วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[SF - The Maze Runner] + [Part 3] The Maze - Minho x Thomas


มาแล้วค่าาา  สัวสดีรดทุกท่านก่อนเลยค่ะ  เพราะได้ข่าวมาว่าไม่ใช่เพียงแค่รีดขาประจำของบล็อกไรท์เท่านั้นที่เข้ามาอ่าน ยังมีรีดเดอร์ขาจรคนอื่นๆ เข้ามาอ่านกันอีกด้วย 

แหมมม  The Maze Runner นี่ดังจริงๆ เลยนะคะ  ไรท์ว่าไรท์คงจะต้องวางแผนเขียนให้จบภาคใน 4 ภาคแล้วล่ะค่ะ และภาวนาขอไม่ให้มินโฮตายไปเสียก่อน -_-“ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าในเรื่องนี้สร้างมาจากชุดหนังสือนั่นเองค่ะ ซึ่งมีทั้งหมด 4 เล่ม และ The Maze Runner นี้ก็เป็นเล่มแรกค่ะ ///สปอยล์อีกแล้ววว...โดนตบหัว///

ไรท์หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ  Part นี้จัดให้อย่างจุใจเลยค่ะ  Part ที่แล้วเนื้อหาน้อยมากๆ เลย TUT


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------


“อ๊าาาาา!

เสียงนั่น......เสียงของเจ้าเด็กใหม่หนิ!

ผมได้ยินเสียงของเค้าร้องลั่น ในขณะที่ผมหลบอยู่บนยอดของวงกต  หมอบอยู่อย่างเงียบเชียบเพื่อซ่อนตัว

แต่ทว่าอยู่ๆ เสียงร้องดังลั่นก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสนิท ผมชูหัวขึ้นมาทันที.......เซคชั่นแต่ละเซคชั่นจะมีโศกาประจำอยู่หนึ่งตัว  และโศกาของเซคชั่นนี้ก็คงจะไล่ตามหมอนั่นอยู่แน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย..........

ไม่ต้องรอฟังอีกรอบ  ผมดีดตัวขึ้นแล้ววิ่งผลัดกับกระโดดไปบนวงกตตามหาเสียงของเค้า.......เค้ายังไม่ตายและกำลังแย่..........ดวงดีชะมัด.......ผมคิด

...............แต่ก็อีกไม่นานหรอก ผมต้องรีบ............

วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ผมก็เจอเค้า........โอ้ ไม่จริงน่า เจ้าเด็กใหม่นั่นกำลังวิ่งหนีโศกาอยู่บนวงกต!  ผมมองเค้ากระโดดข้ามวงกตไปเกาะเถาวัลย์ห้อยต่องแต่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง......โศกาโดดตามไป  รู้ไว้นะ...เมื่อโศกาเห็นเหยื่อแล้วมันจะตามไปจนเหยื่อหมดแรงแล้วค่อยปลิดชีพด้วยพิษอันน่ารังเกียจของมัน

นี่แหละที่ผมเกลียดมันเข้ากระดูกดำ............

ผมเห็นเด็กผู้ชายตัวผอมบางรูดเถาวัลย์ลงมาอย่างรวดเร็วลงสู่พื้น  ตามมาด้วยโศกาประจำเซคชั่นที่กรีดร้องอย่างไม่พอใจที่เค้าหนีมันมาได้  ผมโดดลงไปบ้างแล้ววิ่งไปหาเค้า พยายามหาทางลัดที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเส้นทางวงกตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแบบนี้

เร็วเข้าเพื่อน....นายทำได้ หนีไป!.......ผมตะโกนบอกเค้าในใจ เพราะเชื่อว่าหากตะโกนไปตอนนี้เค้าคงจะไม่ได้ยินเป็นแน่

ผมวิ่งตัดโค้งหักศอกไปเรื่อยๆ และได้ยินเสียงของเค้าใกล้เข้ามา...มันใกล้มาก  จนในที่สุดเมื่อผมโผล่ออกมาจากโค้งสุดท้าย  ผมก็เห็นเค้าวิ่งหน้าตั้งพร้อมแหกปากร้องไปตามทางที่วิ่งผ่าน

“อ๊าาา...าา...า!” โอ้ให้ตาย  นายเคยเป็นนักร้องเก่ามาก่อนที่จะย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาอยู่นี่สินะ

เสียงดีจริงๆ ..........ผมคิดในใจก่อนจะตะโกนเรียกเค้า หมอนั่นเห็นผมแล้วก็ทำหน้าตกตะลึงก่อนจะวิ่งเร็วขึ้นโดยที่มีโศกาไล่หลังมาอยู่ติดๆ แล้วผมก็ได้ยินเสียง..........

.........เสียงเคลื่อนตัวของวงกต...........

มันกำลังจะเปลี่ยนรูปแบบอีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงออกไปจากที่เฮงซวยนี่ไม่ได้สักที  มันมีระบบของมัน เปลี่ยนตลอดและตันตลอดด้วย.......ผมรู้สึกหัวเสียขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดถึงหน้าที่ที่ไม่ได้ความคืบหน้าของผม  แต่ก็ไม่ได้ครอบงำความสนใจของผมในตอนนี้  ที่กำแพงวงกตตรงหน้าผมกำลังจะเคลื่อนตัวเข้าหากันโดยมีเด็กใหม่ที่วิ่งหน้าตาตื่นอยู่อีกฝั่งหนึ่ง.........และนั่นคือทางรอดเดียวของเค้า

“เร็ว!...เร็วเข้า!” ผมกวักมือผ่านอากาศเบื้องหน้าผม เพื่อเร่งให้เค้าวิ่งเร็วขึ้นอีก  แต่แล้วจู่ๆ หมอนั่นก็เกิดคิดบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้  เค้าวิ่งช้าลง.....ช่องวงกตเริ่มบีบตัวเข้ามาแคบลง  โศกาก็เช่นกัน  มันใกล้ถึงตัวเค้าเข้ามาทุกที

“เร็วเข้าสินายมัวรออะไรอยู่!” ผมตะโกน  เริ่มอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงเต็มทีแล้วเพราะลุ้นเกินเหตุ  กล้ามเนื้อผมเกร็งแน่นทุกมัดและหัวใจก็สูบฉีดเร็วขึ้นมากกว่าตอนที่ผมวิ่งซะอีก.......โอ๊ะ เค้าใกล้เข้ามาแล้ว........

“เร็วเข้าา!” ผมตะโกนออกไปและเค้าก็พุ่งเข้ามากอดผมดั่งเช่นตอนแรกที่เค้าคิดเรื่องบ้าระห่ำเช่นนี้

ผมเกือบล้มแต่ไม่  ผมฝืนตัวไว้แล้วพยุงทั้งตัวเองและเค้าขึ้นมา แล้วตกตะลึงกับภาพที่เห็น.............โศกาถูกบีบเละอยู่ตรงซอกวงกต............ไม่เคยมีใครฆ่ามันได้มาก่อน และเค้าเป็นคนแรก กับความคิดที่ระห่ำเกินตัว  ผมหอบหายหนักและหายใจเข้าออกลึกๆ พยายามทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจช้าลง

เค้าวิ่งเร็วและกล้าหาญ.....นั่นเป็นคุณสมบัติที่หายากมาก

ผมหยุดตื่นเต้นกับเหตุการณ์แล้ว และคิดว่าเราควรจะไปหาอัลบี้ที่ห้อยอยู่ข้างบน  คืนนี้ปลอดภัยแล้วเพราะโศกาประจำเซคชั่นนี้ตายคาที่ไปแล้ว และโศกาเซคชั่นอื่นจะไม่เข้ามายุ่งยามกับที่นี่เด็ดขาดเพราะมันมีพื้นที่เป็นของตัวเอง

โอเค....คืนนี้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเป็นประวัติกาล  เพราะพวกเราจะได้อยู่รอดกันจนถึงเช้า.....ใช่ ถ้าไม่มีโศกาตัวอื่นดันอยากรู้อยากเห็นโผล่มาที่นี่น่ะนะ

ผมมองภาพโศกาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฉุดมือของคนกล้าที่ตาโต หอบหายใจฮั่กเป็นมนุษย์หินอยู่กับที่  ถ้าผมไม่ดึงมือเค้ามา เค้าก็คงจะยืนขาสั่นอยู่ตรงนั้นอีกนานเลยทีเดียว  เค้าตัวปลิวตามผมมาแล้วพยายามเดินให้ทันการถูลู่ถูกังของผม

“เดี๋ยว....เฮ้ นั่นนายจะไปไหนน่ะ” เสียงเค้ายังคงสั่นเทาผสมกับอาการหอบแฮ่ก

“ที่ปลอดภัย” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะนำเค้าไปยังที่ๆ เราซ่อนอัลบี้ไว้  และเมื่อไปถึงเราก็เถียงกันอีก เรื่องอัลบี้  เด็กหนุ่มกุ้งแห้งหุ่นเพรียวตรงหน้าผมกล่าวหัวชนฝาว่าจะเอาเค้าลงมา  แต่ผมก็บอกกลับไปว่า “ไม่ได้” ถ้าบังเอิญโศกาจากการเซคชั่นอื่นมาที่นี่แล้วเราจะทำยังไง แค่วิ่งตัวปลิวสุดชีวิตก็แทบไม่รอดอยู่แล้ว

เค้าเงียบไป.....เห็นด้วยกับผมในที่สุด  แต่ใบหน้ามอมแมมของเค้ายังคงดูกังวลและเป็นห่วงอัลบี้เป็นอย่างมาก

“เราจะอยู่ที่นี่...” ผมเพยิดหน้าขึ้นไปข้างบนที่อัลบี้ห้อยอยู่ “...อยู่เป็นเพื่อนเค้า” ผมพูดไปในที่สุดหลังจากที่ถอนหายใจเบาๆ กับตัวเอง  เด็กใหม่เงยหน้ามามองผมในทันใดแล้วมีสีหน้าดีขึ้น

“เราทำได้จริงๆ เหรอ” ผมเห็นคำนั้นแปะอยู่บนหน้าผากของหมอนั่นที่ทำตาโตใส่ผม  ผมมองขึ้นฟ้าเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วพิงกำแพงวงกตไว้  เค้าก็เหมือนกันแต่ดูจะระแวดระวังกว่า(อย่างเด็กน่ะนะ) มือไม้เค้าดูเหมือนเกะกะไปซะหมดเพราะดูเหมือนเค้าจะไม่รู้ว่าควรวางมันไว้ตรงไหนดี  เค้านั่งลงห่างจากผมไปจนเกือบสุดขอบกำแพง

ผมมองไปรอบๆ เพื่อเช็คดูและหันกลับมามองคนที่ไม่ยอมเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง  เค้านั่งกอดเข่าแล้วห่อไหล่พลางมองไปรอบๆ เช่นเดียวกับผมแต่ทว่าดูหวาดกลัวกว่า  ผมสังเกตเห็นว่าไหล่เค้าสั่นน้อยๆ ในแสงจันทร์  ผมไม่ได้พูดอะไรอีกและคิดว่าคืนนี้จะไม่นอนเพื่อเฝ้าเวรยามเงียบๆ คนเดียว

สายลมหวีดหวิวมาอีกครั้งในคืนนี้ มันหอบพัดเอาความเย็นมาด้วย  ผมรู้สึกได้เลยว่าแก้มตัวเองเย็นเพราะลมกลางคืน แต่นั่นไม่ทำให้ร่างกายผมรู้สึกอะไรได้เลย  กล้ามเนื้อที่มีอยู่สร้างความอบอุ่นให้กับผม............แต่คงไม่ใช่สำหรับอีกคน

ผมหันไปเจอเค้านั่งกอดตัวเองคุดคู้พิงกำแพงอยู่.....สั่นยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ  อยู่ๆ เค้าก็ครางแล้วสะดุ้ง  ผมคิดว่าเค้าคงจะละเมอเพราะฝันร้าย  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเค้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาเจอผมกำลังนั่งจ้องเค้าอยู่

“นายฝันร้ายเหรอ” ผมถาม  เค้ายังคงมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่ไม่หายแต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าตอบผมอย่างเสียไม่ได้

“เอ่อ....ฉันฝันร้ายทุกคืน  แต่คืนนี้มันหนักกว่า” เค้าชี้แจง แล้วก็เริ่มมองพื้น  แขนทั้งสองข้างของเค้ากระชับขึ้น แล้วสองมือมอมแมมก็ถูไปมากับต้นแขนอย่างที่ต้องการสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเอง

“นายหนาวเหรอ” ผมถามอีก เค้ายิ้มแห้งๆ ใส่ผมก่อนจะพยักหน้าแล้วหันมามองผมด้วยสายตาหม่นหมอง

“ใช่ ฉันขี้หนาวน่ะ.....มันเย็นจนไปถึงกระดูกเลยล่ะ  หึ แย่ชะมัดเลยเนอะ ทำอะไรไม่ค่อยเป็นแล้วก็ยังจะขี้หนาวอีก” รอยยิ้มเศร้าฉาบอยู่บนใบหน้าของเค้า  ผมเหยียดขาไปข้างหน้าแล้วหันตัวไปทางเค้า

“ไม่หรอก นายน่ะกล้าหาญมากเลยนะที่ทำแบบนั้นน่ะ” ผมพูดแต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ยังคงหม่นหมอง.......ไม่ใช่ความหนาวหรอกที่กำลังทำร้ายเค้า แต่เป็นความกลัวและความตื่นตระหนกต่างหาก ผมคิด

“ทำไมนายถึงไม่มานั่งกับฉันล่ะ” ผมลองถามเค้าไป และเสียงที่เปล่งออกไปของผมดูเข้มกว่าที่คิด

เค้าชะงักและช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะคลายอ้อมแขนออกจากตัวเอง “ได้เหรอ” เค้าถาม......นายคิดว่าฉันเป็นโศการึไงนะ  ผมพยักหน้ากลับอย่างใจเย็น แล้วเด็กหนุ่มร่างผอมบางก็ค่อยๆ คลานมาหาผม แล้วนั่งลงข้างผม

“ฉันนึกว่านายไม่ชอบหน้าฉัน  เลยไม่กล้านั่งใกล้นาย” อยู่ๆ เค้าก็พูดขึ้น


“โทมัส” ผมเรียกชื่อเค้าด้วยเสียงที่ค่อนข้างชัดเจน  เค้าหันมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเองที่ผมรียกแบบนั้น  ผมพูดต่อ “นายคิดงั้นจริงๆ เหรอ.....ฉันก็แค่กำลังคิดเท่านั้นว่านายเป็นคนยังไง” แล้วผมก็ละสายตาออกมาจากเค้าแล้วมองตรงไปข้างหน้า  มองกำแพงวงกตอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป

“แล้วนายคิดว่าฉันเป็นคนยังไงล่ะ” เสียงของเค้าฟังดูอยากรู้อยากเห็น  และเมื่อผมหันไปก็เจอเข้ากับใบหน้าที่ยื่นออกมาจากแขนของเค้าที่กอดตัวเองอยู่

“ตอนนี้ฉันรู้แล้ว” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะดึงเค้าเข้ามากอด

“เฮ้ยย นายจะทำอะไรน่ะ” เค้าร้องลั่นถามผม แต่ก็เงียบเสียงลงแล้วทำตาโตถามผมทันทีหลังจากที่ผมส่งเสียง “ชู่ว์” ให้เค้าเงียบ

“นายหนาว”

ไม่...ฉันไม่หนาวขนาดนั้น” เค้าตอบเสียงไม่แน่ใจนัก ผมคิดงั้นนะ เพราะมันดูสั่นเหลือเกิน  โทมัสนอนอยู่บนตักของผม  หลังและอกของเค้าโดนผมโอบอยู่ เค้าขยับหยุกหยิกเหมือนกับจะบอกให้ผมปล่อยเค้า...........แต่ไม่มีทางหรอก  ท่าทางละเมอเพราะฝันร้ายของเค้ามันทำให้ผมรู้สึกกวนใจอย่างบอกไม่ถูก

“นายเพิ่งบอกว่ามันเย็นจนไปถึงกระดูกดำเมื่อกี้เองนะ   แล้วอีกอย่าง  อยู่อย่างนี้นายจะอุ่นใจกว่าและอุ่นกว่ากอดตัวเองด้วย.....ถูกไหม?” ผมพูดตัดปัญหา  และเค้าก็นิ่งไป.....เป็นแบบนี้สินะถ้าเค้าเถียงผมกลับไม่ได้

“คืนนี้นายคงนอนไม่หลับหรอก ถ้ายังระแวงอยู่ว่าโศกาจะโผล่มาอีกเมื่อไร” ผมพูดในขณะที่สายตามองไปรอบๆ เค้าล้มทับต้นขาของผมแล้วตัวแข็งทื่อ......พยายามต่อไปที่จะออกจากตักผม  ผมจึงกอดเค้าไว้ด้วยแขนแข็งแรงที่มี

“ฉันไม่คิดว่าคืนนี้นายไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก” ผมพูดและโทมัสก็สวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“งั้นนายก็ปล่อยฉันสิ” น้ำเสียงที่ผมได้ยินดูไม่แน่ใจเท่าไร

“นายแน่ใจเหรอ? ถ้านายจะนอนบนตักฉัน ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” โทมัสนิ่งไป เหมือนกำลังคิดอะไรบ้างอย่างอยู่  แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงหัวไหล่เล็กของเค้าที่กำลังขยับน้อยๆ เหมือนจะลุกขึ้นจากตักของผม

............เฮ้อ ไม่เอาน่า  นายกำลังจะลุกออกไปแล้วก็สะดุ้งตื่นทำเสียงครางใส่ฉันอีกแล้วนะ  เลิกดื้อเสียทีเถอะ...............

ผมคิด  ก่อนที่จะรวบตัวเค้าไว้อีกครั้งแล้วชันเข่าของตัวเองขึ้นเพื่อกันไม่ให้เค้าเขยิบหนีได้อีก  ผมกดไหล่ของเค้าให้เข้ามาติดกับอกของผมแล้วใช้มือกอดแขนเค้าไว้หลวมๆ เพื่อกันลมหนาว........ก็เห็นเค้าบอกว่ามันหนาวเข้ากระดูดำนี่...........

โทมัสหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจมากกว่าเดิม  แต่ผมไม่สนใจเค้า ผมเหม่อมองไปยังท้องฟ้าข้างบนแล้วค่อยๆ หลับตาลง.......ผมทำเป็นไม่สนใจเค้าอีกต่อไปแล้วปิดปากเงียบเพื่อไม่ให้เค้าพูดกับผมอีก จะได้ไม่หาข้ออ้างออกไปนอนขดอยู่คนเดียว

............ตัวของเค้าเย็นจริงๆ จากที่ผมสัมผัสได้ผิวหนังของเค้าเย็นเชียบแม้แต่เสื้อก็มีอุณหภูมิไม่ต่างกันนัก  ซึ่งแตกต่างจากผมที่ไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย  ผมจึงรู้สึกทึ่งกับความเย็นบนผิวของเค้าเมื่อยามผมสัมผัส  และถ้ามองด้วยสายตาผมก็ว่าเค้าผอมแห้งแรงน้อยแล้วนะ แต่พอโทมัสมาอยู่ในอ้อมกอดของผมแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าตัวเค้าเล็กกว่าที่เห็นมากเลยทีเดียว  ผมกอดเค้าได้เกือบรอบตัวของเค้าเลยล่ะ  คงจะกินไม่เก่งสินะ...............

ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงอาหารการกินของเค้าก่อนถูกส่งมาที่นี้อยู่นั้น   จู่ๆ โทมัสก็ขยับตัวหยุกหยิก  ผมนึกว่าเค้าหายใจไม่ออกก็เลยคลายวงแขนให้  และความคิดต่อมาของผมก็คือเค้ากำลังจะหนีผมไปอีกแล้ว  แต่ผิดคาด.......โทมัสขยับลงมาจากตักผมแล้วหย่อนก้นลงที่พื้น  ก่อนจะขยับตัวเข้าหาอกผมมากขึ้น แล้วไม่ขยับไปไหนอีกเลย.........

ผมนิ่งมองเค้าอยู่ครู่หนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ  เค้าเปลี่ยนที่นั่งแต่ก็ไม่ได้ละออกจากอกผมไปไหน.........ผมจึงหันข้างไปกอดเค้าเพื่อให้ความอบอุ่น  หัวเล็กๆ ของเค้าเอียงไปพิงกับกำแพงด้านข้างและดูเหมือนมันเป็นระยะที่ค่อนข้างไกล.......ตื่นมาเค้าคงมีหวังปวดคอจนต้องเดินเอียงๆ กลับออกไปแน่ๆ เลย

ผมจึงเสี่ยงขยับตัวอีก  ดันคอเค้าให้ออกมาจากกำแพงและให้เค้าหนุนไหล่ของผมแทน  โทมัสขยับอีกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง ผมคิดว่าเค้าคงจะรู้สึกแปลกไม่น้อยที่ได้ผมเป็นที่นอนแทนเปลที่เค้าใช้นอนอยู่ทุกคืน  และหวังว่าคืนนี้เค้าคงจะไม่ฝันร้ายอีกต่อไป

ผมกอดเค้าเพื่อป้องกันเค้าจากลมหนาว หวังว่าเค้าจะอุ่นเช่นเดียวกับที่ผมอุ่น และไม่คิดถึงเรื่องแย่ๆ ที่จะทำให้ตัวเองสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก

ฝันดีโทมัส....ผมคิดในใจ เมื่อผ่านไปสักพักผมก็รู้สึกถึงไหล่เล็กที่ขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับลมหายใจของเค้า

ใช่  เค้าหลับแล้ว............ดังนั้นผมจึงกระชับอ้อมกอดเพื่อกันลมหนาวให้เป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะเหม่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้านบนซึ่งดาษดื่นเต็มไปด้วยดวงดาว

***************************************************************************

เช้าวันรุ่งขึ้น.........เอ่อ ก็ยังไม่เช้าดีหรอกนะ  ดวงอาทิตย์ยังไม่ได้ขึ้นเลยด้วยซ้ำเมื่อผมตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตัวเองก็เผลอหลับไปด้วยเช่นกัน  ใบหน้าของผมซุกอยู่กับซอกคอของโทมัส......ให้ตายสิ ถ้าเค้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าผมทำอะไรเค้าต้องชกผมหน้าหงายแน่ๆ เลย

ผมกระพริบตาถี่ๆ แล้วปล่อยเค้าจากอ้อมกอด   รู้สึกแปลกใจกับตัวเองไม่น้อยที่รู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกในรอบสามปี........ความรู้สึกที่ เค้าเรียกว่าอะไรนะ.....อายเหรอ  ใจเต้นเนี่ยเค้าเหมารวมเรียกว่าอายด้วยรึเปล่า?

ถึงแม้อยากจะเดินออกไปทำความเข้าใจกับความรู้สึกวุ่นวายในหัวตัวเองเพียงใด  แต่ผมก็ไปไหนไม่ได้ไกล เพราะผมยังคงกอดโทมัสอยู่  เค้ายังไม่ตื่นผมก็ไม่อยากปลุก..............เมื่อคืนเค้าเจอเรื่องเขย่าขวัญมามากพอแล้ว  บอกตามตรงตั้งแต่มาอยู่ในทุ่ง  ผมไม่เคยเจอใครที่ตัวเล็ก ผอมแห้งแรงน้อย และสั่นเป็นเจ้าเข้าตอนนอนมาก่อนเลย

พวกเราทุกคนล้วนต้องกระเสือกกระสนอยู่รอดให้ได้เท่านั้น   ไม่ใช่..........

ตัวของผมขยับเมื่อคนในอ้อมกอดของผมตื่นขึ้นมาแล้วอุทานใส่หน้าผม  ผมคิ้วกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นคำถามบนหน้าเค้าว่า “ฉันมาอยู่นี่ได้ยังไง”   โอเค.....นายคงลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนนายนอนกับฉัน  ผมคลายอ้อมแขนออกและปล่อยให้เค้าถอยห่างจากผม  ผ่านไปแป็บหนึ่งเค้าถึงจำได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น

เราสองคนนำอัลบี้ลงมาจากที่ซ่อนของเค้า แล้วช่วยกันแบกเค้าไปทางประตูของวงกต ในระหว่างทางโทมัสพูดกับผมเพียงแค่ประโยคสั้นๆ แล้วก้มหน้ามองพื้น  ดูเลิกลั่ก และไม่พูดอีกเลย

“ขอบคุณ”

 เค้าพูดแค่นั้น  ก่อนเราสามคนจะมาถึงประตูที่เปิดรออยู่แล้ว  ชาวทุ่งทุกคนโห่ร้องดีใจเมื่อเห็นเรา  หลังจากที่ออกมาจากวงกตอย่างปลอดภัยแล้วพวกเราก็พาอัลบี้ไปรักษา

หลังจากที่อัลบี้ถึงมือหมอ และเรารอดชีวิตจากวงกตมาได้แล้ว  ผมก็คิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นและเป็นไปตามปรกติ  เราควรได้พักเสียที........แต่ทว่าไม่ใช่เสียทีเดียว  กัลลี่เรียกเราทุกคนเข้าที่ประชุม  และหยิบยกเรื่องที่โทมัสแหกกฎขึ้นมาพูดในการประชุมครั้งนี้

ชาวทุ่งที่มาร่วมการประชุมนั่งล้อมกันเป็นครึ่งวงกลมมองดู โทมัส  กัลลี่  นิวท์ยืนอยู่ตรงหน้าของเด็กทุ่งทุกคน  และผมซึ่งนั่งอยู่เป็นเป้าสายตาอีกคนหนึ่ง  ในใจผมคิดว่านี่มันงี่เง่าสิ้นดี  กัลลี่กำลังโชว์ภูมิและทำตัวเป็นหัวหน้า พิพากษาความผิดของคนที่วิ่งเข้าไปช่วยเพื่อนในวงกตอย่างไม่คิดชีวิต.........เราก็รอดออกมาแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก

ผมนั่งฟังกัลลี่พูดถึงโทมัส โดยมีนิวท์คอยพูดถึงสิ่งที่ช่วยหักล้างข้อกล่าวหาของกัลลี่ได้ สองคนนั้นพูดกันโดยที่ทุกคนก็นั่งฟัง ร่วมถึงผมกับโทมัสด้วย  เค้าดูเหมือนไม่มีกะใจจะยืนอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ  ผมฝืนความคิดที่จะชวนเค้ามานั่งข้างๆ แล้วพูดกับเค้าว่า “ไอ้เจ้าหมอนั่นมันน่าหมั่นไส้ชะมัด ว่าไหม?” เอาไว้ในใจแล้วนั่งมองกัลลี่สลับกับนิวท์ต่อไปอย่างเบื่อหน่าย  แล้วจู่ๆ เมื่อกัลลี่เถียงข้อหักล้างของนิวท์ไม่ได้อีกต่อไป เจ้าคิ้วชี้นั้นก็หันมาถามความคิดเห็นผม  ผมยืนขึ้นเหมือนเพิ่งมีคนปลุกให้ลุกออกจากเปล

“ฉันว่าไม่ควรลงโทษเค้า” ผมพูดสร้างความเงียบไปทั่วห้องประชุม  และผมสังเกตเห็นความตกใจในวาวตาของพวกเค้า รวมทั้งกัลลี่ด้วย  ผมจึงพูดต่อแต่คราวนี้ผมต้องการจะบอกกัลลี่ให้เข้าใจ

“เค้าวิ่งเร็วมาก และเค้าฆ่าโศกาได้.....ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ได้มาก่อน” อีกครั้งที่ผมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับที่ประชุมแห่งนี้  มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นพวกชาวทุ่งต่างมองไปที่โทมัสและอุทานเสียงไม่น่าเชื่อกันออกมา 

ผมเป็นคนพูดน้อยเพราะไม่รู้ว่าควรพูดคำอะไรให้มันดูสวยหรู แต่น้ำเสียงของผมที่พูดออกไปก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผมนับถือในความกล้าของเด็กชายตัวผอมบางคนนี้เอามากๆ

จนในที่สุดกัลลี่สั่งให้ทุกคนเงียบแล้วเค้ากับนิวท์ก็เริ่มโต้เถียงกันขึ้นอีกครั้ง  พวกเค้าพูดว่าจะให้โทมัสเป็นนักวิ่งแล้วก็หันมาถามผมอีก  ผมก็ตอบตามความคิดของผมไป.........คือไม่ปฏิเสธ

 “แต่ถึงยังไงโทมัสก็ต้องได้รับการลงโทษ......เค้าละเมิดกฎของเรา” กัลลี่พูดในที่สุด  และเค้าก็ตัดสินใจยกเลิกการประชุมด้วยประโยคนั้น   ผมถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าให้ความไม่ยอมแพ้ของเค้า “นายอยู่นี่ก่อน  ฉันมีอะไรจะคุยด้วย” เค้าหันมาบอกผมน้ำเสียงฟังดูคุกคาม  ผมจึงยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้เดินออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ  และก่อนออกไปโทมัสหันมามองหน้าผมราวกับจะถามว่า “ไม่ออกไปด้วยกันหรือ?” ผมยิ้มให้เค้าก่อนจะส่ายหน้ากลับไปน้อยๆ เค้าเสตามองพื้นเล็กน้อยก่อนจะทำเหมือนจะพูดอะไรบ้างอย่าง  แต่คำพูดนั้นกลับกลืนหายไปในลำคอของเค้า  โทมัสมองผมเล็กน้อยก่อนจะเดินตามนิวท์ ออกไป

ทุกคนออกไปในเวลาไม่ถึงห้านาที  และในที่สุดทั้งห้องประชุมก็เหลือเพียงแค่ผมและกัลลี่   เค้ามองออกไปทางประตูหน้าดูว่ายังมีใครอยู่รึเปล่า  ส่วนผมก็ยืนพิงราวไม้อย่างเบื่อหน่าย

"นายคิดว่าปกป้องมันแล้วเจ้ากุ้งแห้งนั่นจะไม่ทำอย่างงั้นอีกรึไง"

ไม่กัลลี่......นายต่างหากที่ไม่ควรทำแบบนั้น” ผมพูดออกไปด้วยเสียงค่อนข้างห้วนและมองเค้าเขม็ง  กัลลี่ชะงักเล็กน้อย ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยกับท่าทีของผม  แต่เค้าก็ยังคงพูดต่อไป

“แล้วไงล่ะ.......ใช่ มันได้เป็นนักวิ่งแล้วไง นายจะส่งมันไปรนหาที่ในวงกตนั่นแล้วก็เป็นเหมือนกับเบนยังงั้นเหรอ......โน่น มันเน่าตายให้โศกาล้วงตับไตไส้พุงเล่นไปแล้ว...”

“นายหมายความว่าไง!” ผมเด้งตัวออกมาจากราวไม้ หยัดหลังขึ้นจนเต็มความสูงพร้อมกับพูดออกไปเสียงดัง “นายกำลังจะบอกว่าฉันพาเค้าไปตายยังงั้นเหรอ   ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นหรอกนายลองมาเป็นดูสิแล้วจะรู้.....”

ผมจำได้เลยว่าตัวเองพูดออกไปเสียงดังลั่น   และผมก็พยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองไว้  นึกดีใจที่ไม่มีเพื่อนๆ คนอื่นอยู่ด้วย  และกัลลี่ดูช็อคมากที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เพราะปรกตินอกจากวิ่งและวาดแผนที่แล้ว ผมก็แทบไม่ได้เปิดปากพูดกับใครเลย  แต่วันนี้ผมกลับระเบิดอารมณ์และพูดเสียงดังใส่เค้าอย่างเดือดดาล

ผมสังเกตเห็นแววตาตกใจในดวงตาของกัลลี่แวบหนึ่ง ก่อนเค้าจะหันมาทำหน้า กวน’ ใส่ผมแล้วพูดว่า “รู้.....รู้อะไรอย่างนั้นเหรอเพื่อน” น้ำเสียงแดกดันของเค้าทำให้ผมทนไม่ไหว

“ก็จะได้รู้ไงว่านักวิ่งอย่างพวกเราน่ะทำงานหนักและสำคัญมากกว่าพวกขี้เต๊ะและชอบใช้กำลังอย่างพวกนายเป็นไหนๆ !” ผมชี้นิ้วลงไปที่อกเค้าอย่างเหลืออด และทันทีที่พูดจบ  ผมก็เห็นคิ้วของเค้าชี้ขึ้นสูงขึ้นกว่าเดิมแล้วกัลลี่ก็พุ่งเข้ามาขย่ำคอเสื้อผม

“แก!” เค้าคำรามและออกแรงหมายจะเหวี่ยงผมลงพื้น แต่ทว่าผมต้านแรงเค้าไว้ด้วยกล้ามเนื้อที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา  ผมจึงเป็นฝ่ายที่พลิกเกมส์ได้แล้วโยนเค้าลงพื้นแทน  กัลลี่พลิกตัวขึ้นมาแล้วคำรามใส่ผม

“ไอ้ปลวกแกมันน่าไม่อาย”

ผมรู้เค้าอาจหมายความว่า ผมกำลังทำตัวเป็นนักสู้ไม่ใช่นักวิ่ง แล้วล้มเค้าด้วยพละกำลังของตัวเอง.......ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีใครอยู่ แต่ผมรู้ กัลลี่ก็คงรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยเลยเหมือนกัน

เค้าลุกขึ้นคิดจะพุ่งมาหาผมอีกรอบเอาให้หายแค้น  คิ้วแปลกๆ ของเค้ามันดูประหลาดมากขึ้นกว่าเดิมสองเท่า  ในขณะที่กัลลี่กำลังจะเหวี่ยงหมัดใส่ผมและผมกำลังจะตั้งรับหมัดของเค้าอยู่นั้น จู่ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินในเวลานี้

หยุดนะกัลลี่! นิวท์อยู่ข้างนอก  เค้าบอกว่า  เอ่อ...ถ้านายต่อยมินโฮก็ถือว่าผิดกฎเหมือนกัน  เค้าจะบอกเรื่องนี้กับอัลบี้แน่”

.

.

.

.

TBC.


--------------------------------------------------------------------------------------


อร๊ากกก  เป็นไงมั้งค่ะ  รบกวนคอมเม้นท์ติชมกันด้วยนะเออ.....ไรท์อยากได้กะลังใจจจ

แปะเฟสตามธรรมเนียมเพื่อให้รีดทุกท่านได้ติดตามความเคลื่อนไหวค่ะ >>แฟนฟิคฮอลลีวู้ด<<

รักรีดนะเคอะ....จุ๊บ //ส่งจูบ -3- //

ด้วยรักและแรงหื่น -..-

Ray - Aund

7 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ โผล่มาเหมือนเดิม55555 ฟิคสนุกน่าติดตามมากค่ะ เหมือนเบื้องหลังที่เราไม่รูัจากในหนังเลยฟฟฟฟ และเอ่อ เราอ่านหนังสือจนจบแล้ว ไม่รู้จะสปอยรึป่าว แต่สบายใจได้ มินโฮรอดยันจับเลยค่ะฟฟฟ (เค้าเป็นพระเอกคู่กะโทมัสนี่นา #ผิดๆ) รอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ <3

วายฟินๆ กล่าวว่า...

ฟินมากอะ เขียนลื้นมากอ่านแล้วเพลินแบบฟินๆ นุ้งโทมัสน่ารักมาเลยค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

Cocoapun กล่าวว่า...

กรี๊ดดดดด ฟินมากอ่ะตอนนี้ มินโฮอยากกอดเขาก็บอก ไม่ต้องมาอ้างว่าให้ความอบอุ่น -////- โทมัสนี่เด็กน้อยมากกก รีบแต่งต่อน้าา

u-hei กล่าวว่า...

เฮ้ยยยยย มินโฮนั่นคือการแต๊ะอั๋งแบบตัวเองไม่รู้ตัวหรือเปล่าเนี่ยยยย แต่ไงก็ตาม ฉันฟินเว่ออออ

ชอบมากเลยยยย พูดถึงกัลลี่ เราหงุดหงิดตั้งแต่ในหนังละ เป็นไรกะโทมัสนักวะ ชิส์

Unknown กล่าวว่า...

โทมัสตัวเล็กกอดแล้วคงเหมือนกอดเด็ดตัวน้อยๆ สินะ ไงละ...ฟินเลยนะคะมินโฮ อิอิ ทำตัวเหมือนไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่งั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วนี่ชอบเค้าไปแล้วอะดิ *-*

โทมัสหนาว...เอ๊ะ ไรท์ค่ะ เหมือนเราเคยได้ยินมาว่าเวลาหนาวแล้วอยากกอดกันให้อุ่นจริงๆ ต้องแบบ 'เนื้อห่มเนื้อ' ใช่มั้ยคะ? <<< ไรท์: หา? เดี๋ยวนะคะ... งั้นเอา nc เลยดีมั้ยคะ? / รีด: ดีค่ะ ^^ / ไรท์: *ปิดคอม ปิดไฟ ห่มผ้าแล้วหลับ*

อีกอย่างนะมินโฮอะอยากได้เค้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็บอกเถอะค่ะ ทั้งในหนังด้วยเถอะ... เราคิดจริงจังมากนะ ตอนที่นัดไปเจอที่กระท่อมกลางป่านั้นนะ (ผมนี้คิดไปถึงดาวอังคารเลยครับ...)

อิอิ ได้อ่านละ... ต่อจากนี้คงได้มาอ่านมากขึ้น เพราะงานเริ่มเคลียร์ละ (ความจริงหนีงานมาต่างหาก...) รักไรท์ ม๊วฟฟฟ สู้ๆ นะคะ ขอให้ได้คณะและมหาวิทยาลัยที่หวังไว้นะคะ ^^ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ได้อ่านฟิคแล้วรู้สึกดีขึ้น เพราะช่วงนี้อะไรๆ คนอื่นก็เอาแต่ดราม่ากัน เครียด... อ่านฟิควันละนิดจิตแจ่มใส~

ด้วยรัก...จากรีดเดอร์

Unknown กล่าวว่า...

โทมัสตัวเล็กกอดแล้วคงเหมือนกอดเด็ดตัวน้อยๆ สินะ ไงละ...ฟินเลยนะคะมินโฮ อิอิ ทำตัวเหมือนไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่งั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วนี่ชอบเค้าไปแล้วอะดิ *-*

โทมัสหนาว...เอ๊ะ ไรท์ค่ะ เหมือนเราเคยได้ยินมาว่าเวลาหนาวแล้วอยากกอดกันให้อุ่นจริงๆ ต้องแบบ 'เนื้อห่มเนื้อ' ใช่มั้ยคะ? <<< ไรท์: หา? เดี๋ยวนะคะ... งั้นเอา nc เลยดีมั้ยคะ? / รีด: ดีค่ะ ^^ / ไรท์: *ปิดคอม ปิดไฟ ห่มผ้าแล้วหลับ*

อีกอย่างนะมินโฮอะอยากได้เค้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็บอกเถอะค่ะ ทั้งในหนังด้วยเถอะ... เราคิดจริงจังมากนะ ตอนที่นัดไปเจอที่กระท่อมกลางป่านั้นนะ (ผมนี้คิดไปถึงดาวอังคารเลยครับ...)

อิอิ ได้อ่านละ... ต่อจากนี้คงได้มาอ่านมากขึ้น เพราะงานเริ่มเคลียร์ละ (ความจริงหนีงานมาต่างหาก...) รักไรท์ ม๊วฟฟฟ สู้ๆ นะคะ ขอให้ได้คณะและมหาวิทยาลัยที่หวังไว้นะคะ ^^ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ได้อ่านฟิคแล้วรู้สึกดีขึ้น เพราะช่วงนี้อะไรๆ คนอื่นก็เอาแต่ดราม่ากัน เครียด... อ่านฟิควันละนิดจิตแจ่มใส~

ด้วยรัก...จากรีดเดอร์

1321 กล่าวว่า...

ว่าแล้วในวงกตมันต้องมีอะไรมากกว่านี้! แม่คะ. เขากอดกันด้วยแหละ 555555 โทมันตัวเล็กๆน่ะดีแล้ว จะได้ให้มินโฮกอดและปกป้อง ฟินเอ้าะะะ กอดกันยังเช้าอีก แอร้ยยย