วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

[Fic – The Hunger Game] + [Part 6] The Possible – Finnick x Peeta





มาแล้วค่ะ รีดๆ ขาาาา  โฮ่ลลลลล  Part นี้น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ  ย้ำว่า น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ  5-5-5-5-5-5  //ฉีกยิ้ม//  ไรท์ยิ้มแบบนี้ทั้งตอนก่อนรีดจะอ่านถึงฉากนั้นและหลังจากรีดอ่านจบแล้วค่ะ  ฮี่ๆๆๆ

Part ก็จะตัดบทส่งรับระหว่างฟินนิคกับพีต้าอยู่เหมือนกับ Part ที่แล้วค่ะ  และ...เอิ่ม ไร?ไม่พูดดีกว่าค่ะ  เดี๋ยวจะเป็นการสปอยลืไปอีก ฮี่ๆๆ  ไรท์ชอบหลุดปากอ่ะ  เดี๋ยวก็หลุดไปอีก  เอาเป็นว่าอย่าให้ไรท์พูดอะไรมากดีกว่านะคะ   ไรท์ว่ารีดๆ ไปอ่านแล้วค้นหาด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ ^^

ไปกันเลยค่ะ ><



--------------------------------------------------------------------------------------



ผมบอกลาพวกเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขึ้นรถไฟเที่ยวที่เร็วที่สุดเพื่อเดินทางไปยังเขตแห่งถ่านหินและไฟ



*************************************************************



หนุ่มสาวทั้งสองคนออกจากบ้านไปทำธุระของตัวเอง  พีต้าดูแลความเรียบร้อยของบ้านและออกไปเป็นคนสุดท้าย  เด็กหนุ่มเหวี่ยงตะกร้าสะพายหลังไปด้วยและเดินเท้าต่อไปยังด้านหลังชายป่าอีกห้านาทีก่อนจะถึงเวิ้งทุ่งหญ้าโล่งๆ ที่ทอดตัวลงเป็นเนินไปหาดวงอาทิตย์ที่คลอเคลียอยู่บนเส้นขอบฟ้า

ทุ่งหญ้าดูง่อนแง่นไม่เท่ากัน ต้องขอบคุณฝีมือการตัดหญ้าของเฮย์มิช  เช้าวันหนึ่งเค้าบอกว่าจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยสีหน้าเมากรึ่ม  สามวันต่อมาแปลงของพีต้าก็กลายเป็นทุ่งหญ้าโล่งที่ดูไม่เป็นระเบียบนัก

เด็กหนุ่มวางตะกร้าแล้วนั่งลงข้างแปลงดอกคาซิโอลาเลียที่กำลังออกดอกสวยงาม  เค้าพรวนดิน  กำจัดวัชพืช  และใส่ปุ๋ยบำรุงอย่างพิถีพิถัน  ซึ่งนอกจากดอกไม้แล้วพีต้ายังปลูกผักเอาไว้อีกฝั่งหนึ่งของทุ่งอีกด้วย  เด็กหนุ่มปลูกทุกอย่างที่เค้าอยากจะปลูก  แม้แต่ดอกแคนตัสที่เค้าตัดใจทิ้งไว้พรวนดินเป็นแปลงสุดท้ายก็ยังได้อยู่ในรายชื่อดอกไม้ในทุ่งของเค้าด้วย  พีต้าไม่ชอบยุ่งกับมันมากนักเพราะต้นกระบอกเพชรของมันชอบทำให้เค้าเจ็บ  แต่สีสันของดอกแคนตัสก็สวยมากเกินกว่าที่พีต้าจะมองข้ามไปได้

เด็กหนุ่มดูแลแปลงดอกไม้และผักของตัวเองด้วยความใส่ใจ  เป็นเวลาที่แสงแดดทอเป็นสีส้มแก่แล้วในตอนที่เด็กหนุ่มรดน้ำเสร็จพอดี  พีต้าลากตะกร้าไปที่แปลงกะหล่ำ  เก็บดอกที่อวบอ้วนแล้วเดินอ้อมไปเก็บที่แปลงถัดไป  เค้าสะพายสายตะกร้าขึ้นบ่าอีกครั้งในตอนที่ดวงอาทิตย์เริ่มอัสดง  เด็กหนุ่มผมบล์อนที่สวมเสื้อยืดสีเทาอ่อนหันไปมองราวกับว่านั่นทำให้เค้านึกถึงบางสิ่ง

