วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[FIC - TMI] + [Part 22] Your Heart……หัวใจนายเป็นของฉัน – Magnus x Alec



 อ๊าาาาาาา รีดขาาาาาา >[]<!! //วิ่งเข้ากอด// หายหน้าไปนานมากเลยค่ะ ไรท์อ้าอกรับเลยค่ะ TWT  และขอโทษนะคะที่หายไปนาน และสวัสดีค่ะ หลังจากหายไปนานมากกกกกกกกก ตอนแรกก่อนไปเข้าค่ายไรท์กะจะลงส่งท้ายสัก Part สอง Part ค่ะ  แต่ว่าเกาะม่ายด้ายโลงงงงง TWT //นั่งซึมเลยค่ะ//

แต่ว่าไปค่ายสนุกมากเลยค่ะ ถ้าไม่นับรวมเพื่อนร่วมค่ายที่ทำหน้าเหมือนไม่ต้องการมีเพื่อนเพิ่มอ่ะนะคะ TET พวกนางทำไรท์ผวาจัดเลยค่ะ อะไรคือตื่นมาแต่ตีสาม เพื่อเขียนคิ้ว!?  แล้วอะไรคือนอนแล้วก็ยังใส่กางเกงยีนส์นอน!?  แล้วพอไรท์ใจกล้ายิ้มให้ที พวกนางก็มองหน้าไรท์แปลกๆ ค่ะ

ทำไมอ่ะ TYT !! คนเค้าจะมีน้ำใจยิ้มให้คนอื่นอย่างเป็นมิตรหน่อยไม่ได้หรือไงอ่ะ! T[]T  ไม่สนุกเลยค่ะพอต้องทำกิจกรรมกับคนที่ไม่อยากทำร่วมกับเรา  แต่ที่เด็ดสุดๆ รู้สึกจะเป็นพี่ๆ สตาฟค่ะ พี่ๆ เค้าน่ารักมากๆ เลยยยยยยยย >///<  แล้วก็ดูแลดียิงกว่าพนักงานในโรงแรมห้าดาวซะอีกค่ะ  เทคแคร์น้องๆ ดีมากๆ เลยค่ะ >< ไรท์ล่ะต้องขอยกนิ้วให้เลยค่ะ............รักพี่ๆ สตาฟทุกคนมากๆ เลยยยยยยยยย

เดี๋ยว.....นี่ไรท์เวิ่นอะไรคะเนี่ย?

นี่ Ray – Aund เธอมาลงฟิค MaLec ไม่ใช่เหรอ -*- ฝอยอีกแล้วค่ะ 5555555555  ต้องขอภัยอีกทีหนึ่งนะคะที่หายไปนานมากกกกกกก ใน Part นี้ต่อจาก Part ที่แล้วเลยนะคะ ><  Part นี้อิตาเบนละมุนมากกกกกกกกกกกก >/////<  อร๊าย! ไม่สปอยล์ดีกว่านุ  เชิญรีดๆ ไปอ่านกันเลยค่าาาาาา >{}<


--------------------------------------------------------------------------------


“ใช่  เพื่อนาย.....อย่างร้องไห้อีกเลยอเล็ค  ฉันไม่อยากให้นายร้องไห้อีกแล้ว” แม็กนัสเข้ามาประชิดตัวแล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเพื่อนตัวน้อย..........


.


.


**************************************************************************************


.


.

แม็กนัสยังคงเกลี่ยเช็ดไม่เลิกรา  ในตอนที่เพื่อนร่างบางนั้นกระพริบตาแล้วพยายามเสหน้าไปทางอื่น  แม็กนัสรั้งไว้เพราะยังคงไม่ไว้ใจและไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แต่หลายสิ่งที่ยังเตือนใจร่างบางอยู่นั้นก็กดดันให้อเล็คต้องเอ่ยขึ้น

“นายกลับไปเถอะแม็กนัส  แฟนนายอาจรออยู่นะ” อเล็คว่าพลางจับมือแม็กนัสออก  แต่สำหรับแม็กนัส การเอ่ยถึงแฟนสาวของเค้า ก็เป็นเหมือนดั่งการใช้ค้อนฟาดลงบนตัวของเค้าเอง

แม็กนัสมีสีหน้าเรียบเฉย แล้วยักไหล่ “อาจจะไม่ใช่อีกแล้วล่ะ” ......และท่าทีของร่างสูงก็เป็นเหตุมาจากการเอ่ยถึงเธอ  ก่อนเค้าสังเกตเห็นใบหน้าที่ไม่เข้าใจของอเล็ค

“ฉันเพิ่งรู้ว่าบางทีเราอาจจะไปกันไม่ได้น่ะ” เค้าว่าเสียงเอื้อยๆ พยายามทำให้ประโยคนั้นดูสื่ออารมณ์ไปในแง่บวก.......ไม่ต้องการให้อเล็ครู้ว่าเอลซ่าเป็นตัวการที่ทำให้เรื่องเลวร้ายในวันนั้นเกิดขึ้น  นั่นอาจทำให้เพื่อนร่างบางของเค้ายิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก  และมันอาจทำให้อเล็ครู้สึกระแวงแม้กระทั่งกับคนที่ไม่รู้จักกัน

แต่อเล็คก็มักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ “นาย...คิดแบบนั้นกับเอลซ่าไปซะแล้วหรือ  เธอดูแคร์นายมากเลยนะ” ร่างบางว่า อันที่จริงหากเป็นเมื่อก่อนเจ้าตัวอาจจะดีใจอยู่เล็กๆ ในซอกลืบของหัวใจอยู่ก็ได้ 

แต่ทว่าท่ามกลางในเวลาที่ความรู้สึกเปราะบางอันแสนจะย่ำแย่นี้ของอเล็คกำลังกัดกินหัวใจ คำบอกกล่าวของแม็กนัสก็ทำเอาร่างบางรู้สึกใจหายไม่น้อยเลย กับบทรักที่ดูจะสั่นคลอนไปเสียแล้วของเพื่อนร่างสูง

..................ก็แม็กนัสรักเอลซ่ามากมิใช่หรือ  นั่นอาจจะทำให้การเลิกราเป็นชนวนของความเจ็บปวดของคนทั้งคู่...............

