั้นก็คงจะต้องคุยถึงเรื่องการพูดของแอชเสียหน่อยแล้ว
“ขอโทษนะ
แล้วไม่ใช่เพราะอย่างนั้นเหรอนายถึงต้องรีบน่ะ
ถ้าไม่โดนแครงค์กินนายก็จะโดนวิกเก็ตจับไปห้อยผนังแล้วเอาไปทำเป็นยาอยู่ดี”
นิวท์ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะน้อยๆ อย่างไม่ถือสาจากแอช นั่นยิ่งทำให้เค้ายิ่งฉุน
“ฉันไม่ใจดำขนาดนั้นหรอกนะ” แอชยิ้มให้นิวท์ตรงๆ
ในที่สุด “ฉันทิ้งแอริสไว้ไม่ได้
ถึงจะไม่รู้ว่าแม่เป็นใคร...หรือเค้าเป็นน้องฉันจริงๆ ไหม แต่ฉันก็พอจะเดาได้ว่าแม่คงจะบอกให้ฉันดูแลเค้าให้ดีที่สุด อย่าทิ้งเค้าเพราะเราเป็นพี่น้องกัน”
ชายหนุ่มที่ท้าวแขนกับเข่าเขี่ยกิ่งไม้ไปเรื่อยๆ
ไม่ยิ้มแล้ว ทั้งสองสบตากัน ความขุ่นเคืองของนิวท์ที่มีต่อคนข้างๆ ถูกเตะหายไปอย่าไม่น่าเชื่อ เค้าไม่คิดว่าภายใต้ใบหน้าที่ไม่ใส่ใจในสภาพแวดล้อมอันหฤโหดนี้และการพูดจาอ้อมค้อมราวกับจงใจจะกวนประสาทแบบนั้นแอชจะเป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกถึงเพียงนี้....ใช่ เป็นใครก็ต้องรักพี่น้องกันทั้งนั้น แต่ว่าอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ก็เป็นคนละเรื่องที่จะมาพูดถึงกันสำหรับใครหลายๆ
คน แต่แอชกลับเลือกทำในสิ่งที่ต้องทำและถูกต้อง สายตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นแฝงแววอบอุ่นแต่ก็ไม่มีความขี้ขลาดอยู่ในนั้นเลย
.
.
.
TBC.
-----------------------------------------------------------------------------------------
โอ้แอช! แอชกับแดนเนียล
ใช่ค่ะ สองคนนี้เข้ามาใหม่ค่ะ แอชเป็นพี่ชายของแอริสนั่นเองค่ะ อย่างที่น Part สองที่แอริสได้บอกไปแล้วว่าพี่เค้าเป็นนักวิ่งเหมือมินโฮ และแอชกับแดเนียลก็ถือว่าเป็นระดับหัวกะทิเลยล่ะค่ะ ประมาณเดียวกับมินโฮเลย
และก็อย่างที่ได้เรียนไปแล้วค่ะว่าไรท์บิดเบือนมาก 555555 ในฟิคนี้วงกตที่แอริสจากมา
แท้จริงแล้วไม่ได้มีแต่ผู้หญิงค่ะ
มีผู้ชายอยู่ด้วยอีก 5 คนด้วยกัน
สองคนตายในวงกตเหลือแค่ แอริส
แอช และแดเนียล ค่ะ ก่อนจะถูกแจนสันพาตัวมา
ตัวพลิกบทของไรท์ พิเศษ ค่ะ.........
5555555 มโนเองล้วนๆ 5555555
โธ่ วินสตันตายแล้ว ไม่น่าตายเลยเนอะ TWT เค้าก็เป็นคนดีหนึ่งนะคะ
เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ตายไปแล้ว Part
หน้าจะเป็นอย่างไรจะมีความลับอะไรเปิดผยออกมาอีกหรือไม่ ต้องติดตาม Part 4 ค่าาาา คอนเม้นท์กันหน่อยนะคะ >< รักรีดทุกๆ ท่านมากเลยค่ะ
ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น