ไม่สิ  ไม่ใช่  ต้องพูดว่าคนๆ หนึ่งสิถึงจะถูก

สายลมพัดเข้าปะทะหน้าของเด็กหนุ่มที่มีคราบดินเปื้อนเสื้อและดวงอาทิตย์ก็กำลังโบกมือลาเค้าไป  ภาพตรงหน้าช่างสวยงามแต่มันก็ชวนอ้างว่างในเวลาเดียวกัน ดวงอาทิตย์ทำให้นึกถึงฟินนิคมากพอๆ กับการปลูกดอกไม้  มากพอๆ กับการตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเลิกคิดถึงอีกฝ่ายไม่ได้เลย

พีต้าคิดถึงฟินนิค  ถึงแม้จะรู้ว่าเค้าไม่อยู่แล้วก็ตาม

“ฟินนิค” เด็กหนุ่มกระซิบแล้วบอกตัวเองในใจว่าอย่าร้องไห้  หลายครั้งพีต้ามักพบว่าตัวเองชอบร้องไห้ออกมาเสมอในตอนที่ทำอาหารหรือปลูกต้นไม้  ความกลวงโหวงอยู่ในใจนั้นช่างพาให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาและเดียวดายเหลือเกิน  หลังเกิดสงครามไม่เคยมีอะไรดีขึ้นยกเว้นเสียแต่จะได้เจอกับฟินนิค

เด็กหนุ่มใช้มือเปื้อนดินเช็ดจมูกตัวเอง  สูดหายใจเข้าลึกและพบว่ามันยากลำบากมากกว่าตอนปรกติก่อนจะทำใจหมุนตัวเดินกลับบ้านไป  เย็นแล้วแคทนิสอาจบ่นเค้าได้หากกลับบ้านช้า  ใบหน้าขาวซีดนั้นก้มต่ำลงอย่างน่าสงสาร

ความทรงจำของเด็กหนุ่มกลับมาครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว  กระทั่งเจอแคทนิสในระหว่างทางกลับบ้านทั้งคู่จึงเดินเคียงกันไปอย่างเงียบๆ เพราะเธอรู้ว่าเพื่อนหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ 

ช่วงพักหลังมานี้เธอมักเห็นพีต้าแอบร้องไห้ในตอนที่เจ้าตัวต้องทำอะไรคนเดียวเสมอ...ความเป็นห่วงและรู้สึกผิดจึงโถมเข้ามาหาเธอในเวลาเดียวกันอย่างหนักหน่วง

ค่ำนั้นพวกเค้าทานอาหาร  พีต้าทำอาหารในจานพร่องไปเล็กน้อยตามเคยก่อนจะเก็บจานแล้วขอตัวเข้านอนอย่างเงียบเชียบ  แคทนิสจึงได้แต่มองตามและนั่งอยู่คนเดียวในครัวที่เปิดไฟสลัว  หากย้อนเวลากลับไปได้เธอคงไม่ตัดสินใจระเบิดฟินนิค  แต่แคทนิสก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะช่วยเพื่อนได้อย่างไร  สำหรับเธอมันยากเกินไปที่จะทำให้สำเร็จ



*********************************************************



ผมอยู่บนรถไฟมาได้สามชั่วโมงแล้ว  และแปลกใจสุดขั้วเมื่อโบกี้ร้างคนมีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่โดยสารอยู่เพียงลำพังกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟเพียงแค่ไม่กี่คน

มันคือรถไฟขบวนเก่าอย่างที่ทุกเขตเคยใช้กัน  เป็นรถไฟที่คนธรรมดาจากทุกเขตไม่เคยมีใครได้ใช้นอกจากพวกคนรวยหรือมีหน้ามีตาทางการเมืองในยุคสมัยของสโนว์  ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าทำไม  เพราะเหตุใดในเมื่อไม่มีกฎบังคับใช้แล้ว  ทุกคนสามารถนั่งรถไฟได้แต่ทำไมพวกเค้าถึงไม่ใช้มัน  อาจเป็นเพราะทิฐิและบาดแผลที่เป็นผลมาจากสโนว์ก็เป็นได้

แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรในเรื่องนั้น  กระทั่งนั่งคนเดียวอย่างไร้ตัวตนอยู่นานจนฟ้ามืดผมก็เดินออกมายืดเส้นยืดสายจากโบกี้รับรองของตัวเอง มันเคยเป็นโบกี้รับรองเก่าของพวกเศรษฐีมาก่อน

ผมเดินไปอีกที่หนึ่งเป็นห้องหรูหราไม่แพ้กับห้องที่ผมเคยจากมา  มีอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่อย่างพร้อมสรรพแต่ทว่าไม่มีคนเวียนมาเยี่ยมมันเลย  แม้แต่ผมก็ผ่านไป  ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจแต่ตอนนี้ผมกินอะไรไม่ลง  ในเมื่ออีกเพียงแค่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมก็จะได้พบกับคนที่รอคอยมาหลายต่อหลายเดือนแล้ว

