วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[SF - THG] + [Part 2] The Miracle...ขอปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแก่เรา - Finnick x Peeta



ง่าาาาา มาต่อแล้วค่าาา ><  สวัสดีค่ะรีดๆ ที่น่ารักทุกท่านนนนนน  ไรท์มาต่อแล้วค่ะ

งือ ฮาาาา  ช่วงนี้ความกดดันและตื่นเต้นใกล้เข้ามาค่ะ  ไรท์กำลังจะเปิดเทอมแล้วววววว  ><  และยุ่งมากๆ เลยค่ะ  แพ็คของซะอูยยยยยยยยยยยยยยย  ไรท์ไม่ได้อะไรเลยค่ะ  แต่แม่ไรท์นี่สิคะ -*-  ท่านแม่สุดยอดดดดด  เหมือนแม่ไปอยู่เองเลยค่ะ  ของเยอะมากกกก  ส่วนคนเหนื่อยก็คือไรท์เต็มๆ เลยค่ะ TUT  //หัวเราะทั้งน้ำตา//

Part  นี้เป็น Part ที่ไรท์มโนเองอีกแล้วล่วนๆ เลยค่ะ 5555555  และกำลังจะก้าวเข้าสู่เนื้อเรื่องแล้วค่ะ  เอ่อ  อย่าเอ่ยถึงมากดีก่าเนอะ ^^  มันชวนเครียดมากกกก 55555

วันนี้ไรท์มิมีอะไรเมาท์มากค่ะ ฮาาาาา  เอาเป็นว่าไปอ่านกันเล้ยค่าาาาา  >{}<


-----------------------------------------------------------------------------------------------


.


.


**********************************************************************************


.


.


เป็นเวลาใกล้เย็นแล้วของวันนี้  ผมกำลังเร่งปลีกตัวออกมาจากศูนย์ควบคุมพลเรือนให้ได้เนื่องจากมีผู้คนที่ชอบตั้งคำถามนอกรอบกับผม มายืนซักถามถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เต็มไปหมดมากมายนักจนผมแทบไม่มีช่องให้ออกเลย  หลังจากที่เราเพิ่งจบการประชุมเรื่องแผนการเคลื่อนย้ายพลเรือนทั้งหมดแบบรวดเร็วในเวลากระชันชิดเสร็จไปหมาดๆ

ผมกำลังรีบ....รีบไปหาพีต้า และเชื่อว่าเด็กหนุ่มผมสีสว่างตาก็กำลังไปรอผมที่ลานกว้างที่ๆ เราซึ่งชอบไปพบกันบ่อยๆ  แน่นอน  และเหตุผลหลักๆ นั้นไม่ใช่อะไรเลย คงจะหนีไม่พ้นความสนใจของส่วนตัวพีต้า  ที่เจ้าตัวชอบานั่งดู พร้อมกับซึมซับเอาบรรยากาศอันสวยงามของพระอาทิตย์ตอนลับขอบฟ้าไปด้วย

“ขอบคุณครับ....เอ่อ ไม่ครับ  ผมคาดว่าเราคงจะไม่ตื่นตัวถึงขนาดนั้น  เราจำต้องนึกถึงพลเรือนคนอื่นๆ ด้วย” ผมหันไปพูดกับชายคนหนึ่งที่ถามคำถามฉุดร่างกายของผม ในขณะที่ขาข้างหนึ่งของผมก้าวพ้นออกจากประตูไปแล้ว แต่ไม่ทันไรก็มีอีกคนหนึ่งดักหน้าอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของประตูเสียแล้ว  ผมบอกปัดเค้าไป พร้อมทั้งส่งต่อไปยังคนอื่นๆ ด้วย

“ไม่ครับ...ขอบคุณ” ผมก้าวขาทั้งสองและพาตัวของตัวเองออกมาจนได้  ประตูปิดลงในที่สุด........อ่า  อึดอัดชะมัดเลย  ผมไม่คิดว่าจะมีคนรุมเร้าถามคำถามเยอะขนาดนี้  ผมไม่น่าประมาทการเปิดหัวข้อประชุมด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเลย น่าจะชวนพลูตาร์ชมาด้วย หรือไม่เฮย์มิชก็ยังดี เค้าตวาดคนให้เงียบได้ภายในประโยคเดียว  ซึ่งนั้นผมทำไม่ได้

ผมเดินออกมาจากกองพลเรือน  รู้สึกถึงสายลมที่โบกพัดมาระรอกหนึ่ง  ผมหยุดอยู่กับที่แล้วรู้สึกถึงสายลมที่ไล่เลียอยู่บนไรขนอ่อนทั่วใบหน้าและแขนของผม  จนกระทั่งผมเงยหน้าเหม่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่บัดนี้เริ่มไม่เป็นสีส้ม  วันนี้อาจผิดพลาดไปจากที่ผมคิด

.................ไม่มีแสงอาทิตย์อาบขอบฟ้าในวันนี้.............

