อร๊ายยยยยยยยย มาแล้วค่ะรีดๆ ขาา
อันที่จริงจะลงตะกะตอนบ่าย
ตอนนี้มาซะเกือบดึกเลยค่ะ 555555 ไรท์ไม่มีอะไร
Talk มากค่ะ
แนะนำแค่ว่าให้เปิดหน้ายูทูปแล้วฟังเพลง
-
Ost. Disney's Cinderella
Official - Audiomachine - Above and Beyond & Switch – Aeon
-
Beauty and the Beast Official
Trailer Music - Really Slow Motion - Reborn - Epic Trailer – EMVN
นี้ค่ะ 5555 ไรท์มีโรคส่วนตัวค่ะ ชอบฟัง Soundtrack ของหนัง ไปอ่านกันเลยค่าา
>///<
------------------------------------------------------------------------------------------
มันช่างเป็นภาพที่น่าดูเมื่อตรงหน้าของคุณนั้นคือพระอาทิตย์ดวงเดิมที่สวยกว่าตอนไหนๆ
ของวัน และกำลังหย่อนลงตรงกลางระหว่างภูเขาสองลูกที่ตั้งเคียงกันอยู่ตรงนั้น รอบข้างของคุณคือต้นไม้ที่กำลังเติบโตเขียวชอุ่ม ทุ่งหญ้าที่กว้างขว้างสุดลูกหูลูกตาซึ่งกำลังถูกย้อมไปด้วยแสงสีส้มแก่ของดวงอาทิตย์ แม้แต่ใบหน้าของคุณเองก็ยังต้องแสงนั้น ผมของคุณกลายเป็นสีส้มแทนที่มันจะเป็นสีบล์อน ก่อนคุณจะตกตะลึงจนสุดขีดเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากเนินทุ่งตรงหน้า
.
.
.
เด็กหนุ่มดวงตาเบิกกว้าง คลายขายืดตรงจากการชันเข่า มือของเค้าละออกมาจากดอกไม้เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า...ตรงเนินนั่น โดยมีทุ่งกว้างแผ่ขยายอยู่รอบข้างตัวเค้า ในตอนแรกเด็กที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้ายังไม่แน่ใจนักเพราะดวงอาทิตย์ร้อนแรงทำให้ภาพของชายตรงหน้าดำมืด เค้าคนนั้นเดินเข้ามา เสื้อแขนยาวสีดำแนบเนื้อนั้นดูตัวใหญ่ แต่ไม่ทำให้ดูโคร่งเพราะคนใส่นั้นใส่มันได้อย่างพอดิบพอดี
พีต้าขมวดคิ้วแล้วเลิกขึ้นสูง ยืดตัวสูงขึ้นอย่างฉงนงุนงงเมื่อคิดไม่ออกว่าใครกันที่มีธุระกับที่นี่ เค้าเป็นคนแปลกหน้า...แปลกหน้าแต่ทว่าร่างเล็กกลับรู้สึกคุ้นอย่างมากมาย และในชั่ววินาทีต่อมาพีต้าก็รู้สึกเหมือนแผ่นดินใต้ตัวถูกสั่นอย่างแรงจนตัวโคลง
เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าผู้นั้นถอดกระเป๋าสะพายหลังออก โยนมันลงกับพื้นอย่างไร้ค่าแล้วขยับตัวช้าลง ท่าทางของเค้าดูเหมือนตื่นเต้นจนไม่แน่ใจ
พีต้าลุกขึ้นแล้ว ไม่ได้ละสายตาไปจากอีกคนหนึ่งเช่นที่ร่างสูงเองก็เป็นอย่างนั้น คนมาใหม่ก้าวช้าลงจนหยุดเดินแต่เด็กหนุ่มก็ถูกผลักดันให้เริ่มออกเดินในตอนนั้นนั่นเอง พีต้าก้าวเท้าเบาหวิวเหมือนรู้สึกว่าลอยได้ เมื่อแสงอาทิตย์เกือบลาลับจนแสงเจิดจ้าหายไปเด็กหนุ่มจึงขมวดคิ้วอีกครั้ง
ชายตรงหน้าของพีต้ามีผมสีบล์อน ตัดสั้น โครงหน้าเป็นสัดส่วน คิ้วสีเข้มและมีดวงตาสีค่อนกระจ่างที่กำลังหรี่มองเด็กหนุ่มจากระยะไกลอย่างไตร่ตรอง เค้าดูตัวใหญ่มากกว่าที่ควรจะเป็น ก่อนชายคนนั้นจะกลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยขึ้นทันที
“พีต้า” ฟินนิคไม่ได้กระซิบ แต่เอ่ยเรียกเพื่อร้องหาการตอบรับ หากเด็กหนุ่มตัวเปื้อนดิน ผมยาวมากกว่าที่จำได้ตรงหน้านี้คือคนที่เค้าตั้งใจจะมาหา.....มันก็ช่างเร็วเกินไปจนเตรียมใจไม่ทัน
คนถูกเรียกนิ้วกระตุกพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่พลิกกลับมาเต้นรัวอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้งโดยไม่มีคำบรรยาย พีต้าเดินเข้าไปหาเร็วขึ้น รู้สึกราวกับว่าไม่ได้เหยียบอยู่บนพื้นดินอีกต่อไปแล้ว
เท้าของเค้าเหมือนลอยอยู่บนอากาศ
“ฟินนิค...”