ผมไร้สุ่มเสียง  ทำตัวเงียบเพราะไม่อยากถูกมองว่าก่อกวนแต่ก็ไม่อยากถูกหวาดระแวงหาว่าเป็นพวกหัวขโมยด้วยเช่นกัน  ผมเดินดูไปตลอดทุกโบกี้  ไม่มีคนอย่างเช่นที่คิดเอาไว้จริงๆ เพราะงั้นผมเลยได้แต่ชื่นชมความงามของเครื่องตกแต่งแต่เพียงเท่านั้น

จนกระทั่งคิดมาว่าจนสุดทางแล้วในตอนที่เจอเจ้าหน้าที่อยู่บนโบกี้ที่ผมเพิ่งเปิดประตูเข้าไป  ผมขอโทษเค้าบอกว่าผมไม่ควรเข้ามาในนี้แต่เค้ากลับบอกผมว่า

“ไม่เป็นไร ควรมีคนหลงเข้ามาในนี้หลายคนแล้วนอกจากคุณ”

ผมมองหน้าเค้า  ก่อนเค้าจะบอกว่ามันเป็นเรื่องดีที่ทุกคนในพาเน็มมีรถไฟใช้กันแต่ทว่ากลับน่าหดหู่เมื่อมันไม่เฟื่องฟูอย่างที่คิด  เค้าดูเศร้าและผิดหวัง ผมจึงนั่งคุยกับเค้า

แล้วไงเล่า  ไหนๆ ก็ต้องอยู่บนนี้อีกหลายชั่วโมงแท้ๆ แถมเค้าเองก็เหมือนเพิ่งจะเคยเจอคนอื่นนอกจากตัวเองด้วย

เราคุยกันหลายเรื่องทั้งดีและน่าตึงเครียดจากการปกครองชุดที่แล้ว  ก่อนเพื่อนคนอื่นของครูสจะเข้ามาอีกสองคน  พวกเค้าดูงุนงง แต่สุดท้ายก็ถูกครูสเรียกให้เข้ามาร่วมวงด้วย  และผมว่ามันเป็นเรื่องดีที่เราคุยกัน  พวกเค้าคุยสนุก  คุยกันออกรสทีเดียวเมื่อผมเล่าให้ฟังว่ากองกบฏลักลอบทำอย่างไรกับสโนว์  จนกระทั่งครูสและเพื่อนๆ รู้จนได้ว่าผมเป็นกบฏแนวหน้า แล้วพวกเค้าก็พาผมไปห้องกัปตันที่หัวขบวน

“กัปตัน เค้าคือ...เค้าคือ ฟินนิค   โอแดร์!” ครูสเปิดประตูแล้วชี้มาที่ผม หลังจากที่เพื่อนอีกสองคนของเค้าดันผมเข้าไป  ในตอนแรกผมนึกว่าตัวเองจะโดนฆ่าซะแล้วแต่กลายเป็นว่าพวกเค้าเปิดแชมเปญยี่ห่อ Veuve Clicquot ที่มีอยู่ขวดเดียวบนรถไฟฉลองกันอย่างพิศวงว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้

“ก็ไหนมีประกาศว่าเธอเสียชีพอย่างสมเกียตริไปแล้วยังไงล่ะเจ้าหนุ่ม” ชายร่างอ้วนหนวดกับผมเป็นสีแดงที่ถูกรัดด้วยเครื่องแบบถือแชมเปญแล้วพูดกับผมเสียงตื่นเต้น

ผมห้ามไปก่อนแล้วว่าพวกเค้าเป็นเจ้าหน้าที่ไม่ควรดื่มในเวลางาน “ผมก็คิดว่าตัวเองตายไปแล้ว” แต่ก็อย่าอะไรเลยเถอะ  แม้แต่คนคุมคันโยกก็ยังนั่งชนแก้วกับผมเลย

“โอ้ แล้วนายรอดมาได้ยังไงเหรอเพื่อน?” เพื่อนคนแรกของครูสถามผม  ยื่นหน้าเข้ามาในวงอย่างกระตือรือร้น

“ผมโดนระเบิด เกือบไม่รอดแล้วในตอนที่มีคนมาเจอเข้าและพวกเค้าก็ช่วยผมไว้” ผมกล่าวสั้นๆ ก่อนจะโดนกัปตันตบบ่าจนตัวเอียง