ภาพท้องฟ้าเบื้องบนของเราทุกคนตอนนี้ดูอึมครึมเป็นอย่างมาก และเป็นสีเทาจากเมฆหนาทึบที่ก่อตัวอยู่อย่างไร้สัญญาณบอกกล่าว  กระแสลมเริ่มพัดระรอกมาบ่อยขึ้น...........ดูท่าวันนี้ฝนคงจะตก........ผมหวังว่าคงจะได้พบกับพีต้าก่อนที่ฝนจะตกลงมาหรอกนะ  เพราะเค้าป่วยง่ายเอามากๆ

ผมเป็นห่วงเค้าเสมอ เพราะผมรู้ว่าเค้าเป็นเช่นไร

และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมเก็บเงียบมาตลอด  โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าผมแอบมองหรือสังเกตพีต้าอยู่ตลอดเวลา

และผมหวังว่าผมคงจะเดาผิดไป เรื่องพายุ.........เพราะเมฆเทาทึบและสายลมแรงพัดพาเอาเหล่าใบไม้หลุดโรยออกจากต้นนั้นไม่ใช่สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็น  และมันคงจะไม่ใช่แค่ฝนตกธรรมดาๆ เสียแล้ว  ผมพินิจอยู่นานแล้วตั้งแต่ตอนกลางวัน........

ฝูงนกบินกันให้ว่อน  ตอนแรกก็ไม่เยอะเท่าไรนักหรอก แต่พอนานเข้าผมก็รู้สึกว่าแทบจะไม่เหลือสัตว์ต่างๆ อยู่ในพื้นที่นี้เลย............ป่ากลับเงียบ  มีเพียงเสียงของใบไม้เท่านั้นที่ได้รับการโรมรันมาจากลมหอบใหญ่ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอาเสียเลย

รู้ไหม บางครั้งพวกสัตว์ก็มีสัญชาติญาณรับรู้เรื่องภัยพิบัติต่างๆ ได้รวดเร็วมากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก  สัตว์เข้าใกล้ธรรมชาติและเรียนรู้มากกว่าเราหลายเท่าตัวนัก

...............เรื่องนั้นผมเชื่อนะ.............

แต่ขอให้ครั้งนี้ผมคิดผิด..........คงไม่ดีนักหากมีพายุจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าผู้อพยพในกองกำลังของเราจะต้องประสบปัญหากับเรื่องฟ้าฝนที่ตามมา  แต่นั่นหมายถึงเรดาห์สำหรับตรวจจับของเราก็จะพลอยแย่ไปด้วยเช่นกัน  อาการมันย่ำแย่มาตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว

มีพายุช่วงนี้คงไม่ดีแน่  ผมนึกอยากเห็นแสงอาทิตย์ร้อนแรงยามเย็นกลับมาแทนที่บนท้องฟ้าเหมือนเดิมเสียแล้ว

ผมเดินเร่งฝีเท้าไปเรื่อยๆ เดินตัวปลิวผ่านเหล่าหัวหน้าหน่วยที่ผมพึงจะต้องทักทายทุกครั้งไปที่ได้เจอหน้ากัน  พวกเค้าทักทายผมก่อนเมื่อผมไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยอย่างเช่นทุกครั้งที่เจอกัน  ดังนั้นผมจึงต้องยิ้มให้พวกเค้าเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไป  ผมไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่หอกคู่กาย  เพราะจากการได้อยู่ที่นี่มาร่วมหลายต่อหลายเดือนทำให้ผมรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมีอาวุธติดตัวอย่างระแวดระวังเว้นซะแต่เวลาที่ต้องออกลาดตระเวน

หอกของผมอยู่ที่คลังเก็บสัมภาวุธ

แต่แล้วจู่ๆ ผมก็กลับถูกเรียกเพื่อฉุดการก้าวเดินอีกครั้ง 

“เฮ้  ฟินนิค....เอ่อ คุณโอแดร์.....เอ่อ ฉันหมายถึงฟินนิค ฉันเรียกนายชื่อนั้นได้ไหม นี่ก็นอกเวลางานแล้ว” ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำที่ดูแข็งแรงยังกับกำแพงเมืองยักไหล่ใส่ผมนิดๆ  เค้าดูไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกมา  แต่ผมจำเค้าได้

“ครับ  ได้ครับคุณเอเฟตส์” ผมยิ้ม  ยักไหล่กลับไปและตอบอย่างมีมารยาทเพราะเค้าอายุมากกว่าผม   พลางคิดแหย่ๆ ในใจอย่างตัดพ้อกับตัวเองไปด้วย...........อ๋อ ใช่พวกคุณมีเวลาเลิกงาน แต่ผมไม่มีหนิ

แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับตอนนี้ “มีอะไรหรือครับ” ผมถามตรงประเด็น  อาจจะต้องปล่อยให้พีต้าเตร็ดเตร่และไปถึงที่นั่นก่อนสักพักหนึ่ง

คุณเอเฟตส์ไม่มีท่าทีที่เป็นทางการนัก แต่ผมก็รู้ว่าเค้าผ่านอะไรหลายอย่างมากนักแล้วในชีวิต  และเค้าก็ดูเกรงใจผม  แผลเป็นตรงใต้ตาของเค้าขยับเมื่อเค้าเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเริ่มบทสนทนา “เอ่อ....ฉันรู้นะว่านายก็มีเวลาพัก” เค้ารู้มาผิด

“....และนี่ก็นอกเวลาแล้วสำหรับนาย  แต่ว่ามีบางอย่างผิดปรกติบนเรดาห์ พวกเค้าอยากให้นายไปดู.....พวกเค้าบอกว่านายเคยรู้ความลับของแคปปิตอลมาหลายอย่าง นายน่าจะรู้ แต่ถ้ามันไม่ใช่นั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา  ผู้บังคับบัญชากำลังรอนายอยู่ที่หอบังคับการน่ะฟินนิค”

นั่นไง  น่าจะมีคนบอกเค้าใหม่เรื่องเวลาทำงานของผมนะ  แต่เดี๋ยวนั่นไม่ใช่ประเด็น..........บนเรดาห์มีเรื่องผิดปรกติอย่างนั้นหรือ?  ถ้ามันมีปัญหาเรื่องการอ่านค่าบนจอตอนเจอพายุก็คงจะไม่แปลกหรอก  ติดเสียแต่ว่าตอนนี้พายุยังมาไม่ถึงนี่สิ

.............บางทีมันอาจเสีย ระบบเกือบจะไปไม่รอดแล้ว และต้องได้รับการรีบูทปรับเปลี่ยนใหม่  บีทีเคยบ่นกับผมไว้ว่าอย่างนั้น แต่ด้วยสถานการณ์ที่เรายังคงไม่สามารถไว้วางใจได้ เค้าจึงยังไม่ทำการปรับเปลี่ยนใหม่  บางทีที่คุณเอเฟตส์มานี่ อาจเป็นเพราะเรดาห์รวนตามปรกติอีกแล้ว...............

ผมนึกเข้าข้างตัวเองในแง่ดี  แต่หลังจากที่คุณเอเฟตส์ส่งข่าวเสร็จผมก็รีบหันหลังหนีเค้าทันที “ต้องไปตรวจดูโดยรอบเสียก่อน” ผมว่า  หันไปทางหอสังเกตการณ์ย่อยทางทิศตะวันออก  สายตาของผมจอบจ้องไปที่กลุ่มเมฆซึ่งก่อตัวใหญ่ขึ้น.......ผมต้องไปดูให้แน่ใจเสียก่อน

“ผมจะตามไปหาพวกเค้าหลังจากที่สำรวจเสร็จแล้ว.....” ผมไม่อยากทำตัวตื่นตูมเพราะเรดาห์รวนเหมือนคนอื่นๆ จนอาจทำให้เกิดความแตกตื่นที่จะนำพามาซึ่งความเสียหายได้อีก   ผมหันกลับไปเอ่ยกับคุณเอเฟตส์น้อยๆ “.....ขอบคุณมากครับ”

ผมกล่าวแค่นั้น ก่อนจะวิ่งออกไปทางหอที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของผมในตอนนี้  คุณเอเฟตส์วิ่งตามผมมา ไม่สนใจแล้วว่านี่คือเวลาเลิกกะของเค้า  นั่นอาจเป็นเพราะท่าทางที่ชอบทำอะไรปุบปับไปของผม........แต่เชื่อผมเถอะ  ถ้ามันมีอะไรนอกเหนือจากเรื่องเรดาห์เสียจริงๆ ผมก็รับมือได้ถูกแล้ว

และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บู๊ตของผมจะพาเรามาถึงยอดหอสังเกตการณ์ทิศตะวันออกที่ตั้งตระง่าต้านกระแสลมแรงอยู่..........โอเค ได้  พอมาถึงตรงนี้แล้วผมเชื่อด้านแย่ๆ ในแง่ลบของตัวเองก็ได้ว่าพายุกำลังจะมา