แต่ดูเหมือนว่าแม็กนัสจะไม่ยอมกลับไป  ร่างสูงสะโอดสะองมีความต้องการอยากที่จะอยู่กับเพื่อนตัวน้อยของเค้าให้ได้นานที่สุด  แต่อเล็คกลับไม่ต้องการอย่างนั้น  ร่างบางรู้สึกอยากที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า เป็นเพราะเค้าแน่ใจแล้วว่าจะย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้าน  การจากไปอาจจะดีกว่า

“นายกลับไปเถอะ” อเล็คว่าเสียงแผ่ว  ฟังดูใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง

แม็กนัส   เบน มองใบหน้าที่เพิ่งหยุดร้องไห้ไปของอเล็ค........ในใจร่างสูงสะโอดสะองอยากบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ใจจะขาดว่า ตั้งแต่เหตุการณ์แย่ๆ ในวันนั้น เค้าก็เอาแต่คิดถึงและโหยหาถึงการมีตัวตนอยู่ของอเล็คไม่ยิ่งหย่อนไปมากกว่าการมีชีวิตอยู่เลย  ในความรู้สึกของเค้า ราวกับว่าเพื่อนร่างบางได้เข้ามาหาเค้าที่ห้องพักแทบทุกวัน  แต่ทว่าหลังจากวันนั้นความรู้สึกคุ้นเคยนั้นกลับหายไปอย่างน่าใจหาย

แม็กนัสรู้สึกเสียใจ

สัมผัสของอเล็ค  กลิ่นกายของอเล็ค  และการจัดวางของอเล็คยังคงอบอวลอยู่ในห้องพักราคาแสนแพงของเค้า.......และแม็กนัสไม่เคยรู้เลยว่าที่ทั้งหมดเป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะอเล็คได้เข้าไปสำรวจตรวจตราในห้องของเค้าอยู่อย่างนั้นเป็นจำนวนบ่อยครั้งจริงๆ

ถ้าเป็นไปได้แม็กนัสไม่ต้องการให้เรื่องไร้สติในคืนนั้นเกิดขึ้นเลย  ร่างสูงเพียงแค่อยาก........

“อเล็คฉัน....” แม็กนัสเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้อย่างร้อนใจ เพราะต้องการจะบอกสิ่งที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นแก่อเล็ค แต่ก็ดูเหมือนจะรีบร้อนมากเกินไป จนเป็นเหตุให้ร่างบางที่กำลังหันมาห้ามปรามพอดี เกือบจะชนเข้ากับใบหน้าที่ขมวดแน่นของเพื่อนร่างสูงผู้ที่เป็นคนเรียกขานชื่อนั้นตั้งแต่แรก

ลูกชายคนโตของตระกลูไลต์วู้ด หยุดหายใจ  สายตาประสานไปยังริมฝีปากของอีกฝ่ายหนึ่งที่แทบจะประชิดกับริมฝีปากบางที่เผยอออกน้อยๆ ของอเล็คเสียแล้ว  ร่างบางผงะห่างเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อยจริงๆ เท่านั้น  แม็กนัสไม่ได้รู้สึกถึงระยะห่างที่สามารถกั้นระยะของลมหายใจพวกเค้าได้เลยด้วยซ้ำ  เพื่อนตัวน้อยที่ผิวกายขาวระเรื่อตัวแข็ง  ไม่กล้าขยับตัวปุบปับตามใจคิด เป็นเหตุเพราะเรื่องราวในคืนนั้นกลับมาร้อยเรียงในหัวของเค้าอีกครั้ง

แต่ทว่าแม็กนัสที่อยู่ตรงหน้า ที่เกือบจะสัมผัสถึงกันได้กลับทำให้จิตใจของร่างบางสงบนิ่งได้อย่างน่าฉงน  ริมฝีปากที่ไม่เหมือนใครของเพื่อนร่างสูงคลายออกจากกัน ไม่กรีดเป็นเส้นเรียบตรงยามเมื่อมีเรื่องให้หนักใจอีกต่อไปแล้ว  ปลายจมูกของแม็กนัสดูราวคล้ายกับหยดน้ำที่ไม่มีวันหยดลงสู่พื้น  และเรียวคิ้วสีเข้มที่เคยขมวดมุ้นก็คลายออก........ใบหน้าที่อเล็คเห็นเป็นเช่นเมื่อก่อนที่ทำให้ร่างบางรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างเหลือเชื่อ..........

“นายโอเคไหมอเล็ค?”

ใช่  แม็กนัสเคยพูดเช่นนั้น  ครานั้นเพื่อนร่างสูงหันกายมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ  ส่งเสียงเป็นห่วงถามเค้าเมื่อยามที่อเล็คโดนแม่ที่โมโหร้ายไล่ออกจากบ้านอย่างไม่มีเหตุผล  อเล็คในตอนที่ยังเด็กซึ่งถือหนังสือการ์ตูนของแม็กนัส นั่งอยู่บนเตียงของอีกฝ่ายรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงที่แฝงมากับน้ำเสียงและสีหน้าที่อบอุ่นของเพื่อนร่างสูงได้อย่างชัดเจน

เช่นเดียวกันกับตอนนี้........

ฝ่ายร่างสูงเอง เมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตามยามเมื่อมีเรื่องหนักใจสุดขั้วของเพื่อนตัวน้อยก็ถึงกับเปลี่ยนความตั้งใจทันที  เค้าอาจอยากจะแถลงไขถึงความเรื่องของคืนนั้นให้อเล็คได้รับรู้  แต่จะว่าไปมันก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้รับรู้ว่าตอนนี้จิตใจของอเล็คเป็นเช่นไร

คราแรกแม็กนัสคิดว่าเพื่อนของเค้าจะถอยหนีราวกับเห็นผี เนื่องจากเหตุการณ์ในวันนั้น  แต่อเล็คกลับไม่ทำ........ร่างสูงแอบคิดเข้าข้างตัวเอง  นั่นเป็นเพราะเพื่อนของเค้าไม่ได้คิดกลัวเค้าแล้วรึเปล่านะ?

แม็กนัสแค่อยากขอโทษ.......