“โชคดีจริงๆ พ่อหนุ่ม  ฉันได้ยินชื่อเสียงของเธอมานานตั้งแต่มีแข่งควอเตอร์เควสแล้ว  เธอนี่มันเยี่ยมจริงๆ”

“อันที่จริงเราก็ด้วย” ครูสว่า เค้ายกแก้วขึ้นมาเรียกร้องความสนใจว่าพวกเค้าก็รู้จักผมผ่านจอแสดงภาพเหมือนกัน

เราคุยอะไรกันหลายๆ อย่างซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเรื่องที่นายขบวนของผมอยากรู้และรบเร้าถามกันซะมากกว่า  ผมตอบเค้าเกี่ยวกับทุกอย่างที่พอตอบได้  ครูสถามถึงแคทนิสว่าเธอเป็นอย่างไงบ้าง  ฟังดูเหมือนเค้าจะชอบสาวๆ มาก

“ไม่  ผมไม่คิดว่าเธอจะเป็นสเป็คสาวในอุดมคติของคุณนะ  เธออาจฆ่าคุณได้เลยขอเพียงแค่คุณทำให้เธอไม่พอใจ”

ครูสทำปากเบี้ยว แล้วยอมรับว่าแคทนิสอาจเป็นผู้หญิงพวกสุดท้ายที่ผู้ชายหลายคนคิดถึง  และโชคดีมากที่ผมไม่เคยมองเธออย่างที่ครูสกับเพื่อนๆ เคยมอง  ก่อนกัปตันจะบอกว่าเราใกล้ถึงที่หมายแล้ว



*************************************************************************



และแล้ววันที่เรียบง่ายก็ผ่านไปอีกแล้วเช่นเคย  เด็กหนุ่มผู้สวมเสื้อยืดตัวบางนั่งหนีบขาเข้าหากันอยู่ที่ข้างเตียง  พีต้ายังไม่นอน  ขอบตาของเค้าร้อนผ่าว จะร้องไห้ให้แคทนิสเห็นไม่ได้เพียงแค่การที่เธอคอยตามเค้านั่นก็ทำให้รู้แล้วว่าผู้หญิงผมสยายคนนั้นเป็นห่วงมากแค่ไหน  หลายครั้งเด็กหนุ่มคิดว่าเธอน่ากลัวยิ่งกว่าแม่ของเค้าเสียอีก

เด็กหนุ่มส่ายหน้า  บอกตัวเองว่าให้เลิกงี่เง่าได้แล้วเสียที  ก่อนจะล้มตัวลงนอนสอดขาเข้าไปใต้ผ้าห่มแต่เค้าก็ร้องไห้ออกมาอีกในตอนที่กอดมัน  ขย้ำมันเอาไว้ในมือแล้วคิดถึงฟินนิคอีกครั้ง ถ้าทำได้เค้าเลือกที่จะจับมือฟินนิคไว้ จะไม่ยอมทำตัวเป็นเด็กดีขึ้นมาข้างบนก่อนอย่างที่ฟินนิคว่าและปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องตาย  พีต้าสะอื้นเมื่อคิดถึงจูบครั้งแรกที่ฟินนิคฝากไว้  จูบนั้นกดย้ำและหนักหน่วง  แต่ริมฝีปากของฟินนิคนั้นช่างอบอุ่นอ่อนโยน  และเด็กหนุ่มก็สะอื้นหนักขึ้นเมื่อรู้ว่ามันจะไม่มีอีกแล้ว  จะไม่มีจูบจากร่างสูงอีกแล้ว 

เพราะไม่มี ฟินนิค   โอแดร์ อีกต่อไป......

ความจริงนั้นมันชวนให้ปวดใจและมากเกินจะรับไหวเสมอสำหรับเด็กหนุ่มที่รู้ว่าตัวเองขี้ขลาดหวาดระแวงและสูญเสียคนที่รักไป  ฟินนิคไม่มีโอกาสได้รู้ด้วยซ้ำว่าพีต้าก็รักเค้าถึงแม้เด็กหนุ่มจะไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มที่จูบเจ้าตัวจะรู้สึกรักมากมายเหมือนกันหรือไม่......พีต้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่ออยู่ใกล้กันแล้ว ฟินนิคจะแอบหัวใจเต้นรัวเหมือนอย่างที่เค้าเป็นหรือเปล่า

หากฟินนิคไม่ได้รักเค้า  ถึงแม้ชายที่คอยช่วยเหลือเหมือนเป็นคนสำคัญคนนั้นจะชอบคนอื่นแต่มันก็ยากลำบากสำหรับพีต้าอยู่ดีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจากไป  ความเจ็บปวดมักแล่นเข้ามาทำร้ายหัวใจเสมอเมื่อพีต้าอยู่คนเดียว  เด็กหนุ่มไม่เคยสกัดกลั้นหรือเอาชนะมันได้เลยสักครั้ง ถึงแม้จะพยายามแล้วแต่ที่สุดก็แพ้อย่างราบคาบ

