ง่าาาาา มาต่อแล้วค่าาา >< สวัสดีค่ะรีดๆ
ที่น่ารักทุกท่านนนนนน ไรท์มาต่อแล้วค่ะ
งือ ฮาาาา ช่วงนี้ความกดดันและตื่นเต้นใกล้เข้ามาค่ะ ไรท์กำลังจะเปิดเทอมแล้วววววว ><
และยุ่งมากๆ เลยค่ะ
แพ็คของซะอูยยยยยยยยยยยยยยย ไรท์ไม่ได้อะไรเลยค่ะ แต่แม่ไรท์นี่สิคะ -*- ท่านแม่สุดยอดดดดด เหมือนแม่ไปอยู่เองเลยค่ะ ของเยอะมากกกก
ส่วนคนเหนื่อยก็คือไรท์เต็มๆ เลยค่ะ TUT //หัวเราะทั้งน้ำตา//
Part นี้เป็น Part ที่ไรท์มโนเองอีกแล้วล่วนๆ
เลยค่ะ 5555555 และกำลังจะก้าวเข้าสู่เนื้อเรื่องแล้วค่ะ เอ่อ
อย่าเอ่ยถึงมากดีก่าเนอะ ^^
มันชวนเครียดมากกกก 55555
วันนี้ไรท์มิมีอะไรเมาท์มากค่ะ
ฮาาาาา เอาเป็นว่าไปอ่านกันเล้ยค่าาาาา >{}<
-----------------------------------------------------------------------------------------------
.
.
**********************************************************************************
.
.
เป็นเวลาใกล้เย็นแล้วของวันนี้
ผมกำลังเร่งปลีกตัวออกมาจากศูนย์ควบคุมพลเรือนให้ได้เนื่องจากมีผู้คนที่ชอบตั้งคำถามนอกรอบกับผม
มายืนซักถามถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เต็มไปหมดมากมายนักจนผมแทบไม่มีช่องให้ออกเลย
หลังจากที่เราเพิ่งจบการประชุมเรื่องแผนการเคลื่อนย้ายพลเรือนทั้งหมดแบบรวดเร็วในเวลากระชันชิดเสร็จไปหมาดๆ
ผมกำลังรีบ....รีบไปหาพีต้า
และเชื่อว่าเด็กหนุ่มผมสีสว่างตาก็กำลังไปรอผมที่ลานกว้างที่ๆ
เราซึ่งชอบไปพบกันบ่อยๆ แน่นอน และเหตุผลหลักๆ นั้นไม่ใช่อะไรเลย
คงจะหนีไม่พ้นความสนใจของส่วนตัวพีต้า
ที่เจ้าตัวชอบานั่งดู พร้อมกับซึมซับเอาบรรยากาศอันสวยงามของพระอาทิตย์ตอนลับขอบฟ้าไปด้วย
“ขอบคุณครับ....เอ่อ ไม่ครับ ผมคาดว่าเราคงจะไม่ตื่นตัวถึงขนาดนั้น เราจำต้องนึกถึงพลเรือนคนอื่นๆ ด้วย”
ผมหันไปพูดกับชายคนหนึ่งที่ถามคำถามฉุดร่างกายของผม
ในขณะที่ขาข้างหนึ่งของผมก้าวพ้นออกจากประตูไปแล้ว
แต่ไม่ทันไรก็มีอีกคนหนึ่งดักหน้าอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของประตูเสียแล้ว ผมบอกปัดเค้าไป พร้อมทั้งส่งต่อไปยังคนอื่นๆ
ด้วย
“ไม่ครับ...ขอบคุณ” ผมก้าวขาทั้งสองและพาตัวของตัวเองออกมาจนได้ ประตูปิดลงในที่สุด........อ่า อึดอัดชะมัดเลย ผมไม่คิดว่าจะมีคนรุมเร้าถามคำถามเยอะขนาดนี้
ผมไม่น่าประมาทการเปิดหัวข้อประชุมด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเลย
น่าจะชวนพลูตาร์ชมาด้วย หรือไม่เฮย์มิชก็ยังดี เค้าตวาดคนให้เงียบได้ภายในประโยคเดียว ซึ่งนั้นผมทำไม่ได้
ผมเดินออกมาจากกองพลเรือน รู้สึกถึงสายลมที่โบกพัดมาระรอกหนึ่ง
ผมหยุดอยู่กับที่แล้วรู้สึกถึงสายลมที่ไล่เลียอยู่บนไรขนอ่อนทั่วใบหน้าและแขนของผม
จนกระทั่งผมเงยหน้าเหม่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่บัดนี้เริ่มไม่เป็นสีส้ม วันนี้อาจผิดพลาดไปจากที่ผมคิด
.................ไม่มีแสงอาทิตย์อาบขอบฟ้าในวันนี้.............