ร่างสูงเหม่อมองริมฝีปากบางสีชมพูมุกที่อยู่ถัดไปจากลูกแก้วสุกใสสีฟ้าที่หลุบลงมองบางสิ่งอยู่เช่นเดียวกันกับเค้า

แม็กนัสสูดหายใจเข้าเล็กน้อย หลังจากที่ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มของเค้าจะถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกตาจนเกือบหมด  ก่อนใบหน้าคมคายจะโน้มลงไปเพียงเล็กน้อย สัมผัสริมฝีปากที่เป็นประกายของร่างบางตรงหน้า............

แม็กนัส   เบน หลับตาแนบสนิท เช่นเดียวกันกับริมฝีปากรูปจงอยของเค้าที่กดทับลงบนเรียวปากของอเล็คอย่างแนบแน่น  ร่างบางกระพริบตาหนัก และไม่กล้าขัดขืน  แอบหลงคิดไปว่าตนจะโดนกัดแล้วผลักลงเตียงไปหรือเปล่า

แต่ก็ไม่เลย  แม็กนัสไม่ได้ทำเช่นนั้น  ร่างกายของเพื่อนร่างสูงไม่ได้แม้แต่จะขยับเขยื้อนไปไหนเลยด้วยซ้ำ

แม็กนัสเพียงแค่อยากจะจูบอเล็คก็เท่านั้น............

.............นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เค้าคิดจะทำ

..........แต่ทว่าอเล็คก็ดึงดูดหัวใจเค้ามากเกินไป............

ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น แม็กนัสรู้สึกราวกับว่าตนเองไม่รู้จักอเล็ค  เพื่อนตัวน้อยที่งอแงและบอบบางมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ใช่คนที่เค้าเคยทำความรู้จักอีกต่อไป...........

ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างได้แปรเปลี่ยนความรู้สึกของร่างสูงที่มีต่อร่างบางตรงหน้าไปเสียแล้ว

.............เป็นความรู้สึกใหม่ ที่ไม่ใช่การเกื้อกูลกัน เช่นทุกครั้งที่ผ่านมา...........

อาจเรียกได้ว่ามันคือสิ่งที่มากมายเกินกว่าคำว่าเพื่อนซึ่งแม็กนัสเข้าใจมันอย่างผิวเผินมาโดยตลอด

แม็กนัส   เบน ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน  แต่ทว่าเมื่อเค้าจูบอเล็คที่พยายามตีตัวออกห่างและกลัวเค้าจนตัวสั่นแล้ว  ร่างสูงสะโอดสะองก็รู้สึกถึงช่องว่างระหว่างเค้าทั้งสองที่เหินห่างอย่างน่าใจหายเป็นเวลานานตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา  แต่ทันทีที่ได้สัมผัสริมฝีปากอุ่นร้อนเพราะพิษไข้นิดๆ ของเพื่อนร่างบางนั้น  แม็กนัสรู้สึกเหมือนช่องว่างดังกล่าวได้ลดช่วงหายไป ราวกับว่าอเล็คเติมเต็มบางสิ่งที่เค้ายังคงหาไม่เจอ...........

...............ใช่  อเล็คได้เติมเต็มมันเข้าไปนานแล้ว  แต่เป็นแม็กนัสเองนั่นแหละ ที่ยังคงไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งที่เค้าตามหานั้นอยู่ใกล้แค่ไหน.............

ฝนที่หยุดตกแล้วทิ้งหยดน้ำจำนวนมากมายให้ทิ้งตัวลงมาเป็นสายตามแรงโน้มถ่วงของโลก  กระทบหลังคาแล้วไหลลงชายคาไปยังถนนเบื้องล่าง  สายน้ำเล็กๆ พาดผ่านหน้าต่างของห้องพักในอาร์พาร์ทเมนท์เก่าๆ แห่งหนึ่ง........ที่ซึ่งตรงนั้น  ร่างสูงสะโอดสะองเพิ่งจะได้ผละริมฝีปากของตัวเองออกมาจากการจูบ  เส้นไหมสีดำนุ่มมือดูน่าสัมผัสของอเล็คหล่นลงมาปรกดวงตาที่ทิ้งตัวลงปิดสนิทตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้

แม็กนัสจุมพิตอเล็คอย่างแผ่วเบา  แต่ทว่าตราตรึงยิ่ง แม้จะเป็นเพียงในเวลาสั้นๆ ก็ตาม  เค้าถอนจูบออกมา  ราวกับว่าจุมพิตแห่งความเสน่หาในเทพนิยายที่เจ้าชายกำลังจะบอกลาคนรักของเค้า  ร่างสูงสะโอดสะองยังคงหลับตาพริ้มคำนึงถึงจูบนั้นที่ตนเพิ่งได้สัมผัสไป เช่นเดียวกันกับร่างบางที่โดนชิงริมฝีปากไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

และในที่สุดเมื่อแม็กนัสถอยหาระยะห่างไว้เพียงแค่ลมหายใจกั้น   ทั้งสองคนก็ลืมตาขึ้น  แต่ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมสบตากันและกัน เหตุเพราะสิ่งที่ขัดกับสถานการณ์นั้นเพิ่งได้เกิดขึ้นไป  จนกระทั่งร่างสูงเป็นฝ่ายที่เลื่อนระดับสายตามาจ้องมองร่างตรงหน้าเสียเอง  ในเวลานั้นร่างบางจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงขึ้นจนปวดหน้าอก

เมื่อกี้..........

มันเป็นจูบที่แสนจะบางเบาและอ่อนโยนของ แม็กนัส   เบน ..............

และใช่  หลายสิ่งที่แม็กนัสมั่นใจมากกว่าการจูบอเล็คคือสิ่งที่เค้าเริ่มจะได้เข้าใจตัวเองแล้วเมื่อครู่นี้  ไม่ใช่เพราะร่างสูงต้องการให้เพื่อนตัวน้อยอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่มีเค้าคอยประคับประคอง  แต่เป็นเพราะแม็กนัสคนนี้ยังไม่พร้อมที่จะจากไปโดยปล่อยให้อเล็คอยู่คนเดียวต่างหากล่ะ......... 

ไม่  เค้าไม่มีวันพร้อมแน่

อเล็คกำลังสับสนและหวาดกลัว  ร่างสูงต้องทำให้อเล็ครู้และเชื่อใจ..............

มือแกร่งสัมผสไปที่คางมนสีขาวกระจ่างสะดุดตา ซึ่งเจ้าของคางนั้นก็สั่นหนีเช่นที่คาดไว้ ก่อนแม็กนัสจะเชิดคางของคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหนีให้เงยขึ้นมาสบตากับเค้า

ดวงตาสีฟ้าที่ส่องประกายเพราะม่านน้ำตาซึ่งยังคงไม่เหือดหายไปไหนเหม่อมองกลับไปอย่างน่าสงสาร.........ร่างบางไม่รู้ ว่าเพื่อนร่างสูงกำลังจะเล่นตลกอะไรกับหัวใจของเค้ากันแน่  ทั้งๆ ที่ทำใจเอาไว้แท้ๆ ว่าจะลืมแม็กนัส  ลืมความรู้สึกที่ตัวเองได้ก่อมันขึ้นมาอย่างลมๆ แล้งๆ  แต่ทว่าตอนนี้สำหรับอเล็คแล้ว มันก็ยังคงเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ อยู่ดี

.................มีเพียงใจจริงของแม็กนัสเท่านั้น ที่จะทำให้อเล็คเชื่อได้............

“อเล็คฉัน.....”

R……R……R……R……R…..

แต่ทันใดนั้น  ประโยคแรกซึ่งทำลายความเงียบของร่างสูงก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงของเครื่องมือสื่อสารราคาแพงของเค้าเอง.........ช่างดังอย่างไม่รู้เวลาเสียจริง

แม็กนัสถอนหายใจ กลอกตาขึ้นฟ้า ในขณะที่อเล็คก็สะดุ้งไปด้วย  ใบหน้าขาวกระจ่างก้มลงดังเดิม  แม็กนัสรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อยแต่เจ้าตัวก็จำต้องหยิบสมาทร์โฟนของตัวเองขึ้นมารับอย่างเสียไม่ได้

-- เอลซ่า –

ร่างสูงฉงนไม่น้อย.........หากถามถึงความจริง  เค้าไม่ต้องการให้อะไรมาทำให้เค้าคิดถึงเธอเลยด้วยซ้ำ

แต่แม็กนัสต้องรับมิฉะนั้นอาจจะเสียมารยาทได้  ร่างสูงสะโอดสะองลุกขึ้นมาจากเตียงที่เค้าทั้งคู่นั่งอยู่อย่างแผ่วเบา แล้วเดินออกมาคุยตรงระเบียงเล็กแคบขนาดกะทัดรัดตรงห้องครัว  เค้ารับสาย

“เอลซ่า” แม็กนัสเอ่ย  เพียงแค่เรียกชื่อเธอเป็นเชิงถามว่ามีธุระอะไรเพียงเท่านั้น.......ร่างสูงพูดคุยกับแฟนสาวด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

แต่ทว่าเสียงที่ตอบกลับมา  กลับเป็นเสียงที่ฟังดูลนลานและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “แม็กนัส...อึก...แม็กนัสโอ้พระเจ้า.....ฉัน อึก  ฉันอยากพบคุณ......อึก ฮืออ  ฉัน....ฮึ ฮืออ ฮือออ”  ปลายสายกล่าวประโยคฟังไม่ได้ศัทพ์แทบจับใจความไม่ได้  แม็กนัสรู้เพียงแค่ว่าสาวเจ้าอยากพบเค้าเพียงเท่านั้น  เอลซ่าร้องไห้หนักและคลายกำลังจะกรีดร้อง

ร่างสูงที่ถือโทรศัพท์ไว้แนบหูขมวดคิ้ว “มีอะไรเกิดขึ้นเอลซ่า  คุณเป็นอะไรรึเปล่า” ถึงแม้ว่าเริ่มไม่เชื่อใจในความรักอันแสนบริสุทธิ์ของเธอแล้ว  แต่แม็กนัสก็ยังคงเป็นสุภาพบุรุษอยู่   ร่างสูงเอ่ยถามเสียงเบาเพื่อไม่ให้อเล็คที่อยู่ห่างออกไปพอสมควรได้ยินเข้า

เอลซ่าละลำละลักกรอกตามสายมาและร้องไห้หนักขึ้น “แม็กนัส! โอ้ แม็กนัส อึ ฮือ ฉันอยากพบคุณ...อยากพบคุณจริงๆ  ฉันมีเรื่องจะ.....โอ้ พระเจ้า  ฮืออ..อ..ออ” เธอร้องห่มร้องไห้อีก “ได้รึเปล่า...ฮึก  ฉันพบคุณได้รึเปล่า.....ฮือออออ”

“คุณอยู่ที่ไหน” ร่างสูงถามออกไป  หลงคิดแง่ลบในใจว่าเธอกำลังทำตัวเหมือนกำลังจะฆ่าตัวตาย

“คอนโดคุณ....ฉันกำลังไปที่คอนโดของคุณ” เธอทำเสียงสะอิกสะอ้อยพลางเช็ดน้ำตา

และแม็กนัสก็ต้องจำใจอย่างเลี่ยงไม่ได้เลย “รอก่อน  ผมกำลังไป” เค้าว่า เผื่อเอาไว้ หากหญิงสาวไปถึงห้องแล้วไม่เจอเค้าจะพาลทำเรื่องแย่ๆ อีก..........เสียงของเธอฟังดูใกล้จะสติแตกเต็มทีแล้ว

แม็กนัสเก็บมือถือแล้วเดินออกมาจากระเบียง  ร่างสูงสะโอดสะองย่างเท้าไปหาเพื่อนตัวน้อยแล้วเอ่ยสั้นๆ “ฉันต้องไปแล้ว  เอ่อ  ฉัน....อ่า เอาไว้ค่อยคุยกันล่ะกันนะ  ฉันมีเรื่องที่อยากจะบอกนาย” แม็กนัสว่า  ก่อนจะตัดสินใจจูบเข้าไปที่ริมฝีปากสีระเรื่ออีกครั้งหนึ่ง  ไม่สนใจแล้วว่าอเล็คจะคิดเช่นไร  เค้าเพียงแค่อยากให้มั่นใจ

ร่างสูงสะโอดสะองเดินออกไปจากห้องนั้นแล้วปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางความนิ่งงันของร่างเล็กที่เงียบนิ่งยิ่งกว่า


.


.


.


TBC.


--------------------------------------------------------------------------------------------------


อร๊ายยยยยยยยยยยยยยย เอลซ่า! เธอโทรมาทำไมมมม >{}<!!  ขัดเวลา ขัดจังหวะโจ้งครึ่มของเค้ากันจริงๆ เล้ยยย  ฮึ้ยยยยยย! //ทุบโต๊ะ//  จะหลอกลวงอิตาเบนให้ไปทำอะไรอีกล่ะ  ลวนลามอเล็คของไรท์แล้วอย่าชิ่งไปไม่รับผิดชอบอย่างนี้สิคะ >< //นี่ฉันอุตส่าห์สุภาพนะ กลัวโดนสายฟ้าฟาดใส่อีก//

มันเป็นจูบที่เกือบจะมีอะไรๆ มากเลยค่ะ 55555 แต่ว่าเอลซ่า นางมาขัดคอเสียก่อนนี่  แย่จริงๆ เลย  ชริ! -*-  ชริๆๆๆๆๆๆๆ //แล้วจิปากอย่างขัดใจ//   จะเรียกตัวอิตาเบนไปทำอะไรห๊าาา?

ถ้าหากรีดๆ อยากรู้ต้องอดใจรอไว้อ่าน Part หน้านะคะ  มีเรื่องเด็ดๆ แน่นอนค่ะ  ไรท์คอนเฟิร์มมมมมมมมมมม >< 555555   ขอบคุณรีดทุกท่านที่ติดตามและคอยให้กำลังใจไรท์นะคะ  รักรีดทุกท่านมากๆ จากใจจริงเลยค่ะ >3<

แปะเฟสเอาไว้ติดตามความเคลื่อนไหวของฟิคในบล็อกไรท์นะคะ >>แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด<< 

ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund





วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Fic – RonalSi] + [Part 25] เรื่องวุ่นวายของนายตัวดี! – Ronaldo x Messi



 อร๊ายยยยยยยยยยย กราบสวัสดีค่ะรีดที่รักทุกท่านนน T^T //กอดแรงงงงงงง//  คิดถึงมากๆ เลยค่ะ  กี่วันแล้วนะที่ยังไม่ได้ลง  ฮืออออออ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ  ระบมมาก อ่าาาา

พอเถอะ Ray – Aund  เลิกโวยวายสักที  ก็เดินทางมาถึง Part 25 แล้วนะคะ ><  อร๊ายยยยย เรื่องนี้จะจบแล้วค่ะ  การเดินทางและร่วมผจญภัยของเฮียกับเหมียวกำลังจะจบลงแล้วค่ะ TWT  //ผจญภัยจริงๆ ค่ะ 555//

อ่านต่อจาก Part 24 ได้เลยนะคะ  ท่านใดที่อ่านไปแล้วไรท์แนะนำให้อ่าน Part 24 อีกรอบค่ะจะได้อารมณ์อย่างต่อเนื่องค่ะ //ต้องโทษไรท์ที่มาลงช้ามาก 555 เอาหัวโขกโต๊ะ//  Part นี้เป็นของเฮียโด้ค่ะ ^^ เฮียเค้าสาธยายในส่วนของเค้าค่ะ รีดจิได้ไม่งงกันนะคะ >,.<   เฮียเก่งเว่อร์--------- อร๊ายยยยยยยยยยย! ทำเพื่อเหมียวล้วนๆ เลยนะเออ! >///<

เอาล่ะค่ะ ที่นี้ก็เชิญไปอ่านกันได้เลยค่าาาาา


------------------------------------------------------------------------------------------------


ผมได้ยินเสียงพวกมันคุยกันหลังจากที่ผมแกล้งสลบ  ดูเหมือนจะมีบางคนเข้ามา.......บางคนที่สำคัญมากๆ มากพอที่จะทำให้พวกมันเลิกส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจน่ารำคาญหูนั่นไปได้

แต่ผมฟัง......นอนฟังว่าพวกมันมีกันกี่คน

สิบเอ็ดคน ที่ผมนับได้

............สามคนห่างออกไปทางซ้ายมือ  สองคนกำลังเดินมาหาผมจากที่มันยืนเถียงกับเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ด้านหน้าไม่สำเร็จ  มันเดินมาอ้อยอิ่ง ดูไม่ชอบงานเก็บกวาดคนเจ็บที่เป็นภาระอย่างผมเสียเท่าไร  และอีกสองคนที่คุมตัวลีโอ......ถัดไปเป็นไอ้ชั่วจาโรกับหัวหน้าของมัน!

ไม่น่าผิด  ผมไม่เคยนับพลาด.......ผมไม่ได้ยินเสียงพวกมันเก็บปืนและขว้างออกไปจากผม  มันห่างออกไปไม่มากนักหากผมลุกขึ้นก็สามารถเอื้อมไปถึงและพอจะหยิบมันขึ้นมาได้

แต่แล้วพวกมันก็หยุดเดิน  ผมก็ชะงักทั้งๆ ที่ก็นิ่งอยู่แล้ว  ตอนที่มันนิ่งดูจะมีสมาธิมากกว่าตอนที่พวกมันเดินผมเลยไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อ  เพราะต้องรอโอกาสและจังหวะที่ดี

สองคนที่เดินมาหาผมขยับฝีเท้าและเดินมาหาผมต่อ แต่ผมก็ยังรอที่จะลุกขึ้น..........

ผมยอมรับ  ไม่ได้หมดสติตั้งแต่แรกหรอก โกหกทั้งเพ....แต่ผมแค่รู้ว่าตัวเองกำลังจะหมดแรงเลยต้องชิงคว้าโอกาสนี้ไว้  ให้พวกมันตายใจว่าผมหมดกำลังแล้วจริงๆ  เพราะผมจะเก็บกำลังเฮือกสุดท้ายที่คิดว่าน่าจะยังมีเหลืออยู่เอาไว้ใช้ในแผนสำรอง...........

ผมทนได้.....ใช่ บางครั้งก็มีคนบอกว่าผมอดทนได้มากกว่าคนปรกติ  แต่ถ้าขืนปล่อยให้คนถึกสี่คนซ้อมผมมากเกินไปกว่านี้ ผมอาจเสียแผนได้

ผมเจ็บเสียดที่ซี่โครงและรู้สึกระบมไปหมด  แต่ช่างเถอะ....ไม่เป็นไร ผมทนได้  ผมได้ยินเสียงลีโอ  ร้องไห้และบอกว่าอยากอยู่กับผม  ให้ตายเถอะ ผมดีใจแทบคลั่ง  แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าผมแสดงอาการออกไปตอนนี้ไม่ได้  ไม่ได้เด็ดขาด  ตอนนี้ลีโอคงคิดว่าผมตายแล้ว หรืออาจใกล้ตาย  แต่ผมก็อยากที่จะเห็นใบหน้าผิดหวังของเค้าในเรื่องนี้เอามากๆ ไม่รู้ว่าเค้าจะทำหน้ายังไงและจะวิ่งเข้ามากอดผมไหมนะในตอนที่รู้ว่าผมยังไม่ตาย

สองคนนั้นที่ต้องมาลากผมไปเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีกแล้ว  แต่ยังก่อน......ผมต้องรอก่อน

ผมว่าตัวเองคงต้องผิดคำสัญญาที่ให้ไว้นิดหน่อย  เพราะดูจากรูปการแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่สามคนซึ่งอยู่ด้านข้างผมจะไม่ยิงผมเมื่อผมหันไปยิงจาโรหลังจากที่จัดการกับชายสองคนที่กำลังเดินเข้ามาลากตัวผมไป  พอผมหันมาจะจัดการกับพวกมัน........ตอนนั้นผมคงได้โดนยิงตายก่อนพอดี

เพราะผมถอดที่เก็บเสียงของรัสเซียออกแล้วในตอนที่ลีโอช่วยห้ามเลือดให้ผม  ถ้าผมลั่นไกออกไป......แค่ครั้งเดียว  พวกมันจะต้องได้ยินแหงอยู่แล้วไม่ต้องพนันก็รู้เลย   ผมคิดว่าจะไม่ต้องใช้ปืนอีกแล้วเชียว

............แต่ผมคิดผิด  ลีโอมีค่าเกินมากกว่าพวกมันจะปล่อยไปได้ง่ายๆ และผมต้องรับมือให้ได้ไม่ว่าจะยังไง

ผมก็ต้องทำให้ได้

เสียงบู๊ตหนักๆ ย่ำดังใกล้เข้ามาอีก

ใกล้เข้ามาแล้ว  แต่ยังก่อน  ยังต้องรอ........

ผมสูดหายใจเงียบๆ และบางเบาอย่างที่สุด  ไม่พยายามให้พวกมันสังเกตเห็น  และเพื่อเตรียมพร้อม  หากพวกมันยังไม่ขาดสมาธิแต่ถ้าสองคนข้างหน้ามาถึงตัวแล้ว  ผมก็ต้องเริ่มเลย 

และโชคก็มักจะเป็นของผมเสมอ............

ตำรวจ! ตำรวจแห่กันมาแล้ว.....อย่าชักช้า! รีบหนีเร็วไอ้พวกโง่.....”

ไอ้เวรนั่นแหกปากเสียงดัง  ถ้าผมเป็นลูกน้องมันก็ต้องหัน แต่ถึงจะเป็นใครๆ ก็ต้องหันและเสียสมาธิกันทั้งนั้น  และในตอนนั้นเองผมก็ลุกขึ้นแล้วเอื้อมไปคว้าปืนจนสุดตัว

มันเกิดขึ้นเร็วมากดั่งเช่นทุกที  ไม่มีใครเห็นผมนอกจากเจ้าสองคนที่ทำหน้าอึ่งกิมกิอยู่ข้างหน้าผม และกระทั่งผมลุกขึ้นในท่าคุกเข่า ตั้งปืนให้ขนานกับพื้นแล้วลั่นไก........เก็บสองคนที่อยู่ตรงหน้า  อีกสามคนที่เยื้องไปทางซ้าย  อีกสองตรงหน้าที่ห่างออกไปอีกซึ่งกำลังยกปืนขึ้นมายิงผมแต่ไม่ทัน.........

ผมเจ็บไหลขวา เลือดกำลังหยุดไหล  แม้มันจะไม่ได้หมายความว่าจะไม่ไหลออกมาอีกแล้วก็เถอะ  แต่มือซ้ายผมก็ยังใช้การได้ดี  เพราะเมื่อยิงออกไปแล้วพวกมันตายสนิท  ไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย...........

ผมกลั้นใจลุกขึ้นจนเต็มความสูง  ยกปืนขึ้นตั้งฉากอีก ยิงสวนออกไปหาสองคนที่เพิ่งปล่อยลีโอลงพื้น  คนพวกนี้ยืดยาดเทอะทะ  และพบจุดจบเดียวกัน.......สองคนนั้นตายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้วิ่งออกมาห่างจากลีโอเลยด้วยซ้ำ  ผมมองลีโอด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย.........จากสุขุมบาดลึกเป็นวูบไหว

เค้าช่างตัวเล็กและบอบบางสุดๆ ไปเลยเมื่อแวดล้อมไปด้วยเจ้าพวกนั้น  เค้านั่งแบะลงกับพื้นมองไปข้างๆ และผมเห็นเค้าเหมือนเพิ่งหยุดร้องไห้เพราะสถานการณ์ที่ผมได้สร้างขึ้น  ลีโอมองชายสองคนที่ผมยิงร่วงลงไปกับพื้น สีหน้าเค้าก็แน่นอนต้องประหลาดใจอยู่แล้ว  แต่ผมเห็นริมฝีปากที่เผยอขึ้นน้อยๆ และดวงตากลมโตที่ขึ้นเป็นสีชมพูระเรื่อ.....ระเรื่อไปทั้งใบหน้า  น้ำตาเค้าคลอหน่วย  และใช่เลย......เค้ายังไม่เห็นผม

            แค่กำลังตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมโฟกัสสายตาไปที่ลีโอเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น ก่อนจะมองเลยเค้าไปอีกเป็นไอ้สารเลวที่ผมอยากจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ

จาโร.......

ผมเหวี่ยงกระสุนไปเต็มข้อนิ้ว  และทะลุเข้าไปที่อกข้างซ้ายของมันอย่างตรงเผง.......ผมจ้องหมอนั่นตาเป็นมันอย่างคุกคามและต้องการปองร้าย  และผมทำสำเร็จ.......จาโรมองหน้าผมกลับมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อและโกรธจัดที่ผมลอบกัดมันกับพวกพ้องได้  ก่อนจะล้มลงกระแทกหน้าลงกับพื้นอย่างแรง  ตายอยู่ตรงนั้น...........

ผมอาจดูไม่ต่างไปจากพวกมันที่คุกคามเราในตอนนี้  แต่ที่ผมทำไปก็เพราะต้องการจะปกป้องคนที่ผมรัก  ที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อลีโอ............แม้เค้าจะไม่รู้และอาจคิดว่าผมทำเพื่อเอาตัวรอด  แต่ผมก็ไม่คิดอยากจะบอกเค้าไปหรอกว่าผมเริ่มคิดถึงแต่เรื่องของเค้ามากขึ้นทุกนาที  และมันก็แก้ไม่หายเลยตั้งแต่ที่ผมได้เจอเค้าในคืนนี้..............

............เป็นคืนสุดแสนสำคัญที่ผมจะไม่มีวันลืม............

จาโรตายแล้ว  ไม่กระดิก  ลีโอตกใจมากกว่าเดิมแล้วหันมาหาคนยิง  พอเจอผมเท่านั้นแหละเค้าก็ทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเดิมก่อนผมจะเห็นเค้ายิ้มแบบที่เรียกว่าน่าจะเป็นการร้องไห้มากกว่า

แต่ก็ใช่ว่าผมจะทำหน้าที่จำเป็นเสร็จแล้ว.............

คนสุดท้ายที่ยืนจังก้าทำอะไรไม่ถูกอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก  ใช่ ผมใช่คำว่า ทำอะไรไม่ถูก น่ะถูกแล้ว.......หัวหน้าของซ่องโจรวิ่งมาข้างหน้าคิดจะหยิบปืนจากลูกน้องที่ไม่มีวันตื่นขึ้นมาสู้กับผมบ้าง  แต่ผมก็ยังไม่ได้ลดปืนของตัวเองลง  และส่งสายตาเตือนไปว่า “ขยับอีกนิดเดียวแกตาย”

และผมไม่ได้ล้อเล่น

เจ้าอ้วนตัวโตท่าทางเหมือนคนจิตไม่ดีนั่นหยุดมือ  ยกค้างไว้แล้วถอยห่างออกจากปืนอย่างรู้หน้าที่เมื่อตกเป็นเบี้ยล่าง.........และมันก็คิดอะไรโง่ๆ

ชายที่อ้างฐานะว่าตัวเองเป็นหัวหน้าของผู้ติดตามที่ไม่รู้เลยว่านายของตัวเองกำลังจะแย่แบบสาหัสคนนี้กำลังจะชะตาขาด  ทำไมน่ะเหรอ?

ลีโอนั่งอยู่ตรงนั้นห่างจากเจ้าหมอนั่นเพียงแค่นิดเดียว........เจ้าอ้วนนั่นอยู่ใกล้กว่าผมมาก  และมันมองเค้าด้วยสายตาที่ผมเองก็อ่านแล้วรู้เลยว่ามันคิดจะทำอะไร

ด้วยความที่เป็นหัวหน้าให้ลูกน้องคอยถืออาวุธหนักๆ ให้  พอเบ้ตายกันหมดก็ไร้แขนขาสินะ  แต่คนเป็นมาเฟียยังไงก็หัวใจมาเฟีย...........

ชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่ข้างหลังลีโอและหมดหนทางนั้น  กำลังเล่นเกมส์วัดใจกับผมว่าผมจะยิงมันอย่างที่ขู่ไว้จริงหรือไม่  ด้วยการวิ่งเข้าไปคิดจะชาร์ตตัวลีโอไว้เป็นเครื่องต่อรองกับผม

.............แต่ก็เท่านั้นล่ะ  แม้ตัวจะมาเฟียหรือหัวใจจะมาเฟียแค่ไหนก็ต้องแพ้ลูกตะกั่วกันทั้งนั้น  เพราะผมพูดจริง

ข้อนิ้วของผมขยับใช้งานอีกครั้ง  ผมลั่นไกแต่ไม่มีลูกกระสุนออกไป

แกร๊ก

เจ้าอ้วนสะดุ้งเมื่อเสียงแกร๊กดังขึ้น  เพราะคิดว่ามันจะมีกระสุนออกมาจริงๆ แต่ปืนของผมดันเป็นหมันซะก่อนนี่สิบ้าเอ้ย!

ผมมองกระบอกปืนสายตาเรียบเฉยแต่เซ็งสุดๆ แล้วย้อนกลับขึ้นไปมองคนที่ยกมือค้างแต่ยิ้มแฮ่ๆ ใส่ผม

“แฮ่ๆ ปืนแกกระสุนหมด” มันแสยะยิ้มราวกับจะซ้ำเติมผม

เออ  อันนั้นฉันรู้แล้วเว้ย.........ผมลดเปลือกตาลงครึ่ง ทำเหมือนเจ้านั้นพูดเรื่องปัญญาอ่อน  แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ลดปืนลง  คนที่บอกผมในเรื่องที่ไม่ควรบอกก็พุ่งเข้าไปหาลีโอทันทีที่พูดจบ  ผมเลยขว้างปืนออกไปสุดแรงเกิดเท่าที่แขนซึ่งออกกำลังบริหารทุกวันของผมจะทำได้

และก็ตรงเป้าอย่างที่ผมไม่เคยพลาด.........ปืนปั่นตัวกลางอากาศไปโดนกลางหัวของเจ้านั้นเต็มๆ  และคงจะแรงอยู่พอดู เพราะทันทีที่โดนเข้าไป ร่างสูงใหญ่แต่เทอะทะนั้นก็หัวโยกจากแรงส่งของผมแล้วล้มลงไปทันที ท่าเหมือนคนลื่นเปลือกกล้วยล้มยังไงยังงั้นเลย........ฮ่ะ อย่าพูดย้ำนะ ผมไม่อยากขำออกมาอีก  ให้ตายบ้าชะมัด

ใครๆ ก็รู้  ว่าหลังจากกระสุนหมดไปแล้วปืนก็ยังมีประโยชน์อยู่  ไอ้ตรงที่เสียงดังปึกพอไปโดนหัวคนอื่นนี่แหละ  ผมยังไม่ได้บอกเลยใช่ไหมว่าผมใช้ปืนเป็นได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดเลยล่ะ.................

และในที่สุด  ผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองสำเร็จสักที...........พวกนั้นตายกันหมดแล้วและลีโอก็ปลอดภัย  ไม่มีใครมาอีกแล้ว พวกนั้นกำลังจะเตรียมเผ่นออกจากที่นี่กัน  ผมถอนหายใจและโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ทุกอย่างโอเคแล้ว  ผมไม่ได้ยินเสียงวิ่งย่ำของรองเท้าบู๊ต อีกแล้ว  ได้ยินแค่เสียงลม.........สายลมที่พัดขึ้นมาจากทะเลที่ผมเคยบอกลีโอไว้............

ให้ตาย  ยังกะในหนังที่ผมเคยดูยังไงยังงั้นเลย พอเรื่องจบลงทุกอย่างออกมาดีแล้ว  ก็เพิ่งจะมารู้สึกเจ็บเอาตอนนี้นี่แหละ...........เก็บหัวหน้าซ่องได้  ผมก็สูดกลิ่นอายเค็มๆ เข้าไปแล้วก็รู้สึกเจ็บที่ซี่โครงทันที  ผมกุมมันไว้แล้วเจ็บแปลบไปทั้งตัว  ผมทรุดลง  ไม่ไหวแล้ว..........เฮือกสุดท้ายที่ผมเก็บไว้ได้หมดลงแล้ว  ผมกำลังรอให้ลีโอวิ่งมากอดผมด้วยความดีใจ

แต่ให้ตายสิ  ลีโอรู้สึกตัวช้าชะมัดเลย

ผมก็อยากให้เวลาเค้านะ  แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็นอนราบลงกับพื้นไปซะแล้ว  และเห็นภาพลีโอวิ่งเข้ามาหาผม..........ลมแรงพัดมาอีกระรอกหนึ่ง ทำให้ต้นไม้ด้านหลังของเค้าใบไหวไปมาราวกับจะมีพายุก่อนผมจะไม่รับรู้อะไรอีกเลย

แต่ผมยังได้ยินนะ.......ลีโอกำลังเรียกชื่อผม  ชื่อของผม  ซ้ำแล้วซ้ำอีก............


-----------------------------------


----------------------------------------------------------------


--------------------------------------------------------------------------------------------------


“คริส! คริส....เฮ้ คริส! เดี๋ยวก่อนสิ คริส ฟื้นขึ้นมาอยู่กับผมก่อน....”


.


.


.


TBC.


-----------------------------------------------------------------------------------------------


อร๊ายย! เฮียขา! >{}<  เอาใจไรท์ไปเลยค่ะ  อ๊ากกกก เก็บเฮือกสุดท้ายเอาไว้ช่วยเหมียว แล้วไม่เก็บเอาไว้จูบเหมียวอีกรอบหรือคะ? 5555555

ปั๊กกก! //โดนโบก//

เชียร์ให้จูบกันอีกค่ะ >////<  จูบเลยๆๆๆๆๆๆๆ  //เชียร์//  แต่เดี๋ยว! แล้วเฮียจะเป็นอะไรมากไหมค่ะนั่น o..O  (ได้ข่าวว่าล้มลงหน้าคว่ำพื้นไปแล้ว)  ฟื้นก่อนสิคะเฮีย....ฟื้น! //จ้วงคอเสื้อแล้วตบหน้าเฮีย//  ฟื้นขึ้นมาปลอบเหมียวและจูบเหมียวก่อนสิคะ  ตอนจบแบบแฮปี้เอ็นดิ้ง  เคะเมะเค้าจะต้องจูบกันสิคะ อร๊ายยยยยยยยย! เฮียอย่าเป็นอะไรไปนะคะ  ไม่ได้นะคะ  ไม่ด้ายยยยยยย >[]<!! ฟื้นขึ้นมาก่อนนนนน  เหมียวกลัวตัวสั่น  น่าสงสารนะคะ ><  ต้องการให้เฮียปลอบ //กลัวเฮียตายนั่นแหละค่ะ//

ฟื้นนนนนนนนนนนนนนน!! >{}<

สักพักแววเสียง  ผั๊วะ!  เฮียลุกขึ้นมาตบหัวไรท์ทิ่ม โทษฐานเสียงดังน่ารำคาญ 55555

อ่อ และอีกข่าวหนึ่งสำหรับรีดๆ สาวก RonalSi  รวมเล่ม บุ๊ค แฮนเมค รุ่นพี่เฟี้ยวกับแก็งน้องเฮี้ยวสุดซ่า – Ronaldo x Messi ที่ไรท์ประกาศขายนั้น  ตอนนี้หมดแล้วนะคะ และปิดรับเรียบร้อยแล้วค่ะ  ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและอุดหนุนนะคะ  ช่วงนี้ไปกลับม. ต้องออกตังค์เองค่ะ แม่ไปสนใจเลย  ได้เงินรีดๆ ส่งค่ารถและค่าข้าวนี่แหละค่ะ T^T 

เงินหมด ไรท์วางแผนไว้ว่าจะไปนอนเป็นลมอยู่หน้าบ้านเฮียแล้วขอตังค์เค้าค่ะ 555555  อย่างน้อยเหมียวอยู่ด้วยเหมียวต้องสงสาร 5555  //แผนชั่ว//  ฉันว่าตังค์ค่าตั๋วแก จ่ายค่าเทอมได้หลายงวดเลยนะ -_-“  บ้าจีงงงงงงงงง

และสามารถเข้ามาร่วมพูดคุยกับไรท์ได้นะคะที่เฟสของไรท์ >>แฟนฟิค ฮอลลีวู้ด<< จิ้มเลยค่ะ  แล้วเค้าไปคอมเม้นท์หรือพูดคุยกับไรท์ได้เลยนะคะ  ไม่ต้องกลัวไรท์รำคาญค่ะ  ไรท์กลัวไปมีใครคุยด้วยค่ะ 55555555  บ้าน้ำลายฝอยกระจายยยยยย 

Part หน้าจะเป็นอย่างไรต่อ บทของเฮียในคืนอันสุดแสนจะยาวนานนี้จะจบแล้วหรือไม่  ติดตามได้ใน Part หน้าค่ะ^^   และขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามและการสนับสนุนค่ะ  ร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกที่สุดโลยยยยยยยยยยยยยยย -3- //จุ๊บบบบ//

ด้วยรักและแรงหื่น
Ray - Aund