เด็กหนุ่มเบเกอร์รี่ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป  จะปลูกต้นไม้  อบขนมไปจนตายหรือร้องไห้จนขาดใจไปเลยดีหรือไม่  แต่พีต้าไม่อยากให้ใครว่าเค้างี่เง่า  ไม่อยากให้แคทนิสต้องมาสมเพสเค้าอีกแล้ว  ที่ทำอยู่ทุกวันนี้แคทนิสเองก็คงจะคิดว่าเค้างี่เง่าที่พยายามปกปิดความเศร้าในใจของตัวเอง  ไม่มีที่ไหนน่าอยู่เลยสำหรับพีต้า  เด็กหนุ่มโหยหาการมีอยู่ของชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเค้าคนนั้นอย่าสุดหัวใจ

เด็กหนุ่มเบเกอร์รี่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เค้ากลับคืนมา

ฟินนิคทั้งฉลาด  เก่งกาจ  และใจดี  หนุ่มผู้อยู่กับสายน้ำมาทั้งชีวิตในเขต 4 ทำดีกับพีต้ามากเกินกว่าที่เค้าจะควรได้รับด้วยซ้ำ......มากเกินไปที่เด็กขี้ขลาดอย่างเค้าควรจะได้  แต่ฟินนิคก็ไม่เคยบ่นอะไรเลยถึงแม้จะต้องมาขลุกทำขนมกับพีต้าทั้งวันหรือคอยมองดูท่าทางเงอะงะเวลาร่างเล็กเพิ่งเคยทำอะไรเป็นครั้งแรก

มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนดีและน่าจดจำในวันวานที่มีฟินนิคคอยอยู่ด้วย  หลังจากกลับมาอยู่ที่เขต 12 อันตายซากและไม่เหลืออะไรแล้วพีต้าก็มักจะวนถามตัวเองอยู่เสมอว่าตลอดระยะเวลาที่ทั้งคู่เคยอยู่ด้วยกันนั้นเจ้าตัวเคยทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อฟินนิคหรือไม่  เคยทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจหรือสบายใจไหม  หรือว่าจะรั้งแต่หาเรื่องปวดหัวมาให้ชายหนุ่มคอยตามดูแลอยู่ตลอด

ถึงแม้จะไม่ได้ทำตัวดูโง่เง่าขนาดนั้น  แต่สุดท้ายแล้วเมื่อพีต้าย้อนมองไปรอบข้างตัวก็จะเห็นฟินนิคคอยยิ้มให้เสมอ  ไม่ใช่รอยยิ้มที่ให้กำลังใจแต่ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มแห่งความสบายใจ  ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นดูเหมือนมองโลกในแง่ดีเสมอถึงแม้พีต้าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ในตอนที่สงครามกำลังปะทุขึ้นอย่างรุนแรง  แต่เมื่ออยู่ใกล้แล้วกลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นใจอย่างยิ่ง  ฟินนิคมักจะคอยจับมือเอาไว้เสมอ  ถึงแม้เค้าไม่ได้พูดอะไรแต่พีต้าก็ชอบมัน หลายครั้งเด็กหนุ่มมักกระชับฝ่ามือเข้าไปหาเองอย่างแนบเนียนพอๆ กับตอนที่อีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาจับในตอนแรก

มันคงจะดีไม่น้อยถ้าได้จับมือหยาบกร้านจากการออกกำลังนั้นอีกครั้ง  แรงบีบของฟินนิคช่างหนักแน่นแต่ทว่ามันกลับอ่อนโยนอย่างยิ่งมือโอบอุ้มอุ้งมือที่ทำได้เพียงแค่อบขนมกับวาดรูปของพีต้า  แผ่นหลังของฟินนิคในตนที่วิ่งตามนั้นผายกว้าง  หัวไหล่ของฟินนิคเมื่อมองเห็นอยู่เคียงข้างช่างทำให้รู้สึกปลอดภัย  ถึงแม้ในเวลานี้ไม่มีความวุ่นวายโกลาหนให้หวาดวิตกอีกต่อไปแล้วแต่พีต้ายังอยากขอให้ได้อยู่กับฟินนิคอีกครั้งเหมือนเมื่อยามที่เกิดสงคราม

แต่ฟินนิคตายไปแล้ว.....