ภาพท้องฟ้าเบื้องบนของเราทุกคนตอนนี้ดูอึมครึมเป็นอย่างมาก
และเป็นสีเทาจากเมฆหนาทึบที่ก่อตัวอยู่อย่างไร้สัญญาณบอกกล่าว กระแสลมเริ่มพัดระรอกมาบ่อยขึ้น...........ดูท่าวันนี้ฝนคงจะตก........ผมหวังว่าคงจะได้พบกับพีต้าก่อนที่ฝนจะตกลงมาหรอกนะ เพราะเค้าป่วยง่ายเอามากๆ
ผมเป็นห่วงเค้าเสมอ
เพราะผมรู้ว่าเค้าเป็นเช่นไร
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมเก็บเงียบมาตลอด
โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าผมแอบมองหรือสังเกตพีต้าอยู่ตลอดเวลา
และผมหวังว่าผมคงจะเดาผิดไป เรื่องพายุ.........เพราะเมฆเทาทึบและสายลมแรงพัดพาเอาเหล่าใบไม้หลุดโรยออกจากต้นนั้นไม่ใช่สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็น และมันคงจะไม่ใช่แค่ฝนตกธรรมดาๆ เสียแล้ว ผมพินิจอยู่นานแล้วตั้งแต่ตอนกลางวัน........
ฝูงนกบินกันให้ว่อน ตอนแรกก็ไม่เยอะเท่าไรนักหรอก
แต่พอนานเข้าผมก็รู้สึกว่าแทบจะไม่เหลือสัตว์ต่างๆ
อยู่ในพื้นที่นี้เลย............ป่ากลับเงียบ
มีเพียงเสียงของใบไม้เท่านั้นที่ได้รับการโรมรันมาจากลมหอบใหญ่ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอาเสียเลย
รู้ไหม
บางครั้งพวกสัตว์ก็มีสัญชาติญาณรับรู้เรื่องภัยพิบัติต่างๆ
ได้รวดเร็วมากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก
สัตว์เข้าใกล้ธรรมชาติและเรียนรู้มากกว่าเราหลายเท่าตัวนัก
...............เรื่องนั้นผมเชื่อนะ.............
แต่ขอให้ครั้งนี้ผมคิดผิด..........คงไม่ดีนักหากมีพายุจริงๆ
ไม่ใช่แค่ว่าผู้อพยพในกองกำลังของเราจะต้องประสบปัญหากับเรื่องฟ้าฝนที่ตามมา แต่นั่นหมายถึงเรดาห์สำหรับตรวจจับของเราก็จะพลอยแย่ไปด้วยเช่นกัน อาการมันย่ำแย่มาตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว
มีพายุช่วงนี้คงไม่ดีแน่
ผมนึกอยากเห็นแสงอาทิตย์ร้อนแรงยามเย็นกลับมาแทนที่บนท้องฟ้าเหมือนเดิมเสียแล้ว
ผมเดินเร่งฝีเท้าไปเรื่อยๆ
เดินตัวปลิวผ่านเหล่าหัวหน้าหน่วยที่ผมพึงจะต้องทักทายทุกครั้งไปที่ได้เจอหน้ากัน
พวกเค้าทักทายผมก่อนเมื่อผมไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยอย่างเช่นทุกครั้งที่เจอกัน
ดังนั้นผมจึงต้องยิ้มให้พวกเค้าเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไป ผมไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่หอกคู่กาย
เพราะจากการได้อยู่ที่นี่มาร่วมหลายต่อหลายเดือนทำให้ผมรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมีอาวุธติดตัวอย่างระแวดระวังเว้นซะแต่เวลาที่ต้องออกลาดตระเวน
หอกของผมอยู่ที่คลังเก็บสัมภาวุธ
แต่แล้วจู่ๆ
ผมก็กลับถูกเรียกเพื่อฉุดการก้าวเดินอีกครั้ง
“เฮ้ ฟินนิค....เอ่อ คุณโอแดร์.....เอ่อ
ฉันหมายถึงฟินนิค ฉันเรียกนายชื่อนั้นได้ไหม นี่ก็นอกเวลางานแล้ว”
ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำที่ดูแข็งแรงยังกับกำแพงเมืองยักไหล่ใส่ผมนิดๆ เค้าดูไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกมา แต่ผมจำเค้าได้
“ครับ ได้ครับคุณเอเฟตส์” ผมยิ้ม ยักไหล่กลับไปและตอบอย่างมีมารยาทเพราะเค้าอายุมากกว่าผม พลางคิดแหย่ๆ
ในใจอย่างตัดพ้อกับตัวเองไปด้วย...........อ๋อ ใช่พวกคุณมีเวลาเลิกงาน
แต่ผมไม่มีหนิ
แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับตอนนี้
“มีอะไรหรือครับ” ผมถามตรงประเด็น
อาจจะต้องปล่อยให้พีต้าเตร็ดเตร่และไปถึงที่นั่นก่อนสักพักหนึ่ง
คุณเอเฟตส์ไม่มีท่าทีที่เป็นทางการนัก
แต่ผมก็รู้ว่าเค้าผ่านอะไรหลายอย่างมากนักแล้วในชีวิต และเค้าก็ดูเกรงใจผม
แผลเป็นตรงใต้ตาของเค้าขยับเมื่อเค้าเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเริ่มบทสนทนา “เอ่อ....ฉันรู้นะว่านายก็มีเวลาพัก”
เค้ารู้มาผิด
“....และนี่ก็นอกเวลาแล้วสำหรับนาย แต่ว่ามีบางอย่างผิดปรกติบนเรดาห์ พวกเค้าอยากให้นายไปดู.....พวกเค้าบอกว่านายเคยรู้ความลับของแคปปิตอลมาหลายอย่าง
นายน่าจะรู้ แต่ถ้ามันไม่ใช่นั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา ผู้บังคับบัญชากำลังรอนายอยู่ที่หอบังคับการน่ะฟินนิค”
นั่นไง น่าจะมีคนบอกเค้าใหม่เรื่องเวลาทำงานของผมนะ
แต่เดี๋ยวนั่นไม่ใช่ประเด็น..........บนเรดาห์มีเรื่องผิดปรกติอย่างนั้นหรือ?
ถ้ามันมีปัญหาเรื่องการอ่านค่าบนจอตอนเจอพายุก็คงจะไม่แปลกหรอก ติดเสียแต่ว่าตอนนี้พายุยังมาไม่ถึงนี่สิ
.............บางทีมันอาจเสีย ระบบเกือบจะไปไม่รอดแล้ว
และต้องได้รับการรีบูทปรับเปลี่ยนใหม่ บีทีเคยบ่นกับผมไว้ว่าอย่างนั้น
แต่ด้วยสถานการณ์ที่เรายังคงไม่สามารถไว้วางใจได้
เค้าจึงยังไม่ทำการปรับเปลี่ยนใหม่
บางทีที่คุณเอเฟตส์มานี่
อาจเป็นเพราะเรดาห์รวนตามปรกติอีกแล้ว...............
ผมนึกเข้าข้างตัวเองในแง่ดี
แต่หลังจากที่คุณเอเฟตส์ส่งข่าวเสร็จผมก็รีบหันหลังหนีเค้าทันที
“ต้องไปตรวจดูโดยรอบเสียก่อน” ผมว่า
หันไปทางหอสังเกตการณ์ย่อยทางทิศตะวันออก
สายตาของผมจอบจ้องไปที่กลุ่มเมฆซึ่งก่อตัวใหญ่ขึ้น.......ผมต้องไปดูให้แน่ใจเสียก่อน
“ผมจะตามไปหาพวกเค้าหลังจากที่สำรวจเสร็จแล้ว.....”
ผมไม่อยากทำตัวตื่นตูมเพราะเรดาห์รวนเหมือนคนอื่นๆ
จนอาจทำให้เกิดความแตกตื่นที่จะนำพามาซึ่งความเสียหายได้อีก ผมหันกลับไปเอ่ยกับคุณเอเฟตส์น้อยๆ
“.....ขอบคุณมากครับ”
ผมกล่าวแค่นั้น
ก่อนจะวิ่งออกไปทางหอที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของผมในตอนนี้ คุณเอเฟตส์วิ่งตามผมมา
ไม่สนใจแล้วว่านี่คือเวลาเลิกกะของเค้า
นั่นอาจเป็นเพราะท่าทางที่ชอบทำอะไรปุบปับไปของผม........แต่เชื่อผมเถอะ ถ้ามันมีอะไรนอกเหนือจากเรื่องเรดาห์เสียจริงๆ
ผมก็รับมือได้ถูกแล้ว
และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บู๊ตของผมจะพาเรามาถึงยอดหอสังเกตการณ์ทิศตะวันออกที่ตั้งตระง่าต้านกระแสลมแรงอยู่..........โอเค
ได้ พอมาถึงตรงนี้แล้วผมเชื่อด้านแย่ๆ
ในแง่ลบของตัวเองก็ได้ว่าพายุกำลังจะมา
แต่แค่การที่พายุกำลังมาทางนี้คงจะไม่ได้ทำให้พวกผู้บังคับบัญชาตื่นเต้นจนต้องเรียกหาตัวผมเป็นแน่ ทันทีที่ขึ้นไปถึง
นายทหารที่เฝ้าหอสังเกตการณ์ก็หันมามองหน้าใคร่สงสัย
ก่อนจะรีบทำความเคารพอย่างไวโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน ว่าผมจะโผล่หัวขึ้นมาที่นี่
“เกิดอะไรขึ้น”
คุณเอเฟตส์ถามนายทหารประจำหอ
ขณะก้มดูจอแสดงผลที่มีนายทหารกำลังกดแป้นกำกับอยู่ ลมเริ่มโหมแรงขึ้น
ผมคิดว่าเค้าไม่จำเป็นต้องถามพอให้เป็นพิธีหรอกนะ มันก็เห็นๆ กันอยู่ “พายุ” ผมกล่าว
“มันกำลังมา....โหมแรงมาก” และถึงแม้จะไม่หันหน้าไปมอง ผมก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังของผมจะต้องทำหน้างงงวยกันอยู่แน่ๆ
นั่นก็เพราะว่า พวกเค้ายังไม่เห็นการก่อตัวของพายุที่เสร็จสมบรูณ์เลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ลมกระโชกเบาๆ เท่านั้น
แต่ถ้าผมไม่รู้เรื่องรอบตัว
พลูตาร์ชก็คงจะไม่ดึงผมเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้เป็นแน่...............
ผมยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหยียบขอบกำแพงเตี้ยๆ
และใช้มือข้างหนึ่งจับเสาหินแข็งแรงเพื่อให้โหนตัวออกไปข้างหน้าได้มากขึ้น สายลมพัดเอาเส้นผมของผมลู่ไปด้านหลัง
ผมหรี่ตาเพื่อสู้กับกระแสลมที่เริ่มแรงมากขึ้นไปอีก
“เอ่อ...ฟินนิคฉันว่านายน่าจะถอยห่างออกมานะ
ลมนั่นแรงเกินไปขืนยื่นตัวออกไปอย่างนั้นมีหวังได้ตกลงไปจูบพื้นแน่ๆ”
เสียงตะโกนของคุณเอเฟตส์ดังอยู่ข้างหูผม.....ไม่
ลมพายุไม่เบาขนาดนี้หรอก
มันต้องแรงกว่านี้สิ
“เงียบก่อน ได้โปรด...เงียบก่อนทุกๆ คน!”
ผมตะโกนกลับไปท่ามกลางเสียงวุ่นวายของทหารสองสามนายและคุณเอเฟตส์ที่ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ก่อนพวกเค้าจะยอมเงียบทันทีที่ผมบอก ดังนั้นผมจึงยื่นหน้าออกไปปะทะลมที่พัดเข้ามาให้ได้มากที่สุด แล้วหรี่ตาลงจนเกือบปิดเพื่อฟังเสียง.........
เสียงของใบพัด!
ผมกระชากตัวออกมาจากขอบกำแพงอย่างรวดเร็วและตะโกนขึ้นสุดเสียง
“ส่งสัญญาณเตือนภัย เราถูกบุก! ศัตรูรู้ตำแหน่งของเราแล้ว!”
ผมขมวดคิ้วแน่น ทหารหนุ่มนายหนึ่งมีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างสุดขีดก่อนจะกระแทกฝ่ามือลงไปที่ปุ่มเตือนภัยอันใหญ่ประจำหอสังเกตการณ์นี้
และในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นเสียดแทงแก้วหูของเราทุกคน ผมได้ยินเสียงฮือฮาอื้ออึง
จนกระทั่งมันเปลี่ยนเป็นเสียงวุ่นวาย............มันเกิดขึ้นได้ยังไง พวกแคปปิตอลหาเราเจอได้อย่างไร!?
เราจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือ
เพราะไม่ใช่แค่กบฏอย่างเราที่จะได้ยินสัญญาณเตือนภัยของตัวเอง
พวกศัตรูที่อยู่ข้างนอกนั่นก็ได้ยินเหมือนกัน...........พวกมันรู้แล้วว่าเรารู้ตัว
“ออกไปจากที่นี่!” ผมตะโกน คุณเอเฟตส์อยู่ใกล้ผมมากที่สุด
“แจ้งฐานว่าเรากำลังเจอกับอะไร นี่ไม่ใช่เหตุฉุกเฉิน นี่คือเหตุการณ์ขั้นวิกฤต
เคลื่อนย้ายพลเรือนเดี๋ยวนี้เราต้องไปเขต 13 กันเดี๋ยวนี้เลย!” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลมที่ตีพัดโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว.......ไม่
นี่ไม่ใช่ลมของฤดูกาลแล้ว
เราทยอยลงไปจากหอสังเกตการณ์ย่อย
แต่มีทหารนายหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหาปืน ผมรั้งท้ายจึงพูดใส่เค้า “ออกไปจากที่......”
ตูมมมมมม!!
แต่แล้วจู่ๆ
เสียงระเบิดก็ดังขึ้น
เสียงหินแตกกระจายดังอยู่ข้างหูผม
กำแพงกระเด็นออก ฝุ่นจากเศษหินและปูนคลุ้งกระจายไปรอบตัวของเรา และพวกเราก็กระเด็น
ลอยคว้างอยู่กลางอากาศก่อนจะตกลงสู่พื้นอย่างแรง
ตัวผมกระแทกจากแรงระเบิดลงมาบนสนามหญ้าด้านหลังของหอสังเกตการณ์พร้อมกับนายทหารคนนั้น
ผมหูอื้อ มันส่งเสียงวิ้งตลอดการลืมตาขึ้นแล้วมองออกไปรอบตัว
ผมเห็นแสงสีส้มแดงกระจายตัวไปทั่วทั้งหอสังเกตการณ์รอบแนวกำแพงของเรา
นายทหารที่หาปืนไม่เจอนอนแน่นิ่งอยู่ข้างผมพร้อมกับปืนของเค้าที่คงจะไม่มีวันได้ใช้งานอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่
ผมเข้าไปจับชีพจรบนต้นคอของเค้า........เค้าตายแล้ว โอเค เค้าชีวิตสั้นไปหน่อยผมยอมรับ
แรงอัดมหาศาลและแรงสะเทือนของแผ่นดิน
ไหวโครงอยู่ใต้ตัวผม.........การระเบิดทำเอาสภาพแวดล้อมรอบข้างฟุ้งตลบเต็มไปด้วยฝุ่นควันที่แสนจะกระจัดกระจาย เขตอพยพตอนนี้ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง
และหูของผมก็เริ่มกลับมาได้ยินเสียงอีกครั้ง
ผมเริ่มออกวิ่งไป
คว้าปืนของทหารที่เพิ่งตายไปด้วยในขณะที่มีระเบิดอีกลูกหนึ่งหม่งลงสู่พื้น
ตูมมมมมม!
พื้นสะเทือนอีกครั้ง
แต่ดีที่ผมก้มตัวไว้จึงไม่เสียหลักล้มลงไปเสียก่อน และคราวนี้ผมก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้อพยพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้............พวกเค้ากำลังถูกฆ่า
“บ้าเอ้ย!”
ผมจึงตัดสินใจวิ่งออกไปยังเขตของพลเรือน.........ใช่ ผมควรทำแบบนี้
เป็นใครก็ต้องทำใช่ไหมล่ะ
มีคนกำลังเดือดร้อนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ผมจำเป็นต้องช่วยพวกเค้า แต่ที่ทำให้ผมต้องสบถอกมาก็คือ พีต้า ผมไม่รู้ว่าเค้าอยู่ที่ไหน ผมไม่สามารถไปหาเค้าได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าจะเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าทำได้ผมคงจะตัดสินใจเลือกวิ่งไปหาเค้าแล้ว...........ใช่ นั่นถ้าทำได้
แต่ผมไม่รู้ว่าในสถานการณ์อย่างนี้แล้วพีต้าจะอยู่ที่ไหนกัน!
เพราะฉะนั้นผมจะเสียเวลาโดยที่ไม่เกิดประโยชน์ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด อะไรที่ทำได้ในตอนนี้ก็ต้องทำไปก่อน
..................พีต้าฉันขอโทษนะ แต่ฉันจะไปหานายแน่นอน.............
ผมพร่ำบอกกับตัวเอง
หวังว่าควันไฟอันคุกกรุ่นรอบตัวจะพัดพาเอาข้อความของผมไปหาเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าผมอยู่ไหนด้วย
เพราะผมกลัวจับใจว่าเค้าจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า
และหลงคิดไปว่าผมจะทอดทิ้งเค้าแล้ว............ไม่ ผมไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก!
ผมวิ่งผ่านกำแพงและซากปรักหักพังไปพบเข้ากับพวกแคปปิตอลส่วนหนึ่งกับยานลำเล็กอีกลำหนึ่งกำลังระดมยิงใส่พลเรือนที่แย่งกันวิ่งหนีอย่างจ้าละหวั่น
ถึงจะมาถึงแล้วแต่ผมก็ยังห่างออกไปมาก........มันอาจไม่ทันการ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจช่วยพลเรือนกลุ่มนั้นด้วยการยิงยานที่อยู่บนหัวของพวกแคปปิตอลจนมันตกลงมา พลเรือนไม่เป็นอะไรมาก
พวกเค้าโดนสะเก็ดนิดหน่อย
และพวกแคปปิตอลนั่นก็โดนเครื่องบินระเบิดใส่
ผมทำได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้
หากเค้าร้องเรียนถึงการคุ้มครองพลเรือนที่ถูกต้องล่ะก็ ผมจะบอกเค้าไปว่า “ก็แล้วไงล่ะ ผมมีคนเดียวนี่” ใช่
นั่นอาจเป็นประโยคที่ผมจะพูดออกไปเมื่อเค้าเรียกร้องอย่างงั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผมได้ยินเสียงไอพ่นและใบพัดที่แตกต่างออกไป
ผมจึงเงยหน้ามองขึ้นฟ้าและยิงปืนขึ้นไปเพื่อให้สัญญาณ
..........อากาศยานอพยพ...........
พลเรือนอยู่ตรงนี้ เราต้องทำการเคลื่อนย้าย มีคนเจ็บอยู่ด้วย
หลังจากเรียกร้องความสนใจให้ยานทำการร่อนลงมาในบริเวณนั้นได้แล้ว
ผมก็วิ่งเข้าไปดูคนที่บาดเจ็บ.......ทุกคนโอเค
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่บนยานวิ่งเข้ามา
ช่วยทำการเคลื่อนย้ายพลเรือนอย่างรวดเร็วเฉกเช่นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดี
“เราจะอพยพทั้งหมดเท่าที่จะทำได้!”
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งแบกปืนไว้แล้วตะโกนใส่ผม เพื่อบอกกล่าว ผมสังเกตเห็นยศของเค้า
“ทำไมล่ะจ่า!”
ผมตะโกนถามกลับไปอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก
เสียงเครื่องยนต์และเสียงระเบิดดังขึ้นอยู่รอบตัวเรา
“พวกแคปปิตอลเต็มไปหมด! ผมไม่รู้ว่าจะมีพลเรือนเหลือรอดมากแค่ไหนกัน
แต่ยานของเราจะเป็นลำสุดท้ายที่บินขึ้นเพื่อรองรับพลเรือนที่ตกค้าง ยานอพยพลำอื่นประจำพื้นที่แล้วและกำลังบินขึ้น!” เค้าตะโกนกลับมา
แล้วนิ่งไว้ดูคล้ายว่ากำลังรอให้ผมขึ้นยานไปนั่งรอการอพยพครั้งสุดท้าย.......แต่ผมไม่ทำ
นี่ล้อเล่นกันรึเปล่าผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีพีต้า เค้าอยู่ที่ไหน!
ผมนึกขอบคุณทีมอพยพที่ทำงานกันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผมไม่เสียเวลาตามหาพีต้า แต่ข่าวร้ายก็คือ ผมไม่รู้ว่าเค้าอยู่ไหนนี่สิ!
โอ้ พระเจ้า
พีต้านายอยู่ที่ไหน
ผมตะโกนหาอย่างไร้ประโยชน์
“พีต้าาาา!”
.
.
*****************************************************************************
.
.
ฟินนิค โอแดร์ วิ่งฝ่าฝูงชน
ที่พากันวิ่งกรูส่งเสียงวุ่นวายแย่งกันขึ้นยานอพยพลำสุดท้ายกันอย่างโกลาหน
ชายหนุ่มร่างสูงวิ่งไปทางตึกบัญชาการเพราะคิดว่าเด็กหนุ่มที่เค้ากำลังตามหาอยู่นั้น
คงจะต้องอยู่ที่นั้นเป็นแน่
หรือไม่ก็คงจะกำลังวิ่งออกมาทางนี้
แต่ทว่าถึงเค้าจะตะโกนเรียกหาเสียงดังมากเพียงใดก็ไร้สัญญาณตอบรับจากเด็กหนุ่มผู้อ่อนโยน
“พีต้า!
พีต้า! พีต้านายอยู่ที่ไหน พีต้า!” ฟินนิคถูกชนซ้ำแล้วซ้ำเหล่าท่ามกลางฝูงชนที่ไม่สนใจแล้วว่าเค้าจะเป็นใคร
ก็ยังคงไม่ลดละความพยายาม........ไม่มีใครเห็นพีต้าเลย ไม่มี!
ผู้คนเริ่มบางตาลงแต่ก็ไร้วี่แวว
ท้องฟ้าที่มืดครึมด้วยเมฆทมิฬก็ถูกอาบไปด้วยสีแดงฉานของก่อเพลิงและการระเบิด
ชายหนุ่มผมสีบล์อนทองสะท้อนกับกองไฟที่เกิดจากการระเบิดมีสีไม่ดีระคนว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง ฟินนิครู้สึกเหมือนโดนเสียบเข้าที่หัวใจ
“โอ้พระเจ้า.....ได้โปรดเถอะพีต้า
นายอยู่ไหน ได้โปรดเถอะ กลับมาหาฉันนะ”
เค้าอ้อนวอน
สีหน้าเจ็บปวดจวนจากการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด............ไม่น่าเลย เค้าไม่น่าชักช้าเลย
น่าจะรีบมาหาพีต้าก่อน
มาให้เร็วกว่านี้...........พีต้า
เสียงระเบิดดังขึ้นอีก ฟินนิควิ่งเข้าไปในตึกแต่ก็เจอเข้ากับเฮย์มิชที่วิ่งแห่กระเชิงออกมาจากตึกเสียก่อน
“หนีเร็วเจ้าหนุ่ม ระบบล่มแล้ว
พวกมันมากันเต็มไปหมดกะล้างบางเราทั้งบางเลย!” เค้าตะโกน
ยังคงไม่หมดสภาพของคนเมาแต่ทว่าเฮย์มิชก็มีสติในเวลาเดียวกัน
ชายขี้เมาแต่ตื่นตัวดึงแขนแกร่งข้างหนึ่งของฟินนิคให้วิ่งตามไปด้วย แต่ก็โดนสะบัดออก
“พีต้า คุณเห็นพีต้าไหม!”
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งถามเสียงระรัว
เฮย์มิชจึงบอกชายหนุ่มว่าพีต้าอยู่กับแคทนิส พวกเค้าคงกำลังตามมา แต่แล้วแคทนิสกลับวิ่งหนีหน้าตาตื่นออกมาคนเดียวในขณะที่กองบัญชาการใหญ่กำลังถล่มลงมา หญิงสาวผมสีเข้มที่วิ่งสวนออกมาพลันก็โดนคว้าไหล่เอาไว้
“แคทนิสแล้วพีต้าล่ะ!?” ฟินนิคถาม หัวใจเค้ากระตุกวูบก่อนจะหยุดเต้น
เค้าเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของแคทนิสไปมาและเผลอออกแรงมากไปอย่างร้อนรน
เธอมีสีหน้าช็อคและตื่นตกใจราวกับยังปะติปะต่อเรื่องราวยังไม่ได้ เสียงระเบิดยังคงดังอยู่เบื้องหลังของพวกเค้า
“ฉะ ฉัน ฉันไม่รู้!”
ฟินนิคมีสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
แคทนิสกำลังจะวิ่งขึ้นยานไปแต่เค้ากลับรั้งตัวเธอไว้
ออกแรงจับให้เธออยู่กับที่เฉยๆ “แต่เฮย์มิชบอกว่าเธออยู่กับเค้า!” ชายผู้ที่จิตใจไม่อาจเป็นสุขแล้วในขณะนี้ว่าเสียงห้วน เค้าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้
แคทนิสสะบัดแขนฟินนิคแต่ไม่หลุด
และเธอต้องยอมจำนนในที่สุด แคทนิสร้องไห้ฟูมฟาย
“เค้า...อึก....เค้าบอกว่าให้รีบหนี
เราวิ่งออกมาด้วยกันและ...และ
และ...ฮึก” แคทนิสเบนสายตาไปทางอื่น
“และอะไร!”
เธอโดนเขย่าอีก “อื้อ!” แคทนิสสะดุ้ง
ก่อนจะหลับตาแล้วกล่ำกลืนทุกสิ่งลงคอไป
เริ่มพูดก่อนฟินนิคจะรู้สึกรำคาญไปมากกว่านี้
“.....และเค้าเห็นเด็กผู้หญิง....ฮึก
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกับแม่ของเธอ...ตะ ติดอยู่ พีต้าเลยเข้าไปช่วย.....”
“แล้วเธอก็ทิ้งเค้ามาอย่างงั้นเหรอ!”
ฟินนิคเบิกตาโพลงแล้วตะคอกใส่เธอ
แคทนิสตวาดกลับ “ไม่! ฉันไม่ได้ทิ้งเค้า!
ฉันต้องไปหาแม่กับน้อง....”
“แล้วไหนพวกเธอล่ะ? ฉันไม่เห็นเลย”
ฟินนิคแจง
เค้าจำได้ว่าแคทนิสสะบัดหน้าหนีเค้าแล้วพยายามวิ่งขึ้นยานอพยพไป และทันทีที่ร่างสูงตรงหน้าว่า แคทนิสก็ถอยหลัง
ส่ายหน้าไปมาอย่างที่หาข้อปฏิเสธไม่ได้........เธอก้าวถอยอย่างขี้ขลาดและหวาดกลัว
ฟินนิคกัดริมฝีปากแล้วเข้ามาบีบไหล่ของเธออีกครั้งอย่างเจ็บแค้นแทนพีต้า
“เธอทิ้งเค้า” ดวงตาสีเทากวาดมองอย่างประเมินค่า
ซึ่งมันคงจะไม่สูงเท่าไรนักสำหรับแคทนิส “เธอไม่ควรทำแบบนั้นแคทนิส
เธอทำผิดพลาดอย่างมหันต์.......เธอไม่ควรทิ้งเค้าไว้
ฉันนึกว่าพีต้าเป็นเพื่อนของเธอซะอีก....เธอไม่ควรทำแคทนิส แต่เธอก็ทิ้งเค้าไว้ข้างหลัง!”
ฟินนิคส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
ก่อนจะปล่อยมือนั้นแล้ววิ่งสวนกับเฮย์มิชที่เดินเข้ามาหาเพื่อที่จะเร่งให้ทั้งสองไปจากที่นี่
ชายขี้เมามองแคทนิสที่หน้าเสียแล้วชี้ไปทางฟินนิค “นั่นเค้าจะไปไหนน่ะ”
แต่หญิงสาวไม่สามารถตอบเค้าได้
ยานลำสุดท้ายกำลังจะลอยลำขึ้น
และจะไม่มีอะไรได้ออกไปจากที่นี่อีกแล้ว........มันกำลังจะราบเป็นจุนจากการโจมตีของแคปปิตอล พวกเค้าซึ่งเป็นกบฏจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ฟินนิคกลับ...........
เฮย์มิชหันไปตะโกนขึ้นสุดเสียง
“ฟินนิคคค!”
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
กองเพลิงและซากตึกบัญชาการเป็นที่ๆ ฟินนิควิ่งหายเข้าไป ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
************************************************************************
“พีต้า....ฮั่ก อึก....พีต้า! นายอยู่ไหน!”
ตึก!
ตึก! ตึก!
“พีต้าถ้าได้ยินแล้วก็ช่วยตอบด้วย นี่ฉันเอง......พีต้าา!
พีต้า!” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง แต่ก็ไร้วี่แววเสียงที่ตอบกลับมา นอกเสียจากเสียงที่ปะทุของกองไฟในซากตึกรอบๆ
ตัวผม...........ได้
ในเมื่อไม่มีใครคิดที่จะมาตามหาเค้า ผมก็จะเป็นคนออกมาตามหาเค้าเอง ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าหากไม่มีพีต้า
.
.
.
TBC.
-----------------------------------------------------------------------------
อร๊ายยยยยยยยยยย! เกิดอะไรขึ้นนนนนนนนนนนนนคะ >[]<!!! โดนแคปปิตอลบุกแล้ววววววว >< อร๊ายยยยยย
ฟินนิครีบตามหาพีต้าเร็วววววว
แล้วแคทนิส! เธอทิ้งเค้าทำไมยะ!
>{}< //บ่งบอกเลยว่าไม่พอใจ//
ทิ้งพีต้าของฉันมาทำไม >< // สักพักโดนฟินนิคเอาหอกเสียบ..... ฟินนิค : พีต้าน่ะของฉัน
-*- //
เรื่องกำลังน่าติดตามเลยค่ะ ฟินนิคจะหาพีต้าเจอหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้ ตามชายหนุ่มทั้งสองแห่งเกมส์ล่าชีวิตไปด้วยกันเลยค่ะ ><
แปะเฟส ค่ะ >>แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด<< ตามธรรมเนียมนะเออ สามารถเข้าไปเป็นเพื่อนและร่วมพูดคุยกับไรท์ได้เลยค่ะ
^^ วันนี้ต้องขอตัวไปเขียนฟิคก่อนนะคะ รักรีดทุกท่านที่สุดเลยยค่ะ ><
ด้วยรักและแรบงหื่น
Ray - Aund
2 ความคิดเห็น:
บรั๊ยยยยย ไรท์ค่ะมันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว สนุกมากๆค่ะ😃😊😃 มาต่อเร็วๆนะคะรออ่านอยู่ แล้วก็ลุ้นไปด้วยนะคะเนี้ย.....ว่างแล้วรีบมาต่อน้าาาไม่ได้เร่งเล้ยยยยจริงจริ๊งงงงงง
อจ้ากกกกก!!!!ไรท์จ๋าาามาอัพต่อเร็วๆเถอะะะพลีสสสสสสสสส//อ้อน(?) [แต่รู้เริ่มจะอยากจับแคทนิสโยนทะเลยังไงๆชอบกล-.- ถถถถถ
#ต่อเร็วๆๆๆๆๆน่ะงับบบบ
แสดงความคิดเห็น