แต่แค่การที่พายุกำลังมาทางนี้คงจะไม่ได้ทำให้พวกผู้บังคับบัญชาตื่นเต้นจนต้องเรียกหาตัวผมเป็นแน่  ทันทีที่ขึ้นไปถึง นายทหารที่เฝ้าหอสังเกตการณ์ก็หันมามองหน้าใคร่สงสัย ก่อนจะรีบทำความเคารพอย่างไวโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน ว่าผมจะโผล่หัวขึ้นมาที่นี่

“เกิดอะไรขึ้น” คุณเอเฟตส์ถามนายทหารประจำหอ ขณะก้มดูจอแสดงผลที่มีนายทหารกำลังกดแป้นกำกับอยู่  ลมเริ่มโหมแรงขึ้น

ผมคิดว่าเค้าไม่จำเป็นต้องถามพอให้เป็นพิธีหรอกนะ  มันก็เห็นๆ กันอยู่ “พายุ” ผมกล่าว “มันกำลังมา....โหมแรงมาก” และถึงแม้จะไม่หันหน้าไปมอง  ผมก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังของผมจะต้องทำหน้างงงวยกันอยู่แน่ๆ นั่นก็เพราะว่า พวกเค้ายังไม่เห็นการก่อตัวของพายุที่เสร็จสมบรูณ์เลยแม้แต่น้อย  มีเพียงแค่ลมกระโชกเบาๆ เท่านั้น

แต่ถ้าผมไม่รู้เรื่องรอบตัว พลูตาร์ชก็คงจะไม่ดึงผมเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้เป็นแน่...............

ผมยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหยียบขอบกำแพงเตี้ยๆ และใช้มือข้างหนึ่งจับเสาหินแข็งแรงเพื่อให้โหนตัวออกไปข้างหน้าได้มากขึ้น  สายลมพัดเอาเส้นผมของผมลู่ไปด้านหลัง  ผมหรี่ตาเพื่อสู้กับกระแสลมที่เริ่มแรงมากขึ้นไปอีก

“เอ่อ...ฟินนิคฉันว่านายน่าจะถอยห่างออกมานะ  ลมนั่นแรงเกินไปขืนยื่นตัวออกไปอย่างนั้นมีหวังได้ตกลงไปจูบพื้นแน่ๆ” เสียงตะโกนของคุณเอเฟตส์ดังอยู่ข้างหูผม.....ไม่  ลมพายุไม่เบาขนาดนี้หรอก  มันต้องแรงกว่านี้สิ

“เงียบก่อน  ได้โปรด...เงียบก่อนทุกๆ คน!” ผมตะโกนกลับไปท่ามกลางเสียงวุ่นวายของทหารสองสามนายและคุณเอเฟตส์ที่ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา  ก่อนพวกเค้าจะยอมเงียบทันทีที่ผมบอก  ดังนั้นผมจึงยื่นหน้าออกไปปะทะลมที่พัดเข้ามาให้ได้มากที่สุด  แล้วหรี่ตาลงจนเกือบปิดเพื่อฟังเสียง.........

เสียงของใบพัด!

ผมกระชากตัวออกมาจากขอบกำแพงอย่างรวดเร็วและตะโกนขึ้นสุดเสียง “ส่งสัญญาณเตือนภัย เราถูกบุก!  ศัตรูรู้ตำแหน่งของเราแล้ว!” ผมขมวดคิ้วแน่น  ทหารหนุ่มนายหนึ่งมีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างสุดขีดก่อนจะกระแทกฝ่ามือลงไปที่ปุ่มเตือนภัยอันใหญ่ประจำหอสังเกตการณ์นี้

และในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นเสียดแทงแก้วหูของเราทุกคน  ผมได้ยินเสียงฮือฮาอื้ออึง จนกระทั่งมันเปลี่ยนเป็นเสียงวุ่นวาย............มันเกิดขึ้นได้ยังไง พวกแคปปิตอลหาเราเจอได้อย่างไร!?

เราจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือ  เพราะไม่ใช่แค่กบฏอย่างเราที่จะได้ยินสัญญาณเตือนภัยของตัวเอง  พวกศัตรูที่อยู่ข้างนอกนั่นก็ได้ยินเหมือนกัน...........พวกมันรู้แล้วว่าเรารู้ตัว

“ออกไปจากที่นี่!” ผมตะโกน  คุณเอเฟตส์อยู่ใกล้ผมมากที่สุด “แจ้งฐานว่าเรากำลังเจอกับอะไร นี่ไม่ใช่เหตุฉุกเฉิน  นี่คือเหตุการณ์ขั้นวิกฤต เคลื่อนย้ายพลเรือนเดี๋ยวนี้เราต้องไปเขต 13 กันเดี๋ยวนี้เลย!” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลมที่ตีพัดโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว.......ไม่ นี่ไม่ใช่ลมของฤดูกาลแล้ว

เราทยอยลงไปจากหอสังเกตการณ์ย่อย  แต่มีทหารนายหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหาปืน  ผมรั้งท้ายจึงพูดใส่เค้า “ออกไปจากที่......”

ตูมมมมมม!!

แต่แล้วจู่ๆ เสียงระเบิดก็ดังขึ้น  เสียงหินแตกกระจายดังอยู่ข้างหูผม  กำแพงกระเด็นออก  ฝุ่นจากเศษหินและปูนคลุ้งกระจายไปรอบตัวของเรา  และพวกเราก็กระเด็น ลอยคว้างอยู่กลางอากาศก่อนจะตกลงสู่พื้นอย่างแรง  ตัวผมกระแทกจากแรงระเบิดลงมาบนสนามหญ้าด้านหลังของหอสังเกตการณ์พร้อมกับนายทหารคนนั้น

ผมหูอื้อ  มันส่งเสียงวิ้งตลอดการลืมตาขึ้นแล้วมองออกไปรอบตัว  ผมเห็นแสงสีส้มแดงกระจายตัวไปทั่วทั้งหอสังเกตการณ์รอบแนวกำแพงของเรา  นายทหารที่หาปืนไม่เจอนอนแน่นิ่งอยู่ข้างผมพร้อมกับปืนของเค้าที่คงจะไม่มีวันได้ใช้งานอีกต่อไปแล้ว  แต่ก็ยังไม่แน่ ผมเข้าไปจับชีพจรบนต้นคอของเค้า........เค้าตายแล้ว  โอเค เค้าชีวิตสั้นไปหน่อยผมยอมรับ

แรงอัดมหาศาลและแรงสะเทือนของแผ่นดิน ไหวโครงอยู่ใต้ตัวผม.........การระเบิดทำเอาสภาพแวดล้อมรอบข้างฟุ้งตลบเต็มไปด้วยฝุ่นควันที่แสนจะกระจัดกระจาย  เขตอพยพตอนนี้ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว  แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง และหูของผมก็เริ่มกลับมาได้ยินเสียงอีกครั้ง

ผมเริ่มออกวิ่งไป  คว้าปืนของทหารที่เพิ่งตายไปด้วยในขณะที่มีระเบิดอีกลูกหนึ่งหม่งลงสู่พื้น

ตูมมมมมม!

พื้นสะเทือนอีกครั้ง  แต่ดีที่ผมก้มตัวไว้จึงไม่เสียหลักล้มลงไปเสียก่อน  และคราวนี้ผมก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้อพยพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้............พวกเค้ากำลังถูกฆ่า

“บ้าเอ้ย!” ผมจึงตัดสินใจวิ่งออกไปยังเขตของพลเรือน.........ใช่  ผมควรทำแบบนี้  เป็นใครก็ต้องทำใช่ไหมล่ะ  มีคนกำลังเดือดร้อนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ผมจำเป็นต้องช่วยพวกเค้า  แต่ที่ทำให้ผมต้องสบถอกมาก็คือ พีต้า  ผมไม่รู้ว่าเค้าอยู่ที่ไหน  ผมไม่สามารถไปหาเค้าได้  ไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าจะเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้าทำได้ผมคงจะตัดสินใจเลือกวิ่งไปหาเค้าแล้ว...........ใช่  นั่นถ้าทำได้  แต่ผมไม่รู้ว่าในสถานการณ์อย่างนี้แล้วพีต้าจะอยู่ที่ไหนกัน!

เพราะฉะนั้นผมจะเสียเวลาโดยที่ไม่เกิดประโยชน์ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด  อะไรที่ทำได้ในตอนนี้ก็ต้องทำไปก่อน

..................พีต้าฉันขอโทษนะ  แต่ฉันจะไปหานายแน่นอน.............

ผมพร่ำบอกกับตัวเอง  หวังว่าควันไฟอันคุกกรุ่นรอบตัวจะพัดพาเอาข้อความของผมไปหาเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าผมอยู่ไหนด้วย  เพราะผมกลัวจับใจว่าเค้าจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า  และหลงคิดไปว่าผมจะทอดทิ้งเค้าแล้ว............ไม่  ผมไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก!

ผมวิ่งผ่านกำแพงและซากปรักหักพังไปพบเข้ากับพวกแคปปิตอลส่วนหนึ่งกับยานลำเล็กอีกลำหนึ่งกำลังระดมยิงใส่พลเรือนที่แย่งกันวิ่งหนีอย่างจ้าละหวั่น  ถึงจะมาถึงแล้วแต่ผมก็ยังห่างออกไปมาก........มันอาจไม่ทันการ  ดังนั้นผมจึงตัดสินใจช่วยพลเรือนกลุ่มนั้นด้วยการยิงยานที่อยู่บนหัวของพวกแคปปิตอลจนมันตกลงมา  พลเรือนไม่เป็นอะไรมาก พวกเค้าโดนสะเก็ดนิดหน่อย  และพวกแคปปิตอลนั่นก็โดนเครื่องบินระเบิดใส่ 

ผมทำได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้ หากเค้าร้องเรียนถึงการคุ้มครองพลเรือนที่ถูกต้องล่ะก็ ผมจะบอกเค้าไปว่า “ก็แล้วไงล่ะ  ผมมีคนเดียวนี่”  ใช่ นั่นอาจเป็นประโยคที่ผมจะพูดออกไปเมื่อเค้าเรียกร้องอย่างงั้นจริงๆ  แต่ตอนนี้ผมได้ยินเสียงไอพ่นและใบพัดที่แตกต่างออกไป  ผมจึงเงยหน้ามองขึ้นฟ้าและยิงปืนขึ้นไปเพื่อให้สัญญาณ

..........อากาศยานอพยพ...........

พลเรือนอยู่ตรงนี้  เราต้องทำการเคลื่อนย้าย มีคนเจ็บอยู่ด้วย  หลังจากเรียกร้องความสนใจให้ยานทำการร่อนลงมาในบริเวณนั้นได้แล้ว ผมก็วิ่งเข้าไปดูคนที่บาดเจ็บ.......ทุกคนโอเค จนกระทั่งเจ้าหน้าที่บนยานวิ่งเข้ามา ช่วยทำการเคลื่อนย้ายพลเรือนอย่างรวดเร็วเฉกเช่นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดี

“เราจะอพยพทั้งหมดเท่าที่จะทำได้!” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งแบกปืนไว้แล้วตะโกนใส่ผม เพื่อบอกกล่าว  ผมสังเกตเห็นยศของเค้า

“ทำไมล่ะจ่า!” ผมตะโกนถามกลับไปอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก  เสียงเครื่องยนต์และเสียงระเบิดดังขึ้นอยู่รอบตัวเรา

“พวกแคปปิตอลเต็มไปหมด! ผมไม่รู้ว่าจะมีพลเรือนเหลือรอดมากแค่ไหนกัน  แต่ยานของเราจะเป็นลำสุดท้ายที่บินขึ้นเพื่อรองรับพลเรือนที่ตกค้าง  ยานอพยพลำอื่นประจำพื้นที่แล้วและกำลังบินขึ้น!” เค้าตะโกนกลับมา แล้วนิ่งไว้ดูคล้ายว่ากำลังรอให้ผมขึ้นยานไปนั่งรอการอพยพครั้งสุดท้าย.......แต่ผมไม่ทำ  นี่ล้อเล่นกันรึเปล่าผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีพีต้า  เค้าอยู่ที่ไหน!

ผมนึกขอบคุณทีมอพยพที่ทำงานกันได้อย่างรวดเร็ว  ทำให้ผมไม่เสียเวลาตามหาพีต้า  แต่ข่าวร้ายก็คือ ผมไม่รู้ว่าเค้าอยู่ไหนนี่สิโอ้ พระเจ้า

พีต้านายอยู่ที่ไหน

ผมตะโกนหาอย่างไร้ประโยชน์ “พีต้าาาา!


.


.


*****************************************************************************

.


.


ฟินนิค   โอแดร์ วิ่งฝ่าฝูงชน ที่พากันวิ่งกรูส่งเสียงวุ่นวายแย่งกันขึ้นยานอพยพลำสุดท้ายกันอย่างโกลาหน  ชายหนุ่มร่างสูงวิ่งไปทางตึกบัญชาการเพราะคิดว่าเด็กหนุ่มที่เค้ากำลังตามหาอยู่นั้น คงจะต้องอยู่ที่นั้นเป็นแน่  หรือไม่ก็คงจะกำลังวิ่งออกมาทางนี้  แต่ทว่าถึงเค้าจะตะโกนเรียกหาเสียงดังมากเพียงใดก็ไร้สัญญาณตอบรับจากเด็กหนุ่มผู้อ่อนโยน

“พีต้าพีต้าพีต้านายอยู่ที่ไหน  พีต้า!” ฟินนิคถูกชนซ้ำแล้วซ้ำเหล่าท่ามกลางฝูงชนที่ไม่สนใจแล้วว่าเค้าจะเป็นใคร ก็ยังคงไม่ลดละความพยายาม........ไม่มีใครเห็นพีต้าเลย  ไม่มี!

ผู้คนเริ่มบางตาลงแต่ก็ไร้วี่แวว  ท้องฟ้าที่มืดครึมด้วยเมฆทมิฬก็ถูกอาบไปด้วยสีแดงฉานของก่อเพลิงและการระเบิด  ชายหนุ่มผมสีบล์อนทองสะท้อนกับกองไฟที่เกิดจากการระเบิดมีสีไม่ดีระคนว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง  ฟินนิครู้สึกเหมือนโดนเสียบเข้าที่หัวใจ

โอ้พระเจ้า.....ได้โปรดเถอะพีต้า นายอยู่ไหน  ได้โปรดเถอะ กลับมาหาฉันนะ” เค้าอ้อนวอน  สีหน้าเจ็บปวดจวนจากการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด............ไม่น่าเลย  เค้าไม่น่าชักช้าเลย น่าจะรีบมาหาพีต้าก่อน  มาให้เร็วกว่านี้...........พีต้า

เสียงระเบิดดังขึ้นอีก  ฟินนิควิ่งเข้าไปในตึกแต่ก็เจอเข้ากับเฮย์มิชที่วิ่งแห่กระเชิงออกมาจากตึกเสียก่อน

“หนีเร็วเจ้าหนุ่ม  ระบบล่มแล้ว พวกมันมากันเต็มไปหมดกะล้างบางเราทั้งบางเลย!” เค้าตะโกน ยังคงไม่หมดสภาพของคนเมาแต่ทว่าเฮย์มิชก็มีสติในเวลาเดียวกัน  ชายขี้เมาแต่ตื่นตัวดึงแขนแกร่งข้างหนึ่งของฟินนิคให้วิ่งตามไปด้วย  แต่ก็โดนสะบัดออก

พีต้า  คุณเห็นพีต้าไหม!” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งถามเสียงระรัว  เฮย์มิชจึงบอกชายหนุ่มว่าพีต้าอยู่กับแคทนิส  พวกเค้าคงกำลังตามมา  แต่แล้วแคทนิสกลับวิ่งหนีหน้าตาตื่นออกมาคนเดียวในขณะที่กองบัญชาการใหญ่กำลังถล่มลงมา  หญิงสาวผมสีเข้มที่วิ่งสวนออกมาพลันก็โดนคว้าไหล่เอาไว้

“แคทนิสแล้วพีต้าล่ะ!?” ฟินนิคถาม  หัวใจเค้ากระตุกวูบก่อนจะหยุดเต้น  เค้าเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของแคทนิสไปมาและเผลอออกแรงมากไปอย่างร้อนรน

เธอมีสีหน้าช็อคและตื่นตกใจราวกับยังปะติปะต่อเรื่องราวยังไม่ได้  เสียงระเบิดยังคงดังอยู่เบื้องหลังของพวกเค้า “ฉะ ฉัน ฉันไม่รู้!” 

ฟินนิคมีสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง  แคทนิสกำลังจะวิ่งขึ้นยานไปแต่เค้ากลับรั้งตัวเธอไว้ ออกแรงจับให้เธออยู่กับที่เฉยๆ “แต่เฮย์มิชบอกว่าเธออยู่กับเค้า!” ชายผู้ที่จิตใจไม่อาจเป็นสุขแล้วในขณะนี้ว่าเสียงห้วน  เค้าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้

แคทนิสสะบัดแขนฟินนิคแต่ไม่หลุด และเธอต้องยอมจำนนในที่สุด แคทนิสร้องไห้ฟูมฟาย “เค้า...อึก....เค้าบอกว่าให้รีบหนี  เราวิ่งออกมาด้วยกันและ...และ  และ...ฮึก” แคทนิสเบนสายตาไปทางอื่น

“และอะไร!

เธอโดนเขย่าอีก “อื้อ!” แคทนิสสะดุ้ง ก่อนจะหลับตาแล้วกล่ำกลืนทุกสิ่งลงคอไป  เริ่มพูดก่อนฟินนิคจะรู้สึกรำคาญไปมากกว่านี้ “.....และเค้าเห็นเด็กผู้หญิง....ฮึก  เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกับแม่ของเธอ...ตะ ติดอยู่  พีต้าเลยเข้าไปช่วย.....”

“แล้วเธอก็ทิ้งเค้ามาอย่างงั้นเหรอ!” ฟินนิคเบิกตาโพลงแล้วตะคอกใส่เธอ

แคทนิสตวาดกลับ “ไม่! ฉันไม่ได้ทิ้งเค้า! ฉันต้องไปหาแม่กับน้อง....”

“แล้วไหนพวกเธอล่ะ? ฉันไม่เห็นเลย” ฟินนิคแจง  เค้าจำได้ว่าแคทนิสสะบัดหน้าหนีเค้าแล้วพยายามวิ่งขึ้นยานอพยพไป  และทันทีที่ร่างสูงตรงหน้าว่า แคทนิสก็ถอยหลัง ส่ายหน้าไปมาอย่างที่หาข้อปฏิเสธไม่ได้........เธอก้าวถอยอย่างขี้ขลาดและหวาดกลัว

ฟินนิคกัดริมฝีปากแล้วเข้ามาบีบไหล่ของเธออีกครั้งอย่างเจ็บแค้นแทนพีต้า “เธอทิ้งเค้า” ดวงตาสีเทากวาดมองอย่างประเมินค่า ซึ่งมันคงจะไม่สูงเท่าไรนักสำหรับแคทนิส “เธอไม่ควรทำแบบนั้นแคทนิส  เธอทำผิดพลาดอย่างมหันต์.......เธอไม่ควรทิ้งเค้าไว้  ฉันนึกว่าพีต้าเป็นเพื่อนของเธอซะอีก....เธอไม่ควรทำแคทนิส  แต่เธอก็ทิ้งเค้าไว้ข้างหลัง!

ฟินนิคส่ายหน้าอย่างผิดหวัง  ก่อนจะปล่อยมือนั้นแล้ววิ่งสวนกับเฮย์มิชที่เดินเข้ามาหาเพื่อที่จะเร่งให้ทั้งสองไปจากที่นี่  ชายขี้เมามองแคทนิสที่หน้าเสียแล้วชี้ไปทางฟินนิค “นั่นเค้าจะไปไหนน่ะ” แต่หญิงสาวไม่สามารถตอบเค้าได้

ยานลำสุดท้ายกำลังจะลอยลำขึ้น  และจะไม่มีอะไรได้ออกไปจากที่นี่อีกแล้ว........มันกำลังจะราบเป็นจุนจากการโจมตีของแคปปิตอล  พวกเค้าซึ่งเป็นกบฏจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด  แต่ฟินนิคกลับ...........

เฮย์มิชหันไปตะโกนขึ้นสุดเสียง

“ฟินนิคคค!” แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว  กองเพลิงและซากตึกบัญชาการเป็นที่ๆ ฟินนิควิ่งหายเข้าไป  ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา



************************************************************************



“พีต้า....ฮั่ก อึก....พีต้า! นายอยู่ไหน!

ตึกตึกตึก!

“พีต้าถ้าได้ยินแล้วก็ช่วยตอบด้วย  นี่ฉันเอง......พีต้าาพีต้า!” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ก็ไร้วี่แววเสียงที่ตอบกลับมา นอกเสียจากเสียงที่ปะทุของกองไฟในซากตึกรอบๆ ตัวผม...........ได้  ในเมื่อไม่มีใครคิดที่จะมาตามหาเค้า ผมก็จะเป็นคนออกมาตามหาเค้าเอง  ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าหากไม่มีพีต้า


.


.


.


TBC.


-----------------------------------------------------------------------------


อร๊ายยยยยยยยยยย! เกิดอะไรขึ้นนนนนนนนนนนนนคะ  >[]<!!!  โดนแคปปิตอลบุกแล้ววววววว ><  อร๊ายยยยยย ฟินนิครีบตามหาพีต้าเร็วววววว

แล้วแคทนิส! เธอทิ้งเค้าทำไมยะ! >{}<  //บ่งบอกเลยว่าไม่พอใจ// ทิ้งพีต้าของฉันมาทำไม ><  // สักพักโดนฟินนิคเอาหอกเสียบ..... ฟินนิค : พีต้าน่ะของฉัน -*- //

เรื่องกำลังน่าติดตามเลยค่ะ  ฟินนิคจะหาพีต้าเจอหรือไม่  แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้  ตามชายหนุ่มทั้งสองแห่งเกมส์ล่าชีวิตไปด้วยกันเลยค่ะ  ><

แปะเฟส ค่ะ >>แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด<<  ตามธรรมเนียมนะเออ  สามารถเข้าไปเป็นเพื่อนและร่วมพูดคุยกับไรท์ได้เลยค่ะ ^^  วันนี้ต้องขอตัวไปเขียนฟิคก่อนนะคะ  รักรีดทุกท่านที่สุดเลยยค่ะ ><

ด้วยรักและแรบงหื่น

Ray - Aund


2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

บรั๊ยยยยย ไรท์ค่ะมันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว สนุกมากๆค่ะ😃😊😃 มาต่อเร็วๆนะคะรออ่านอยู่ แล้วก็ลุ้นไปด้วยนะคะเนี้ย.....ว่างแล้วรีบมาต่อน้าาาไม่ได้เร่งเล้ยยยยจริงจริ๊งงงงงง

Unknown กล่าวว่า...

อจ้ากกกกก!!!!ไรท์จ๋าาามาอัพต่อเร็วๆเถอะะะพลีสสสสสสสสส//อ้อน(?) [แต่รู้เริ่มจะอยากจับแคทนิสโยนทะเลยังไงๆชอบกล-.- ถถถถถ
#ต่อเร็วๆๆๆๆๆน่ะงับบบบ