พีต้าร้องไห้อีก  ดวงตาโผล่พ้นออกมาอยู่นอกผ้าห่มเมื่อเจ้าตัวกอดมัน  เค้าสะอื้นจนตัวสั่นเทิ้ม  หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้อย่างจนใจว่าทำไมถึงได้เจ้าน้ำตาขนาดนี้  ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วเมื่อไม่มีฟินนิค  และพีต้าก็อ่อนแอมากกว่าที่เป็นอยู่

เด็กหนุ่มร้องไห้จนเหนื่อย  ความอ่อนล้าแวะเข้ามาหาในที่สุด  พรุ่งนี้แคทนิสจะต้องรู้โดยไม่ต้องถามเป็นแน่ว่าเมื่อคืนนี้เค้าร้องไห้มาอีกแล้ว  ดวงตาที่บวมช้ำนั้นกระพริบเบาๆ อย่างอ่อนแรง  จ้องมองออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับลมเข้ามาเพื่อความเย็นสบายในยามค่ำคืน  พีต้าหลับตาลงอย่างปรือปรายแล้วหลับไปในที่สุด



.



.



.



ร่างเล็กเจ้าของห้องในบ้านหลังใหญ่อันเปลี่ยวเหงาหลับไปแล้ว  ลมเย็นที่พัดละเลียดพื้นดินหมุนตัวเกี่ยวเอากลิ่นโรสแมรี่ที่เค้าปลูกให้คลุ้งเข้าไปในห้อง  พีต้าขยับใต้ผ้าห่มไปมา  ก่อนบานหน้าต่างใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าเค้าจะปรากฏเป็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินกว้าข้ามมันเข้ามา  ชายคนนั้นเข้ามาในห้อง  ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง  เค้าวางกระเป๋าลงแล้วเดินเข้าไปหาพีต้าอย่าเงียบเชียบราวกับว่าไม่อยากรบกวนให้เด็กหนุ่มตื่น

ชายหนุ่มทรุดตัวลงข้างเตียง  มองใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ทว่ากลับดูอ่อนล้าและเศร้าสอยถึงแม้จะอยู่ในยามหลับของพีต้า  เค้าสูดหายใจเข้าลึก บอกตัวเองว่าอย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องตื่นเพราะตกใจ  ฟินนิคไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือหัวเราะดีที่ได้พบกับพีต้าอีกครั้ง  ชายหนุ่มปลายนิ้วสั่นเทาอยู่ชั่วแวบหนึ่งก่อนจะแตะสัมผัสไปบนโหนกแก้มที่เมื่อนานมาแล้วเคยมีรอยช้ำของเด็กหนุ่ม  มันเย็นและเนียนลื่น  ฟินนิคเกลี่ยนิ้วไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทาบมือลงไปบนแก้มที่เย็นเชียบเพราะลมเย็นในตอนกลางคืนของพีต้า ความอุ่นจากฝ่ามือนั้นทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงระริกเปลือกตาด้วยความรู้สึกแปลกใหม่  และแล้วพีต้าก็ลืมตาตื่นขึ้นมาดูความอบอุ่นที่ข้างแก้มที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดออกไป

เด็กหนุ่มสะดุ้งในทันใดเมื่อพบว่ามีคนนั่งอยู่ข้างเตียง  ร่างเล็กลุกขึ้น  เมื่อปรับโฟกัสได้ก็ไม่เชื่อสายตาในคราแรก ร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหน้าเค้าไม่ได้พูดอะไร ฟินนิคหยุดนิ่ง  วาดยิ้มอบอุ่นมาให้เด็กหนุ่มที่มองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ฟินนิค” พีต้ากระซิบ  ยังคงไม่เชื่อสายตา

“ไง” ร่างสูงยิ้มและกระซิบตอบเช่นกัน  รอยยิ้มของฟินนิคดูยินดีแต่ดวงตาของเค้าเคลือบวาวเต็มไปด้วยน้ำตา พีต้าแตะเข้าไปที่แขนของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าอย่างเบามือ  สัมผัสได้ถึงความแข็งแรงที่ยังคงเหมือนเดิม

“ฉันกลับมาแล้ว” ร่างสูงพูด ยิ้มน้ำตาคลออีกในตอนที่พีต้าน้ำตาไหลและร้องไห้ออกมาในที่สุด  เด็กหนุ่มแตะไปบนใบหน้าของร่างสูงอย่างแผ่วเบาแล้วน้ำตาไหลไม่หยุด  โถมกอดฟินนิคในตอนที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ดึงเค้าเข้าหาอ้อมอก  พีต้ากอดร่างที่สูงกว่าเอาไว้แน่น...แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ราวกับกลัวว่าฟินนิคจะหายไปอีก  คำถามมากมายลอยคว้างอยูในหัวของเด็กหนุ่มแต่ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเวลาสำหรับให้คำถามแทรกกลางเข้ามาได้