อีกคนหนึ่งเดินมาหาเค้าแทนคำตอบ
“ฟินนิค!”
เด็กหนุ่มออกวิ่งเต็มที่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในรอบหลายเดือน “ฟินนิค!”
พีต้าไม่รู้ว่าเสียงตัวเองสั่นเครือ
ฟินนิคเองก็เร่งฝีเท้าแต่ไม่ได้วิ่งเหมือนพีต้า
เค้ากระซิบอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “พีต้า...” เด็กหนุ่มของเค้ายังคงปลอดภัยและแข็งแรงดีอย่างน่าอัศจรรย์ มันเหมือนกับฝันไปที่ได้เห็นพีต้ากำลังวิ่งเข้ามาหาเค้า
ไม่ใช่ยืนงงด้วยข้อกังขาทั้งหลายอย่างคับข้องใจว่าคนที่ตายไปแล้วอย่างเค้ามาทำอะไรที่นี่
ร่างสูงอ้าแขนออกกว้างแล้วกอดร่างเล็กที่โถมตัวเข้าใส่ด้วยความแข็งแรงแต่ก็อ่อนโยนด้วยในเวลาเดียวกัน พีต้ากดตัวเองเข้ากับร่างที่กำยำขึ้นของอีกคนหนึ่งส่วนฟินนิคก็กอดเด็กหนุ่มราวกับว่าบนโลกนี้เค้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกเสียจากการที่ได้พบพีต้า
“พีต้า
พีต้า...โอ้ พีต้าของฉัน” ฟินนิคพูดย้ำเหมือนได้ของหายคืนแล้วกดศีรษะของอีกคนหนึ่งลงบนลาดไหล่ของเค้าอย่างแสนรัก พีต้าปลอดภัยและกอดเค้าด้วยแรงที่แขนเล็กๆ
คู่นั้นพอจะเอื้ออำนวยได้
เด็กหนุ่มเบะปาก ไม่ได้พูดอะไรแต่ร้องไห้ เจ้าตัวขยำเสื้อสีดำของคนกอดอย่างไม่หยุดหย่อน ซบหน้าแล้วฝืนสะอื้นพูด “ฟิ...ฟินนิค”
เสียงนั้นฟังดูอู้อี้ “นายหายไปไหนมา?”
กระท่อนกระแท่นแต่ก็ทำให้ร่างสูงอบอุ่นหัวใจ
พีต้าคิดถึงเค้า ยังคงโหยหาถึงการมีอยู่ของเค้าดั่งเช่นที่เคยเป็น และดูเหมือนมันคงจะเป็นอย่างนั้นต่อไป...
“ฉันกลับมาแล้ว” เค้าปลอบ ลูบผมของเด็กหนุ่มที่ทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรงกับการร้องไห้ ร่างสูงยอมทำตาม ไม่ฝืนเด็กหนุ่มของเค้า “โทษที ฉันมาช้าไปหน่อย” ฟินนิคพูด เหมือนเค้าเป็นพี่ชายที่มารับน้องชายช้าไปนิดหนึ่งเพราะปัญหาจราจร
ก่อนพีต้าจะตะครุบเสื้อยืดแขนยาวของเค้าอีกครั้งแล้วตัวสั่น
.
.
.
ผมมาถึงแล้ว มาที่นี่
เขต 12 ที่พีต้าอาศัยอยู่เพื่อหลบหนีความวุ่นวายและรักษาบาดแผลทางหัวใจจากแคปปิตอล ผมมาถึงโดยที่ระยะเวลาสามชั่วโมงถูกร่นลงมาเหลือเท่าไรก็ไม่รู้ได้ และผมก็ได้พบเค้า
พบพีต้าที่กำลังนั่งมองพระอาทิตย์อยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย
เค้าดูสบายดี แต่ท่าทางกับดวงตาดูเศร้ามากเหลือเกิน เค้าดูน่าสงสาร ผมไม่แน่ใจ
แน่นอน คราแรกแทบจำเค้าไม่ได้เพราะพีต้าที่ผมเห็นอยู่จนชินตาเป็นคนสะอาดแต่วันนี้เค้าเหมือนเพิ่งสู้กับดินมาหมาดๆ
และผมยาวขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่พอสมควร แต่ก็จำเค้าได้ในที่สุดและได้กอดเค้าสมใจอย่างที่อยากทำเมื่อพบเค้า
พีต้าร้องไห้ไม่หยุด คำพูดไม่ได้ศัพท์นั้นทำผมฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็รู้สึกรักมากมายเหลือเกินที่ได้ฟังเสียงของเค้าอีกครั้ง ผมยิ้มและรอให้เค้าเงียบซะก่อน ผมเช็ดคราบดินและน้ำตาจากใบหน้าของเค้าในตอนที่เรานั่งอยู่บนพื้นหญ้าถัดจากแปลงดอกไม้ที่ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเป็นของใคร
ไม่ใช่ของแคทนิสแน่
“เฮ้” ผมทักเค้าอย่างเป็นทางการ “หวัดดี”
แล้วยิ้มกับคำพูดไม่หรูหราของตัวเอง
“นายหายหัวไปไหนมาฟินนิค?!” พีต้าขว้างคำทักทายของผมทิ้งไป พูดเสียงไม่พอใจและพยายามทำหน้าขุ่นเคืองใส่ผม
แต่ดวงตาฉ่ำน้ำนั้นก็สั่นระริกอย่างปิดไม่มิด “ฉันนึกว่านายตายไปแล้ว” เค้าพูดความจริงที่แสนปวดใจด้วยเสียงอันอ่อย
แต่ผมก็โชคดีที่สุดแล้วที่ได้กลับมาหาเค้า ผมเลยพูด
“หลายคนคิดอย่างนั้นพีต้า แม้แต่ฉันเอง” ก่อนจะสูดหายใจเข้าแล้วยักไหล่ “แต่อย่าเชื่อทุกอย่างซะทีเดียว”
หนุ่มเบเกอร์รี่เสื้อเปรอะเปื้อนมองหน้าผมด้วยแววตาที่ไหวไปมาบ่งบอกถึงความเคร่งเครียด
“แต่ฉันได้ยินเสียงระเบิด แคทนิสบอกว่าเราเสียนายไปแล้ว นาย...” เค้าเว้นประโยคเพื่อถามผม ผมจึงเล่าเรื่องของไทกรีส บีสตันและเพื่อนๆ ของพวกเธอให้พีต้าฟัง มันฟังดูเหลือเชื่อ แต่ก็ง่ายดายมากที่จะเล่าให้พีต้าเข้าใจว่าทำไมผมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ แต่การพูดถึงสาเหตุของความสมบรูณ์ทางร่างกายที่สร้างใหม่จากการกระตุ้นปฏิกิริยาของเซลล์เป็นเรื่องยากที่ผมโยนทิ้งไปและไม่พูดให้เค้าฟังจะดีกว่า
เมื่อพีต้าไม่เออออตอบผมตั้งแต่คำแรก
ก็อย่าอะไรเลย
แม้แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจบีสตันเท่าไรนัก
เด็กหนุ่มเบเกอร์รี่ที่ตาบวมของผมนิ่งไปพักหนึ่งหลังเล่าจบ เค้าซึมซับทุกอย่างเข้าไป เรียบเรียงแล้วบอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องจริงที่สามารถเชื่อถือได้ได้สำเร็จก่อนจะหน้ามองผมอย่างทึ่งๆ
“นายนี่อึดชะมัดเลย” อีกฝ่ายบอกออกมาในที่สุด ผมหัวเราะ แต่เค้ากลับทำหน้าเหมือนจะโกรธผมอีกครั้ง
ก่อนผมจะยิ้มอ่อนๆ แล้วมองพีต้า
“ฉันเกือบตายไปแล้วพีต้า อันที่จริงฉันพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อนั่นล่ะ...”
ก่อนจะเลื่อนมือมาปัดผมด้านหน้าของเค้าแล้วลดเป็นเสียงกระซิบ “แต่พอนึกถึงนายแล้วมันกลับทำให้ฉันเกิดกลัวขึ้นมาพีต้า...กลัวตาย”
ผมเน้นเสียง ทำหน้าไม่เข้าใจอย่างเจ็บปวดเพราะตัวเองก็ไม่คุ้นชินกับคำนี้เหมือนกัน
“อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนพีต้า และนั่นเป็นเพราะฉันคิดถึงนาย” ผมใช้มือสัมผัสหน้าเค้า
ทาบมันลงไปอย่างแผ่วเบา
“เพราะฉันเหรอ?” สีหน้าของเค้าในตอนที่ไม่เข้าใจไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และมันทำให้ผมยิ้มได้เสมอ
“ใช่ เพราะนาย” ผมพูด “นายทำให้ฉันคิดว่าบางที่ฉันอาจยังไม่พร้อมที่จะตาย”
แก้มของเค้าอุ่นขึ้นเมื่อผมเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไปมาอย่างเชื่องช้า สบตาสีน้ำตาลคู่นั้นและจ้องมองลงไปอย่างไม่หลบเลี่ยงเหมือนเช่นเมื่อก่อน
“เพราะมีหลายอย่างที่ฉันต้องบอกให้นายรู้พีต้า” แก้มของพีต้าอุ่นขึ้นในตอนที่ผมประคองมันไว้แล้วก้มลงจูบเค้า
มันเป็นจูบที่เบาบาง ผมกดริมฝีปากลงไป รู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากบางของอีกคนหนึ่งและสายลมที่พัดกระทบอย่างมีน้ำหนัก พีต้านิ่งไป
เงียบสนิทและไม่ทำอะไรเพราะความตกใจ
ผมเดาว่าอย่างนั้น แต่ก็ไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะโดนผลักออกมา ทว่ากลับไม่เป็นอย่างนั้น เด็กหนุ่มของผมเลื่อนมือขึ้นมาโอบรอบคอ ท้ายทอยผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ จากมือของเค้า
ผมรู้สึกถึงเส้นผมอ่อนนุ่มของเค้า พัดเข้ามาโดนแก้มของผมจนรู้สึกจักจี้...เพราะมันอ่อนนุ่มเลยเป็นอย่างนั้น ใช่แล้ว
ในอ้อมแขนของผมคือพีต้า เป็นเด็กหนุ่มรักสงบเกลียดสงครามคนนั้นที่ผมรัก และผมได้มาอยู่ตรงนี้แล้ว กอดเค้าอย่างแน่นที่สุดเท่าที่ต้องการ
ได้จูเค้าจนกระทั่งตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
ผมจึงขยับปากแล้วจูบอีก ขอความอนุญาตจากเค้ามากขึ้น คราวนี้พีต้าตอบรับในที่สุดและขยับปากแบบผมแต่ผมก็ไม่รออะไรแล้ว
เข้าไปคลอเคลียในปากของเค้าอย่างรวดเร็วเดี๋ยวนั้นเลย พีต้าตัวอ่อนยวบ เค้าเอนตัวไปด้านหลังเพราะผมเริ่มจูบเร็วและหนักไป ดังนั้นผมจึงรั้งตัวเค้าไว้ ใช้แขนโอบรอบแผ่นหลังและเอวที่ให้ความรู้สึกไม่สมบรูณ์ขึ้นเลยตั้งแต่เราจากกัน
ผมกระพริบตาเบาๆ เห็นพีต้าหลับตาไม่สบตาผม และเห็นแสงอาทิตย์ที่เป็นสีส้มสีโปรดของเค้าอาบรอบตัวเรา สายลมที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายพัดใบของต้นมะฮอกกานีให้ลอยคว้างอยู่รอบตัวเรา
ผมชันเข่าขึ้นมาประคองหลังของพีต้าเอาไว้อีก กอดรัดอีก
ตัวของเราแนบชิดกันมากขึ้นจนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเบียดเค้าอยู่
ผมละปากออกแล้วล่วงล้ำเข้าไปใหม่ ได้ยินเสียงหายใจสะดุดของพีต้าผมเลยกดเค้าเข้าหาตัว เสื้อผ้าเราเสียดสีกัน จูบ ดูดดื่มด้วยลิ้นของผมที่ไล่ต้อนความไม่มีประสบการณ์ของเค้า ผมรู้สึกถึงมือคู่หนึ่งที่กำเสื้อไว้แน่น รู้สึกถึงดวงตาที่สั่นระริกของพีต้าจนทำให้ตัวของเค้าสั่นไปด้วย
ผมหันหน้าไปมา ไม่รู้จะจบตรงไหนดีเพราะพีต้าหวานไปหมด ผมคงคิดถึงเค้ามากเกินไป
และพยายามบอกตัวเองแล้วว่ากำลังจะทำให้เค้าตกใจแต่ก็ยังยากเกินไปอยู่ดี ความคิดถึงทำให้ความต้องการนั้นดื้อดึงจึงทำให้ผมแทบกลืนริมฝีปากบางๆ
ของเค้าให้หายไปด้วยปากของตัวเอง
แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจได้สำเร็จในตอนที่พีต้าเกือบหมดลมหายใจพอดี ก่อนพบว่าตัวเค้านอนราบอยู่บนเนินหญ้าโดยที่มีผมกอดทับอยู่ข้างๆ
ผมคิดว่าเราคงไม่จำเป็นต้องเล่นบทเพื่อนที่มีความรู้สึกแสนบริสุทธิ์ให้กันและกันอีกแล้วล่ะ จูบของผมมันแฉความในใจของเราออกไปหมดแล้ว
ให้ตายเถอะ...ผมสบถใส่ตัวเองในใจ แต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากคนที่เพิ่งจูบไปได้เลย พีต้าจ้องตอบมาด้วยดวงตาสีน้ำตาลแวววาวและมือของเค้าก็ขยุ้มเสื้อของผมแน่น
ผมไม่แคร์แล้วก็ได้...
“นายทำให้ฉันคิดถึงอย่างอื่นไม่ได้เลยพีต้า”
ผมส่ายหน้าน้อยๆ เสียใจที่ตัวเองดูหมกมุ่นมากเกินไป แต่พีต้าคลายมือจากอกเสื้อของผมแล้วเลื่อนขึ้นมาที่บ่า นิ้วซุกเข้าไปในไรผมของผมอีกครั้ง นิ้วชี้เล็กๆ นั้นขยับคลึงไปมา สีหน้าของเค้าและนิ้วชี้ที่อยู่บนท้ายทอยของผมดูไม่แน่ใจ พีต้าดูประหม่า เคอะเขินและกำลังฝืนยิ้ม ผมเดาสีหน้าเค้าได้ไม่ยากเลย และไม่นานแรงยื้อที่คอก็เกิดขึ้น
ผมก้มลงไป และเราก็จูบกันอีกครั้ง
.
.
เมื่อนานมาแล้วมีชายหนุ่มผู้กล้าหาญและแสนเก่งอยู่คนหนึ่ง
เค้าเคยขบคิดกับตัวเองอย่างหนักอยู่นานระหว่างเข้านอนว่าพรุ่งนี้เช้าเค้าจะตื่นขึ้นมาแล้วพูดคุยเรื่องอะไรกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เค้ามีความรู้สึกอันแสนพิเศษให้
ว่าอย่างไรดี และเค้าก็คิดได้ กระทั่งได้รับคำตอบมาในที่สุดนั่นเองว่าเด็กหนุ่มของเค้าชื่นชอบสีส้มสุดท้ายของพระอาทิตย์มากที่สุดกว่าสิ่งไหน มันให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระและน่าประทับใจ...พีต้าบอกอย่างนั้น
และหลังจากนั้นฟินนิคก็ได้รู้เรื่องราวของพีต้ามากมาย เค้าถามเด็กหนุ่มมากพอที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนใกล้ชิดที่สุดไปได้ไม่ยากเลย และนอกจากนั้นยังมีหลายเรื่องที่พีต้ายังไม่รู้เกี่ยวกับตัวเองแต่ฟินนิคกลับรู้ดีอีกด้วย มันช่างเป็นเรื่องที่ชัดเจนอย่างไม่ต้องบอกเลยว่าชายหนุ่มที่อายุมากกว่าถึงเจ็ดปีคนนั้นรู้สึกอย่างไรกับเด็กหนุ่มบ้านขนมปัง
แต่ทว่าเค้าไม่สามารถบอกมันได้...
ทั้งสงครามและข้อเตือนใจที่ว่าพีต้าอาจไม่รู้สึกเหมือนเค้าทำให้ฟินนิคต้องรู้สึกรักอยู่ข้างเดียว เค้าสูญเสียความมั่นใจไปในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับมามีความหวังอีกครั้งเมื่อพีต้ามอบดวงตาไหวระยิบและหลบสายตาเค้าบ่อยขึ้นอย่างที่ไม่เคยมอบมันให้ใครมาก่อน
แต่แล้วสงครามกลับพรากมันไปอีกครั้งด้วยการคร่าชีวิตของเค้า
แน่นอนเค้าไม่ตาย แค่เกือบตาย แต่นั่นก็ทำให้พีต้าคิดว่าเค้าไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว เด็กหนุ่มช็อค
เสียใจ และร้องไห้อย่างหนัก พีต้าอ้อนวอนกับตัวเองขอให้ได้เจอฟินนิคอีกครั้งและขอให้เค้ากลับมา แต่ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เด็กหนุ่มรู้ดี
จนกระทั่งตอนนี้เมื่อเวลาได้หมุนเดินไปอย่างนานแสนนานสำหรับเด็กหนุ่ม วันนี้
ที่นี่ ตอนนี้ ชายหนุ่มที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้วกลับปรากฏตัวขึ้นตาหน้า
หัวใจพีต้ากลับมาเต้นระรัวอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ได้จูบฟินนิคอย่างที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้
สงครามและความถูกต้องของความรักที่ปิดกั้นเคยทำร้ายพวกเค้า และตอนนี้มันได้พังทายลงแล้ว ไม่มีสงคราม
ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีความหดหู่ ไม่มีการทรมานและการพลัดพรากอีกต่อไป ซึ่งพร้อมกันนั้นพวกเค้าทั้งสองก็ได้ยอมรับกับการสูญเสียที่ทำให้เกิดการห่างเหินซึ่งกันและกันแล้วว่าไม่อาจทำตัวเก็บซ่อนความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป
ในตอนที่ฟินนิคจูบ พีต้าทั้งดีใจ
โล่งใจ และเอ่อล้น เด็กหนุ่มบอกตัวเองว่าถ้าหากฟินนิหายไปอีกเค้าจะทำอย่างไร ต้องไม่ใช่ร้องไห้จนตายแน่ๆ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก เด็กหนุ่มจากเขต 12 จึงกอดคนที่คิดถึงมาตลอดเวลาหกเดือนเอาไว้และจูบเค้าตอบอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ
ทั้งสิ้น
สายลมพัดกระจายอย่างอ่อนไหวอยู่รอบตัวของพวกเค้า
ในขณะที่จูบกันใบไม้ที่หลุดร่วงเต้นรำกับสายลมห้อมล้อมฟินนิคและพีต้าเอาไว้ เหมือนฉากจบที่สมบรูณ์แบบของเทพนิยายที่สุดท้ายแล้วเรื่องราวก็ได้จบลงในตอนที่เรื่องเลวร้ายตื่นเต้นของเรื่องได้ถูกก้าวข้ามไป
และในที่สุด ทั้งสองก็ได้พบกัน
.
.
ผมจูบเค้าอีกครั้ง
“ฉันรักนาย” ผมยิ้มและกระซิบออกมาด้วยเสียงที่เบาที่สุด แต่พีต้าที่ยิ้มตอบแล้วกอดรอบคอผมก็คงจะได้ยินมันอย่างชัดเจนแล้วเป็นแน่เพราะงั้นเราเลยจูบกันอีกรอบ ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนอกจากดีใจ ทุกอย่างหมุนรอบหัวผมโดยที่มีพีต้าโอบกอดไปด้วย...หลายอย่างที่ผมกังวลเกี่ยวกับเค้าและความในใจของตัวเองถูกทุบให้พังทลายลงไปในตอนนั้นเอง ผมรักเค้า
รักเค้ามานานแล้ว
และเค้าก็รักผม
คงจะไม่ถือวิสาสะเกินไปใช่ไหมที่ผมจะคิดอย่างนั้น ก็แบบว่า...ดูสิ เค้าจูบตอบผม และกอดผมแน่นมากกว่าที่เคยทำ ผมรู้สึกโล่งอกและปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูกที่ได้กอดเค้าพร้อมกับจูบ พีต้าขยับตัวไปมา ผมทำให้เค้าหายใจลำบากขึ้นก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อรักษาชีวิตของเค้าในที่สุด
เด็กหนุ่มข้างตัวผมหอบฮั่ก หน้าแดงระเรื่อและริมฝีปากบวมเจ่อนอนตะแคงอยู่ในอ้อมกอดของผม
ก่อนผมจะเลื่อนนิ้วหัวแม่มือไปเกลี่ยริมฝีปากที่ขึ้นสีของพีต้าแล้วพูด “เฮ้ นายไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะพูดคำนั้นออกไปได้น่ะ”
“ฉันไม่เห็นว่านายจะกังวลอะไรเลยฟินนิค” พีต้ากล่าวบอกเป็นนัยว่าผมโกหก
“ยากสิ
มันยากแน่นอนพีต้า
แต่นั่นมันก่อนที่ฉันจะรู้ว่านายก็...” ผมยิ้มแล้วก็จูบแก้มที่ขึ้นสีเข้มมากกว่าเดิมของเค้า ก่อนพีต้าจะยอมแพ้แล้วผลักผมออก
“โอเค นายจะพูดอะไรก็ได้แต่อย่าทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงจะได้ไหม”
เค้าคงหมายถึงที่ตัวเองหน้าแดง จะโทษผมคนเดียวเลยงั้นเหรอ?
“ฉันแค่จูบนายไปนิดเดียวเองนะ”
ผมจงใจไม่หมายถึงจูบที่เกือบทำเอาเค้าหายใจไม่ออก
ก่อนพีต้าจะหันมามองหน้าผมแล้วต่อยใส่ผม
“เฮ้!”
เค้าร้อง “ฉันเพิ่งบอก...” ผมเห็นเค้าเม้มริมฝีปากกลับเข้าไปแล้วหน้าแดงก่อนหันหน้าหนีผมไป
“พระเจ้า” พีต้าพึมพำกับตัวเอง แต่มีเหรอผมจะไม่ได้ยิน
ผมยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้แล้วยักไหล่ “โอเค ก็ได้” พลางลุกขึ้นตามเค้าก่อนจะกอดคอพีต้าไว้
“เอาล่ะ ทีนี้ฉันอยากรู้ว่าบ้านของนาย ที่นี่เป็นยังไงกัน?”
.
.
.
TBC.
------------------------------------------------------------------------------------------
อา อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!! อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!>< เจอกันแล้วค่ะ เจอกันแล้วววววววววว >////< โอยยยยยยยยย ถ้าหากอิฉันเป็นคนอ่านคงจะรอจนใจแทบขาดเลยค่ะ
55555 (เพราะอิไรท์ลงช้าไง)
เฮ้อออ ในที่สุดค่ะรีดขา พวกเค้าก็ได้เจอกันแล้ว Part 8 ค่ะ Part ที่
8! 55555 โอยยยยย คือแบบถ้ารีดลองนึกภาพตามนะคะฟินนิคปรากฏตัวในตอนที่มีแสงสีส้มของพระอาทิตย์ตกที่พีต้าชื่นชอบเป็นสีโปรดของตัวเอง เจอกันบนทุ่งหญ้าที่เค้ารัก และได้จูบกันที่บ้านเกิดของพีต้า....อร๊ายยยยยยยยยย!! เค้ามาหาหนูแล้วนะลูก เค้ามาหาหนูล่อวววว Part นี้ไรท์จะโหยหวนเป็นพิเศษค่ะ
เพราะว่า....นี้เป็นครั้งแรกที่รอมาเนินนานนน
หลังจากที่ทั้งสองผลัดพรากกันก็ได้เจอกันเสียทีค่ะ //ปาดน้ำตา//
วรรคนี้ >>
“ใช่ เพราะนาย” ผมพูด “นายทำให้ฉันคิดว่าบางที่ฉันอาจยังไม่พร้อมที่จะตาย”
แก้มของเค้าอุ่นขึ้นเมื่อผมเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไปมาอย่างเชื่องช้า สบตาสีน้ำตาลคู่นั้นและจ้องมองลงไปอย่างไม่หลบเลี่ยงเหมือนเช่นเมื่อก่อน
“เพราะมีหลายอย่างที่ฉันต้องบอกให้นายรู้พีต้า” แก้มของพีต้าอุ่นขึ้นในตอนที่ผมประคองมันไว้แล้วก้มลงจูบเค้า
ให้ฟัง Epic Trailer | Disney's Cinderella
Official - Audiomachine - Above and Beyond & Switch – Aeon ตั้งแต่นาทีที่
3.00 เป็นต้นไปค่ะ (อันต้นๆ ก็ดีค่ะ 555) แล้วพออ่านถึงตอนที่ “แก้มของพีต้าอุ่นขึ้นในตอนที่ผมประคองมันไว้แล้วก้มลงจูบเค้า”
ตรง จูบเค้า ถ้าพอฟังถึงตรงนาทีที่
4.44 แล้วมันใช่เลยค่ะ.....เพลงกับฟิคปะทะกันดังเปรี้ยง! อารมณ์ประมาณว่าหลังจากที่รอที่จะเจอกันอย่างเป็นไปไม่ได้มานานแสนนานเพราะพีต้าก็คิดว่าฟินิคตายไปแล้วแต่ก็โหยหาการมีอยู่อีกครั้งของร่างสูงเป็นอย่างมาก
แต่เจ้าตัวน้อยก็ยังหวัง T^T
แล้วเค้าก็ได้เจอกันแล้วก็จูบกัน โดยที่ทุกอย่างได้มลายหายไปหมดแล้วค่ะ ทั้งสงครามและความความกังวลในความรู้สึกของฟินนิคว่าพีต้าจะรู้สึกอย่างไรกับตน โอยยยยยยย
ไอ้ตรงที่ 4.44 เนี่ย มันใช่เลยค่ะ
แบบมีลมพัดเข้ามาปะทะด้วยนะเออ โอยยยย
อินค่ะ อิน แล้วฟังต่อด้วย Beauty and the Beast
Official Trailer Music - Really Slow Motion - Reborn - Epic Trailer – EMVN นะคะ คือดีค่ะ
หาคำบรรยายไม่ถูกค่ะ
เป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะที่พวกเค้าได้เจอกันอีก ฮ่อลลลลล ตอนหน้าจะเป็นยังไงติดตามชมกันด้วยนะคะ
^^ ยังไม่บรรลุความต้องการของรีดๆ
ในขั้นสุดท้ายเลยค่ะ อืมมม ที่มีตัว N กับตัว C
ใช่ไหมคะ ไรท์น่าจะจำไม่ผิดนะ ฮิๆๆๆ
รอ Part เลยเจ้าค่ะ >< อย่าลืมไลค์เพจ และหากอยากคุยเข้ามาคุยกันได้ที่เฟสไรท์นะคะ ^^
แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด ฮ่อลลลลลล //ปาดน้ำตา//
ขอบพระคุณทุกท่านนะคะ รักรีดทุกคนโลยค่ะ >< ลาด้วยความหล่อของฟินนิคและความน่ารักของพีต้าค่ะ ฮ่อลลลล
ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น