เด็กหนุ่มผมสีบล์อนรู้สึกถึงสันจมูกที่กดอยู่ตรงซอกคอของตัวเอง  ฟินนิคสูดหายใจ  แผ่นหลังของเค้าที่พีต้ากอดไว้ค่อยๆ ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า  เสียงที่สูดเอากลิ่นเส้นผมดังขึ้นอยู่ข้างหูของเด็กหนุ่ม  นอกจากจะสะอื้นแล้วพีต้ายังหน้าแดงอีกด้วย  ร่างสูงที่กลับมาจากความตายไม่ได้พูดอะไรมากนัก  พีต้าอยากให้เค้าพูดหรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การทำให้หัวใจดวงน้อยๆ นั้นต้องเต้นระรัวไม่เป็นส่ำแบบนี้

“ฟินนิค...” พีต้าเรียก ฝืนสะอื้นไว้ได้สำเร็จแต่ร่างสูงกลับจูบซอกคอเค้า

ฟินนิคกอดพีต้าไว้แน่น  พรมริมฝีปากร้อนไปบนลำคอของเด็กหนุ่มอย่างโหยหาจนอีกฝ่ายหนึ่งต้องหดคอหนีอย่างตื่นตกใจ

“ฟินนิค” เด็กหนุ่มคลายอ้อมแขนออกมาแล้วใช้มือดันอกของอีกคนหนึ่งให้ออกห่าง  แต่กลับโดนจับไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้

“ฟินนิค!” พีต้านิ่วหน้า  รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือทั้งสองข้างและต้นคอที่โดนกัด  เสียงหายใจของร่างสูงดังขึ้น  เค้าผละหน้าออกมาจากคอที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงของเด็กหนุ่ม  มือยังคงกำรอบข้อมือเล็กที่เวลานี้เอาแต่ปลูกดอกไม้นั้นไว้อย่างแน่หนา  ดวงตาสีอ่อนสบกับแววตาอันไหวระริกของเจ้าของห้อง  แล้วร่างสูงก็กดร่างเล็กลงกับเตียง  ลมหายใจร้อนผะผ่าวของพวกเค้าปะทะกัน  พีต้ายังคงมีน้ำตารื้นอยู่ไม่เหือดหาย  เด็กหนุ่มหายใจอย่างรุนแรง  พยายามอย่างหนักที่จะรวบรวมสติแล้วเอ่ยเป็นคำออกมา

และฟินนิคก็ดับสตินั้นด้วยจูบของเค้า

ร่างสูงทาบจูบลงไป ขณะที่มือก็ยังคงกดตรึงแขนของร่างเล็กเอาไว้กับพื้นเตียง  พีต้ายอมอ้าปาก  เด็กหนุ่มต้องการอากาศเอาไว้หายใจมากกว่านี้แต่ทว่าร่างสูงกลับใช้โอกาสนั้นตักตวงเข้าไปในปากของร่างเล็กอย่างบ้าคลั่ง  ฟินนิคใช้ลิ้นตวัดเลียเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว  ริมฝีปากของพวกเค้าบดเบียดและฟันก็กระทบกัน

พีต้าถูกสูบเอาเรี่ยวแรงไปด้วยรสจูบอันดุเดือดของฟินนิค  ร่างเล็กได้รับการปลดปล่อยในที่สุด  ไม่ได้ถูกจับแล้วในตอนที่รู้สึกถึงฝ่ามือกร้านซึ่งสอดเข้ามาใต้เสื้อนอน  ร่างสูงลูบแผ่นหลังแน่นลื่นด้วยความคิดถึงพอๆ กับจูบของเค้า  พีต้าดิ้นและขยับตัวอยู่ใต้ร่างและการลูบไล้ของฟินนิค  การจู่โจมสัมผัสทำให้เด็กหนุ่มตกใจมากเกินกว่าจะมีสติ

หนุ่มเบเกอร์รี่ถูกดันศีรษะให้เริดขึ้นด้วยนิ้วมือที่แตะอยู่ใต้คางของตัวเอง  เค้าเงยหน้า ผมสีประกายทองนั้นถูกับผ้าปูที่นอนเพราะร่างสูงของชายหนุ่มกำลังไล่จูบไปตามต้นคอและกกหูของเค้าอยู่  พีต้าร้องเสียงเบา  ฟังดูไม่กล้าหรือเพราะกลัวก็ไม่แน่ชัดนัก แม้แต่จะขยับแขนก็ทำไม่ได้เลยเนื่องจากถูกอีกคนหนึ่งกอดรัดเอาไว้  ฟินนิคเลิกเสื้อพีต้าขึ้น ไล่สันจมูกไปตามแผ่นอกบริสุทธิ์นั้นอย่างรีบร้อน  ร่างสูงกอดรัดแผ่นหลังลื่นมือนั้นเอาไว้แน่น ไม่คลายแรง  ส่วนอีกมือหนึ่งของเค้าก็สอดเข้าไปใต้กางเกงที่ตัวเล็กกว่า

พีต้าสะดุ้งเมื่อโดนบีบสะโพก

“อือ  ฟินนิค...” เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูตื่นตระหนก  แต่ร่างสูงไม่ได้ฟังอะไรเลย เค้ากลับใช้ริมฝีปากขย้ำไปบนแอ่งชีพจรของพีต้าอย่างโหยหา

“ฟินนิค! อย่า...ไม่” พีต้าเริ่มดิ้นแรงขึ้น “ฟินนิคเดี๋ยวก่อน!” เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหอบหายใจของคนด้านบนตามมาด้วยเสียงขาดของเสื้อผ้า  ฟินนิคฉีกเสื้อผ้าของเค้าออกและใช้ลิ้นลากไล่ไปบนเรือนร่างเช่นเดียวกับที่ทำในโพรงปากของเค้า

“ฟินนิคอย่า  ได้โปรดเถอะ...ฟังฉันหน่อย  ไม่!

“พีต้า...”

ฟินนิคยังคงฝังใบหน้ากับหน้าอกของพีต้า  แต่เสียงที่เรียกนั้นไม่ใช่เสียงของร่างสูง

พีต้า” เสียงนั้นดังขึ้นอีก  พีต้าได้ยินแต่กลับทำเป็นสนใจมันไม่ได้  ฟินนิคถอดกางเกงเค้าออก เด็กหนุ่มขดตัว  กอดตัวเองแล้วพลิกกายหนีอีกคนหนึ่งด้วยความอายและหวาดกลัว

พีต้า!



.



.



.



พีต้า ตื่นได้แล้ว!

คนถูกเรียกสะดุ้งตัวในที่สุดและบนว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว



.



.



.



TBC.



--------------------------------------------------------------------------------------------




อาย  อ้าย  อ๊ายย  อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย   อร๊ายๆๆๆๆๆๆๆๆ!! >[]<  ฟิน-นิคคคคคคค  ฟินนิค!!  อูยยยยยย  เกือบไปแล้วค่ะ  เกือบ เกือบๆๆๆๆ เกือบจะทำให้เราสมใจกันแล้ว อูยยยยยยยยยย  //ถ้าไรท์เป็นรีด จะเอากำปั้นทุบโต๊ะค่ะ//  คนปลุกอ่ะถ้าเธอมาช้ากว่านี้บางทีเค้าอาจจะได้อะไรๆ กันมากกว่านี้ก็ได้อร๊ายๆๆๆๆๆ >[]<  //ดิ้นเองและเขียนเองค่ะ -^- มิ//

โอยยยยยยย  ไรท์แอบรู้สึกผิดที่ให้รีดอ่านอะไรส่งท้าย Part แบบนี้ค่ะ  เพราะงั้นไงค่ะ  ไร?เลยฉีกยิ้มตั้งแต่ talk ข้างต้นเลย 555555  //สรุปกินยำตีนรีด 55555//

จะเป็นอย่างไรต่อไป  ฟินนิคใกล้มาถึงแล้วหรือว่ายังไม่ถึงในเร็วๆ นี้กันแน่  ต้องติดตาม Part หน้าค่ะ  หัวใจของพวกเค้ากำลังได้พบกันแล้วค่ะ >////<

ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่เข้ามาอ่านนะคะ  เฟสของไรท์เจ้าค่าา  แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด  และอย่าลืกกดไลค์เพจให้ไรท์ด้วยนะเออ  อยู่ทางด้านขาวมือในบล็อกเลยจ้า สำหรับคนที่เล่นในเว่อร์ชั่นมือถือให้เปลี่ยนเป็นเว่อร์ชั่นหน้าเว็บของท้ายบล็อกในมือถือก่อนนะคะแล้วจะเห็นเพจเจ้าค่ะ ><

ขอบพระคุณและรักรีดมากมายเลยค่ะ //วาดหัวใจใส่จอ//

ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund





ไม่มีความคิดเห็น: