มาแล้วค่าาา สัวสดีรดทุกท่านก่อนเลยค่ะ เพราะได้ข่าวมาว่าไม่ใช่เพียงแค่รีดขาประจำของบล็อกไรท์เท่านั้นที่เข้ามาอ่าน ยังมีรีดเดอร์ขาจรคนอื่นๆ เข้ามาอ่านกันอีกด้วย!
แหมมม The Maze Runner นี่ดังจริงๆ เลยนะคะ ไรท์ว่าไรท์คงจะต้องวางแผนเขียนให้จบภาคใน 4 ภาคแล้วล่ะค่ะ และภาวนาขอไม่ให้มินโฮตายไปเสียก่อน -_-“ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าในเรื่องนี้สร้างมาจากชุดหนังสือนั่นเองค่ะ ซึ่งมีทั้งหมด 4 เล่ม และ The Maze Runner นี้ก็เป็นเล่มแรกค่ะ ///สปอยล์อีกแล้ววว...โดนตบหัว///
ไรท์หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ Part นี้จัดให้อย่างจุใจเลยค่ะ Part ที่แล้วเนื้อหาน้อยมากๆ เลย TUT
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
“อ๊าาาาา!”
เสียงนั่น......เสียงของเจ้าเด็กใหม่หนิ!
ผมได้ยินเสียงของเค้าร้องลั่น ในขณะที่ผมหลบอยู่บนยอดของวงกต หมอบอยู่อย่างเงียบเชียบเพื่อซ่อนตัว
แต่ทว่าอยู่ๆ เสียงร้องดังลั่นก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสนิท ผมชูหัวขึ้นมาทันที.......เซคชั่นแต่ละเซคชั่นจะมีโศกาประจำอยู่หนึ่งตัว และโศกาของเซคชั่นนี้ก็คงจะไล่ตามหมอนั่นอยู่แน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย..........
ไม่ต้องรอฟังอีกรอบ ผมดีดตัวขึ้นแล้ววิ่งผลัดกับกระโดดไปบนวงกตตามหาเสียงของเค้า.......เค้ายังไม่ตายและกำลังแย่..........ดวงดีชะมัด.......ผมคิด
...............แต่ก็อีกไม่นานหรอก ผมต้องรีบ............
วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ผมก็เจอเค้า........โอ้ ไม่จริงน่า เจ้าเด็กใหม่นั่นกำลังวิ่งหนีโศกาอยู่บนวงกต! ผมมองเค้ากระโดดข้ามวงกตไปเกาะเถาวัลย์ห้อยต่องแต่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง......โศกาโดดตามไป รู้ไว้นะ...เมื่อโศกาเห็นเหยื่อแล้วมันจะตามไปจนเหยื่อหมดแรงแล้วค่อยปลิดชีพด้วยพิษอันน่ารังเกียจของมัน
นี่แหละที่ผมเกลียดมันเข้ากระดูกดำ............
ผมเห็นเด็กผู้ชายตัวผอมบางรูดเถาวัลย์ลงมาอย่างรวดเร็วลงสู่พื้น ตามมาด้วยโศกาประจำเซคชั่นที่กรีดร้องอย่างไม่พอใจที่เค้าหนีมันมาได้ ผมโดดลงไปบ้างแล้ววิ่งไปหาเค้า พยายามหาทางลัดที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเส้นทางวงกตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
เร็วเข้าเพื่อน....นายทำได้ หนีไป!.......ผมตะโกนบอกเค้าในใจ เพราะเชื่อว่าหากตะโกนไปตอนนี้เค้าคงจะไม่ได้ยินเป็นแน่
ผมวิ่งตัดโค้งหักศอกไปเรื่อยๆ และได้ยินเสียงของเค้าใกล้เข้ามา...มันใกล้มาก จนในที่สุดเมื่อผมโผล่ออกมาจากโค้งสุดท้าย ผมก็เห็นเค้าวิ่งหน้าตั้งพร้อมแหกปากร้องไปตามทางที่วิ่งผ่าน
“อ๊าาา...าา...า!” โอ้ให้ตาย นายเคยเป็นนักร้องเก่ามาก่อนที่จะย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาอยู่นี่สินะ
เสียงดีจริงๆ ..........ผมคิดในใจก่อนจะตะโกนเรียกเค้า หมอนั่นเห็นผมแล้วก็ทำหน้าตกตะลึงก่อนจะวิ่งเร็วขึ้นโดยที่มีโศกาไล่หลังมาอยู่ติดๆ แล้วผมก็ได้ยินเสียง..........
.........เสียงเคลื่อนตัวของวงกต...........
มันกำลังจะเปลี่ยนรูปแบบอีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงออกไปจากที่เฮงซวยนี่ไม่ได้สักที มันมีระบบของมัน เปลี่ยนตลอดและตันตลอดด้วย.......ผมรู้สึกหัวเสียขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดถึงหน้าที่ที่ไม่ได้ความคืบหน้าของผม แต่ก็ไม่ได้ครอบงำความสนใจของผมในตอนนี้ ที่กำแพงวงกตตรงหน้าผมกำลังจะเคลื่อนตัวเข้าหากันโดยมีเด็กใหม่ที่วิ่งหน้าตาตื่นอยู่อีกฝั่งหนึ่ง.........และนั่นคือทางรอดเดียวของเค้า
“เร็ว!...เร็วเข้า!” ผมกวักมือผ่านอากาศเบื้องหน้าผม เพื่อเร่งให้เค้าวิ่งเร็วขึ้นอีก แต่แล้วจู่ๆ หมอนั่นก็เกิดคิดบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ เค้าวิ่งช้าลง.....ช่องวงกตเริ่มบีบตัวเข้ามาแคบลง โศกาก็เช่นกัน มันใกล้ถึงตัวเค้าเข้ามาทุกที
“เร็วเข้าสิ! นายมัวรออะไรอยู่!” ผมตะโกน เริ่มอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงเต็มทีแล้วเพราะลุ้นเกินเหตุ กล้ามเนื้อผมเกร็งแน่นทุกมัดและหัวใจก็สูบฉีดเร็วขึ้นมากกว่าตอนที่ผมวิ่งซะอีก.......โอ๊ะ เค้าใกล้เข้ามาแล้ว........
“เร็วเข้าา!” ผมตะโกนออกไปและเค้าก็พุ่งเข้ามากอดผมดั่งเช่นตอนแรกที่เค้าคิดเรื่องบ้าระห่ำเช่นนี้
ผมเกือบล้มแต่ไม่ ผมฝืนตัวไว้แล้วพยุงทั้งตัวเองและเค้าขึ้นมา แล้วตกตะลึงกับภาพที่เห็น.............โศกาถูกบีบเละอยู่ตรงซอกวงกต............ไม่เคยมีใครฆ่ามันได้มาก่อน และเค้าเป็นคนแรก กับความคิดที่ระห่ำเกินตัว ผมหอบหายหนักและหายใจเข้าออกลึกๆ พยายามทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจช้าลง
เค้าวิ่งเร็วและกล้าหาญ.....นั่นเป็นคุณสมบัติที่หายากมาก
ผมหยุดตื่นเต้นกับเหตุการณ์แล้ว และคิดว่าเราควรจะไปหาอัลบี้ที่ห้อยอยู่ข้างบน คืนนี้ปลอดภัยแล้วเพราะโศกาประจำเซคชั่นนี้ตายคาที่ไปแล้ว และโศกาเซคชั่นอื่นจะไม่เข้ามายุ่งยามกับที่นี่เด็ดขาดเพราะมันมีพื้นที่เป็นของตัวเอง
โอเค....คืนนี้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเป็นประวัติกาล เพราะพวกเราจะได้อยู่รอดกันจนถึงเช้า.....ใช่ ถ้าไม่มีโศกาตัวอื่นดันอยากรู้อยากเห็นโผล่มาที่นี่น่ะนะ
ผมมองภาพโศกาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฉุดมือของคนกล้าที่ตาโต หอบหายใจฮั่กเป็นมนุษย์หินอยู่กับที่ ถ้าผมไม่ดึงมือเค้ามา เค้าก็คงจะยืนขาสั่นอยู่ตรงนั้นอีกนานเลยทีเดียว เค้าตัวปลิวตามผมมาแล้วพยายามเดินให้ทันการถูลู่ถูกังของผม
“เดี๋ยว....เฮ้ นั่นนายจะไปไหนน่ะ” เสียงเค้ายังคงสั่นเทาผสมกับอาการหอบแฮ่ก
“ที่ปลอดภัย” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะนำเค้าไปยังที่ๆ เราซ่อนอัลบี้ไว้ และเมื่อไปถึงเราก็เถียงกันอีก เรื่องอัลบี้ เด็กหนุ่มกุ้งแห้งหุ่นเพรียวตรงหน้าผมกล่าวหัวชนฝาว่าจะเอาเค้าลงมา แต่ผมก็บอกกลับไปว่า “ไม่ได้” ถ้าบังเอิญโศกาจากการเซคชั่นอื่นมาที่นี่แล้วเราจะทำยังไง แค่วิ่งตัวปลิวสุดชีวิตก็แทบไม่รอดอยู่แล้ว
เค้าเงียบไป.....เห็นด้วยกับผมในที่สุด แต่ใบหน้ามอมแมมของเค้ายังคงดูกังวลและเป็นห่วงอัลบี้เป็นอย่างมาก
“เราจะอยู่ที่นี่...” ผมเพยิดหน้าขึ้นไปข้างบนที่อัลบี้ห้อยอยู่ “...อยู่เป็นเพื่อนเค้า” ผมพูดไปในที่สุดหลังจากที่ถอนหายใจเบาๆ กับตัวเอง เด็กใหม่เงยหน้ามามองผมในทันใดแล้วมีสีหน้าดีขึ้น
“เราทำได้จริงๆ เหรอ” ผมเห็นคำนั้นแปะอยู่บนหน้าผากของหมอนั่นที่ทำตาโตใส่ผม ผมมองขึ้นฟ้าเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วพิงกำแพงวงกตไว้ เค้าก็เหมือนกันแต่ดูจะระแวดระวังกว่า(อย่างเด็กน่ะนะ) มือไม้เค้าดูเหมือนเกะกะไปซะหมดเพราะดูเหมือนเค้าจะไม่รู้ว่าควรวางมันไว้ตรงไหนดี เค้านั่งลงห่างจากผมไปจนเกือบสุดขอบกำแพง
ผมมองไปรอบๆ เพื่อเช็คดูและหันกลับมามองคนที่ไม่ยอมเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง เค้านั่งกอดเข่าแล้วห่อไหล่พลางมองไปรอบๆ เช่นเดียวกับผมแต่ทว่าดูหวาดกลัวกว่า ผมสังเกตเห็นว่าไหล่เค้าสั่นน้อยๆ ในแสงจันทร์ ผมไม่ได้พูดอะไรอีกและคิดว่าคืนนี้จะไม่นอนเพื่อเฝ้าเวรยามเงียบๆ คนเดียว
สายลมหวีดหวิวมาอีกครั้งในคืนนี้ มันหอบพัดเอาความเย็นมาด้วย ผมรู้สึกได้เลยว่าแก้มตัวเองเย็นเพราะลมกลางคืน แต่นั่นไม่ทำให้ร่างกายผมรู้สึกอะไรได้เลย กล้ามเนื้อที่มีอยู่สร้างความอบอุ่นให้กับผม............แต่คงไม่ใช่สำหรับอีกคน
ผมหันไปเจอเค้านั่งกอดตัวเองคุดคู้พิงกำแพงอยู่.....สั่นยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ อยู่ๆ เค้าก็ครางแล้วสะดุ้ง ผมคิดว่าเค้าคงจะละเมอเพราะฝันร้าย และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเค้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาเจอผมกำลังนั่งจ้องเค้าอยู่
“นายฝันร้ายเหรอ” ผมถาม เค้ายังคงมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่ไม่หายแต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าตอบผมอย่างเสียไม่ได้
“เอ่อ....ฉันฝันร้ายทุกคืน แต่คืนนี้มันหนักกว่า” เค้าชี้แจง แล้วก็เริ่มมองพื้น แขนทั้งสองข้างของเค้ากระชับขึ้น แล้วสองมือมอมแมมก็ถูไปมากับต้นแขนอย่างที่ต้องการสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเอง
“นายหนาวเหรอ” ผมถามอีก เค้ายิ้มแห้งๆ ใส่ผมก่อนจะพยักหน้าแล้วหันมามองผมด้วยสายตาหม่นหมอง
“ใช่ ฉันขี้หนาวน่ะ.....มันเย็นจนไปถึงกระดูกเลยล่ะ หึ แย่ชะมัดเลยเนอะ ทำอะไรไม่ค่อยเป็นแล้วก็ยังจะขี้หนาวอีก” รอยยิ้มเศร้าฉาบอยู่บนใบหน้าของเค้า ผมเหยียดขาไปข้างหน้าแล้วหันตัวไปทางเค้า
“ไม่หรอก นายน่ะกล้าหาญมากเลยนะที่ทำแบบนั้นน่ะ” ผมพูดแต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ยังคงหม่นหมอง.......ไม่ใช่ความหนาวหรอกที่กำลังทำร้ายเค้า แต่เป็นความกลัวและความตื่นตระหนกต่างหาก ผมคิด
“ทำไมนายถึงไม่มานั่งกับฉันล่ะ” ผมลองถามเค้าไป และเสียงที่เปล่งออกไปของผมดูเข้มกว่าที่คิด
เค้าชะงักและช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะคลายอ้อมแขนออกจากตัวเอง “ได้เหรอ” เค้าถาม......นายคิดว่าฉันเป็นโศการึไงนะ ผมพยักหน้ากลับอย่างใจเย็น แล้วเด็กหนุ่มร่างผอมบางก็ค่อยๆ คลานมาหาผม แล้วนั่งลงข้างผม
“ฉันนึกว่านายไม่ชอบหน้าฉัน เลยไม่กล้านั่งใกล้นาย” อยู่ๆ เค้าก็พูดขึ้น
“โทมัส” ผมเรียกชื่อเค้าด้วยเสียงที่ค่อนข้างชัดเจน เค้าหันมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเองที่ผมรียกแบบนั้น ผมพูดต่อ “นายคิดงั้นจริงๆ เหรอ.....ฉันก็แค่กำลังคิดเท่านั้นว่านายเป็นคนยังไง” แล้วผมก็ละสายตาออกมาจากเค้าแล้วมองตรงไปข้างหน้า มองกำแพงวงกตอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
“แล้วนายคิดว่าฉันเป็นคนยังไงล่ะ” เสียงของเค้าฟังดูอยากรู้อยากเห็น และเมื่อผมหันไปก็เจอเข้ากับใบหน้าที่ยื่นออกมาจากแขนของเค้าที่กอดตัวเองอยู่
“ตอนนี้ฉันรู้แล้ว” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะดึงเค้าเข้ามากอด
“เฮ้ยย นายจะทำอะไรน่ะ” เค้าร้องลั่นถามผม แต่ก็เงียบเสียงลงแล้วทำตาโตถามผมทันทีหลังจากที่ผมส่งเสียง “ชู่ว์” ให้เค้าเงียบ
“นายหนาว”
“ไม่...ฉันไม่หนาวขนาดนั้น” เค้าตอบเสียงไม่แน่ใจนัก ผมคิดงั้นนะ เพราะมันดูสั่นเหลือเกิน โทมัสนอนอยู่บนตักของผม หลังและอกของเค้าโดนผมโอบอยู่ เค้าขยับหยุกหยิกเหมือนกับจะบอกให้ผมปล่อยเค้า...........แต่ไม่มีทางหรอก ท่าทางละเมอเพราะฝันร้ายของเค้ามันทำให้ผมรู้สึกกวนใจอย่างบอกไม่ถูก
“นายเพิ่งบอกว่ามันเย็นจนไปถึงกระดูกดำเมื่อกี้เองนะ แล้วอีกอย่าง อยู่อย่างนี้นายจะอุ่นใจกว่าและอุ่นกว่ากอดตัวเองด้วย.....ถูกไหม?” ผมพูดตัดปัญหา และเค้าก็นิ่งไป.....เป็นแบบนี้สินะถ้าเค้าเถียงผมกลับไม่ได้
“คืนนี้นายคงนอนไม่หลับหรอก ถ้ายังระแวงอยู่ว่าโศกาจะโผล่มาอีกเมื่อไร” ผมพูดในขณะที่สายตามองไปรอบๆ เค้าล้มทับต้นขาของผมแล้วตัวแข็งทื่อ......พยายามต่อไปที่จะออกจากตักผม ผมจึงกอดเค้าไว้ด้วยแขนแข็งแรงที่มี
“ฉันไม่คิดว่าคืนนี้นายไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก” ผมพูดและโทมัสก็สวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“งั้นนายก็ปล่อยฉันสิ” น้ำเสียงที่ผมได้ยินดูไม่แน่ใจเท่าไร
“นายแน่ใจเหรอ? ถ้านายจะนอนบนตักฉัน ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” โทมัสนิ่งไป เหมือนกำลังคิดอะไรบ้างอย่างอยู่ แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงหัวไหล่เล็กของเค้าที่กำลังขยับน้อยๆ เหมือนจะลุกขึ้นจากตักของผม
............เฮ้อ ไม่เอาน่า นายกำลังจะลุกออกไปแล้วก็สะดุ้งตื่นทำเสียงครางใส่ฉันอีกแล้วนะ เลิกดื้อเสียทีเถอะ...............
ผมคิด ก่อนที่จะรวบตัวเค้าไว้อีกครั้งแล้วชันเข่าของตัวเองขึ้นเพื่อกันไม่ให้เค้าเขยิบหนีได้อีก ผมกดไหล่ของเค้าให้เข้ามาติดกับอกของผมแล้วใช้มือกอดแขนเค้าไว้หลวมๆ เพื่อกันลมหนาว........ก็เห็นเค้าบอกว่ามันหนาวเข้ากระดูดำนี่...........
โทมัสหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจมากกว่าเดิม แต่ผมไม่สนใจเค้า ผมเหม่อมองไปยังท้องฟ้าข้างบนแล้วค่อยๆ หลับตาลง.......ผมทำเป็นไม่สนใจเค้าอีกต่อไปแล้วปิดปากเงียบเพื่อไม่ให้เค้าพูดกับผมอีก จะได้ไม่หาข้ออ้างออกไปนอนขดอยู่คนเดียว
............ตัวของเค้าเย็นจริงๆ จากที่ผมสัมผัสได้ผิวหนังของเค้าเย็นเชียบแม้แต่เสื้อก็มีอุณหภูมิไม่ต่างกันนัก ซึ่งแตกต่างจากผมที่ไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ผมจึงรู้สึกทึ่งกับความเย็นบนผิวของเค้าเมื่อยามผมสัมผัส และถ้ามองด้วยสายตาผมก็ว่าเค้าผอมแห้งแรงน้อยแล้วนะ แต่พอโทมัสมาอยู่ในอ้อมกอดของผมแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าตัวเค้าเล็กกว่าที่เห็นมากเลยทีเดียว ผมกอดเค้าได้เกือบรอบตัวของเค้าเลยล่ะ คงจะกินไม่เก่งสินะ...............
ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงอาหารการกินของเค้าก่อนถูกส่งมาที่นี้อยู่นั้น จู่ๆ โทมัสก็ขยับตัวหยุกหยิก ผมนึกว่าเค้าหายใจไม่ออกก็เลยคลายวงแขนให้ และความคิดต่อมาของผมก็คือเค้ากำลังจะหนีผมไปอีกแล้ว แต่ผิดคาด.......โทมัสขยับลงมาจากตักผมแล้วหย่อนก้นลงที่พื้น ก่อนจะขยับตัวเข้าหาอกผมมากขึ้น แล้วไม่ขยับไปไหนอีกเลย.........
ผมนิ่งมองเค้าอยู่ครู่หนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เค้าเปลี่ยนที่นั่งแต่ก็ไม่ได้ละออกจากอกผมไปไหน.........ผมจึงหันข้างไปกอดเค้าเพื่อให้ความอบอุ่น หัวเล็กๆ ของเค้าเอียงไปพิงกับกำแพงด้านข้างและดูเหมือนมันเป็นระยะที่ค่อนข้างไกล.......ตื่นมาเค้าคงมีหวังปวดคอจนต้องเดินเอียงๆ กลับออกไปแน่ๆ เลย
ผมจึงเสี่ยงขยับตัวอีก ดันคอเค้าให้ออกมาจากกำแพงและให้เค้าหนุนไหล่ของผมแทน โทมัสขยับอีกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง ผมคิดว่าเค้าคงจะรู้สึกแปลกไม่น้อยที่ได้ผมเป็นที่นอนแทนเปลที่เค้าใช้นอนอยู่ทุกคืน และหวังว่าคืนนี้เค้าคงจะไม่ฝันร้ายอีกต่อไป
ผมกอดเค้าเพื่อป้องกันเค้าจากลมหนาว หวังว่าเค้าจะอุ่นเช่นเดียวกับที่ผมอุ่น และไม่คิดถึงเรื่องแย่ๆ ที่จะทำให้ตัวเองสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก
ฝันดีโทมัส....ผมคิดในใจ เมื่อผ่านไปสักพักผมก็รู้สึกถึงไหล่เล็กที่ขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับลมหายใจของเค้า
ใช่ เค้าหลับแล้ว............ดังนั้นผมจึงกระชับอ้อมกอดเพื่อกันลมหนาวให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเหม่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้านบนซึ่งดาษดื่นเต็มไปด้วยดวงดาว
***************************************************************************
เช้าวันรุ่งขึ้น.........เอ่อ ก็ยังไม่เช้าดีหรอกนะ ดวงอาทิตย์ยังไม่ได้ขึ้นเลยด้วยซ้ำเมื่อผมตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตัวเองก็เผลอหลับไปด้วยเช่นกัน ใบหน้าของผมซุกอยู่กับซอกคอของโทมัส......ให้ตายสิ ถ้าเค้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าผมทำอะไรเค้าต้องชกผมหน้าหงายแน่ๆ เลย
ผมกระพริบตาถี่ๆ แล้วปล่อยเค้าจากอ้อมกอด รู้สึกแปลกใจกับตัวเองไม่น้อยที่รู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกในรอบสามปี........ความรู้สึกที่ เค้าเรียกว่าอะไรนะ.....อายเหรอ ใจเต้นเนี่ยเค้าเหมารวมเรียกว่าอายด้วยรึเปล่า?
ถึงแม้อยากจะเดินออกไปทำความเข้าใจกับความรู้สึกวุ่นวายในหัวตัวเองเพียงใด แต่ผมก็ไปไหนไม่ได้ไกล เพราะผมยังคงกอดโทมัสอยู่ เค้ายังไม่ตื่นผมก็ไม่อยากปลุก..............เมื่อคืนเค้าเจอเรื่องเขย่าขวัญมามากพอแล้ว บอกตามตรงตั้งแต่มาอยู่ในทุ่ง ผมไม่เคยเจอใครที่ตัวเล็ก ผอมแห้งแรงน้อย และสั่นเป็นเจ้าเข้าตอนนอนมาก่อนเลย
พวกเราทุกคนล้วนต้องกระเสือกกระสนอยู่รอดให้ได้เท่านั้น ไม่ใช่..........
ตัวของผมขยับเมื่อคนในอ้อมกอดของผมตื่นขึ้นมาแล้วอุทานใส่หน้าผม ผมคิ้วกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นคำถามบนหน้าเค้าว่า “ฉันมาอยู่นี่ได้ยังไง” โอเค.....นายคงลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนนายนอนกับฉัน ผมคลายอ้อมแขนออกและปล่อยให้เค้าถอยห่างจากผม ผ่านไปแป็บหนึ่งเค้าถึงจำได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น
เราสองคนนำอัลบี้ลงมาจากที่ซ่อนของเค้า แล้วช่วยกันแบกเค้าไปทางประตูของวงกต ในระหว่างทางโทมัสพูดกับผมเพียงแค่ประโยคสั้นๆ แล้วก้มหน้ามองพื้น ดูเลิกลั่ก และไม่พูดอีกเลย
“ขอบคุณ”
เค้าพูดแค่นั้น ก่อนเราสามคนจะมาถึงประตูที่เปิดรออยู่แล้ว ชาวทุ่งทุกคนโห่ร้องดีใจเมื่อเห็นเรา หลังจากที่ออกมาจากวงกตอย่างปลอดภัยแล้วพวกเราก็พาอัลบี้ไปรักษา
หลังจากที่อัลบี้ถึงมือหมอ และเรารอดชีวิตจากวงกตมาได้แล้ว ผมก็คิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นและเป็นไปตามปรกติ เราควรได้พักเสียที........แต่ทว่าไม่ใช่เสียทีเดียว กัลลี่เรียกเราทุกคนเข้าที่ประชุม และหยิบยกเรื่องที่โทมัสแหกกฎขึ้นมาพูดในการประชุมครั้งนี้
ชาวทุ่งที่มาร่วมการประชุมนั่งล้อมกันเป็นครึ่งวงกลมมองดู โทมัส กัลลี่ นิวท์ยืนอยู่ตรงหน้าของเด็กทุ่งทุกคน และผมซึ่งนั่งอยู่เป็นเป้าสายตาอีกคนหนึ่ง ในใจผมคิดว่านี่มันงี่เง่าสิ้นดี กัลลี่กำลังโชว์ภูมิและทำตัวเป็นหัวหน้า พิพากษาความผิดของคนที่วิ่งเข้าไปช่วยเพื่อนในวงกตอย่างไม่คิดชีวิต.........เราก็รอดออกมาแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก
ผมนั่งฟังกัลลี่พูดถึงโทมัส โดยมีนิวท์คอยพูดถึงสิ่งที่ช่วยหักล้างข้อกล่าวหาของกัลลี่ได้ สองคนนั้นพูดกันโดยที่ทุกคนก็นั่งฟัง ร่วมถึงผมกับโทมัสด้วย เค้าดูเหมือนไม่มีกะใจจะยืนอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ ผมฝืนความคิดที่จะชวนเค้ามานั่งข้างๆ แล้วพูดกับเค้าว่า “ไอ้เจ้าหมอนั่นมันน่าหมั่นไส้ชะมัด ว่าไหม?” เอาไว้ในใจแล้วนั่งมองกัลลี่สลับกับนิวท์ต่อไปอย่างเบื่อหน่าย แล้วจู่ๆ เมื่อกัลลี่เถียงข้อหักล้างของนิวท์ไม่ได้อีกต่อไป เจ้าคิ้วชี้นั้นก็หันมาถามความคิดเห็นผม ผมยืนขึ้นเหมือนเพิ่งมีคนปลุกให้ลุกออกจากเปล
“ฉันว่าไม่ควรลงโทษเค้า” ผมพูดสร้างความเงียบไปทั่วห้องประชุม และผมสังเกตเห็นความตกใจในวาวตาของพวกเค้า รวมทั้งกัลลี่ด้วย ผมจึงพูดต่อแต่คราวนี้ผมต้องการจะบอกกัลลี่ให้เข้าใจ
“เค้าวิ่งเร็วมาก และเค้าฆ่าโศกาได้.....ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ได้มาก่อน” อีกครั้งที่ผมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับที่ประชุมแห่งนี้ มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นพวกชาวทุ่งต่างมองไปที่โทมัสและอุทานเสียงไม่น่าเชื่อกันออกมา
ผมเป็นคนพูดน้อยเพราะไม่รู้ว่าควรพูดคำอะไรให้มันดูสวยหรู แต่น้ำเสียงของผมที่พูดออกไปก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผมนับถือในความกล้าของเด็กชายตัวผอมบางคนนี้เอามากๆ
จนในที่สุดกัลลี่สั่งให้ทุกคนเงียบแล้วเค้ากับนิวท์ก็เริ่มโต้เถียงกันขึ้นอีกครั้ง พวกเค้าพูดว่าจะให้โทมัสเป็นนักวิ่งแล้วก็หันมาถามผมอีก ผมก็ตอบตามความคิดของผมไป.........คือไม่ปฏิเสธ
“แต่ถึงยังไงโทมัสก็ต้องได้รับการลงโทษ......เค้าละเมิดกฎของเรา” กัลลี่พูดในที่สุด และเค้าก็ตัดสินใจยกเลิกการประชุมด้วยประโยคนั้น ผมถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าให้ความไม่ยอมแพ้ของเค้า “นายอยู่นี่ก่อน ฉันมีอะไรจะคุยด้วย” เค้าหันมาบอกผมน้ำเสียงฟังดูคุกคาม ผมจึงยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้เดินออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ และก่อนออกไปโทมัสหันมามองหน้าผมราวกับจะถามว่า “ไม่ออกไปด้วยกันหรือ?” ผมยิ้มให้เค้าก่อนจะส่ายหน้ากลับไปน้อยๆ เค้าเสตามองพื้นเล็กน้อยก่อนจะทำเหมือนจะพูดอะไรบ้างอย่าง แต่คำพูดนั้นกลับกลืนหายไปในลำคอของเค้า โทมัสมองผมเล็กน้อยก่อนจะเดินตามนิวท์ ออกไป
ทุกคนออกไปในเวลาไม่ถึงห้านาที และในที่สุดทั้งห้องประชุมก็เหลือเพียงแค่ผมและกัลลี่ เค้ามองออกไปทางประตูหน้าดูว่ายังมีใครอยู่รึเปล่า ส่วนผมก็ยืนพิงราวไม้อย่างเบื่อหน่าย
"นายคิดว่าปกป้องมันแล้วเจ้ากุ้งแห้งนั่นจะไม่ทำอย่างงั้นอีกรึไง"
“ไม่กัลลี่......นายต่างหากที่ไม่ควรทำแบบนั้น” ผมพูดออกไปด้วยเสียงค่อนข้างห้วนและมองเค้าเขม็ง กัลลี่ชะงักเล็กน้อย ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยกับท่าทีของผม แต่เค้าก็ยังคงพูดต่อไป
“แล้วไงล่ะ.......ใช่ มันได้เป็นนักวิ่งแล้วไง นายจะส่งมันไปรนหาที่ในวงกตนั่นแล้วก็เป็นเหมือนกับเบนยังงั้นเหรอ......โน่น มันเน่าตายให้โศกาล้วงตับไตไส้พุงเล่นไปแล้ว...”
“นายหมายความว่าไง!” ผมเด้งตัวออกมาจากราวไม้ หยัดหลังขึ้นจนเต็มความสูงพร้อมกับพูดออกไปเสียงดัง “นายกำลังจะบอกว่าฉันพาเค้าไปตายยังงั้นเหรอ ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นหรอก! นายลองมาเป็นดูสิแล้วจะรู้.....”
ผมจำได้เลยว่าตัวเองพูดออกไปเสียงดังลั่น และผมก็พยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองไว้ นึกดีใจที่ไม่มีเพื่อนๆ คนอื่นอยู่ด้วย และกัลลี่ดูช็อคมากที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เพราะปรกตินอกจากวิ่งและวาดแผนที่แล้ว ผมก็แทบไม่ได้เปิดปากพูดกับใครเลย แต่วันนี้ผมกลับระเบิดอารมณ์และพูดเสียงดังใส่เค้าอย่างเดือดดาล
ผมสังเกตเห็นแววตาตกใจในดวงตาของกัลลี่แวบหนึ่ง ก่อนเค้าจะหันมาทำหน้า ‘กวน’ ใส่ผมแล้วพูดว่า “รู้.....รู้อะไรอย่างนั้นเหรอเพื่อน” น้ำเสียงแดกดันของเค้าทำให้ผมทนไม่ไหว
“ก็จะได้รู้ไงว่านักวิ่งอย่างพวกเราน่ะทำงานหนักและสำคัญมากกว่าพวกขี้เต๊ะและชอบใช้กำลังอย่างพวกนายเป็นไหนๆ !” ผมชี้นิ้วลงไปที่อกเค้าอย่างเหลืออด และทันทีที่พูดจบ ผมก็เห็นคิ้วของเค้าชี้ขึ้นสูงขึ้นกว่าเดิมแล้วกัลลี่ก็พุ่งเข้ามาขย่ำคอเสื้อผม
“แก!” เค้าคำรามและออกแรงหมายจะเหวี่ยงผมลงพื้น แต่ทว่าผมต้านแรงเค้าไว้ด้วยกล้ามเนื้อที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา ผมจึงเป็นฝ่ายที่พลิกเกมส์ได้แล้วโยนเค้าลงพื้นแทน กัลลี่พลิกตัวขึ้นมาแล้วคำรามใส่ผม
“ไอ้ปลวก! แกมันน่าไม่อาย”
ผมรู้เค้าอาจหมายความว่า ผมกำลังทำตัวเป็นนักสู้ไม่ใช่นักวิ่ง แล้วล้มเค้าด้วยพละกำลังของตัวเอง.......ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีใครอยู่ แต่ผมรู้ กัลลี่ก็คงรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยเลยเหมือนกัน
เค้าลุกขึ้นคิดจะพุ่งมาหาผมอีกรอบเอาให้หายแค้น คิ้วแปลกๆ ของเค้ามันดูประหลาดมากขึ้นกว่าเดิมสองเท่า ในขณะที่กัลลี่กำลังจะเหวี่ยงหมัดใส่ผมและผมกำลังจะตั้งรับหมัดของเค้าอยู่นั้น จู่ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินในเวลานี้
“หยุดนะกัลลี่! นิวท์อยู่ข้างนอก เค้าบอกว่า เอ่อ...ถ้านายต่อยมินโฮก็ถือว่าผิดกฎเหมือนกัน เค้าจะบอกเรื่องนี้กับอัลบี้แน่”
.
.
.
.
TBC.
--------------------------------------------------------------------------------------
อร๊ากกก เป็นไงมั้งค่ะ รบกวนคอมเม้นท์ติชมกันด้วยนะเออ.....ไรท์อยากได้กะลังใจจจ
รักรีดนะเคอะ....จุ๊บ //ส่งจูบ -3- //
ด้วยรักและแรงหื่น -..-
Ray - Aund
7 ความคิดเห็น:
สวัสดีค่ะ โผล่มาเหมือนเดิม55555 ฟิคสนุกน่าติดตามมากค่ะ เหมือนเบื้องหลังที่เราไม่รูัจากในหนังเลยฟฟฟฟ และเอ่อ เราอ่านหนังสือจนจบแล้ว ไม่รู้จะสปอยรึป่าว แต่สบายใจได้ มินโฮรอดยันจับเลยค่ะฟฟฟ (เค้าเป็นพระเอกคู่กะโทมัสนี่นา #ผิดๆ) รอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ <3
ฟินมากอะ เขียนลื้นมากอ่านแล้วเพลินแบบฟินๆ นุ้งโทมัสน่ารักมาเลยค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
กรี๊ดดดดด ฟินมากอ่ะตอนนี้ มินโฮอยากกอดเขาก็บอก ไม่ต้องมาอ้างว่าให้ความอบอุ่น -////- โทมัสนี่เด็กน้อยมากกก รีบแต่งต่อน้าา
เฮ้ยยยยย มินโฮนั่นคือการแต๊ะอั๋งแบบตัวเองไม่รู้ตัวหรือเปล่าเนี่ยยยย แต่ไงก็ตาม ฉันฟินเว่ออออ
ชอบมากเลยยยย พูดถึงกัลลี่ เราหงุดหงิดตั้งแต่ในหนังละ เป็นไรกะโทมัสนักวะ ชิส์
โทมัสตัวเล็กกอดแล้วคงเหมือนกอดเด็ดตัวน้อยๆ สินะ ไงละ...ฟินเลยนะคะมินโฮ อิอิ ทำตัวเหมือนไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่งั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วนี่ชอบเค้าไปแล้วอะดิ *-*
โทมัสหนาว...เอ๊ะ ไรท์ค่ะ เหมือนเราเคยได้ยินมาว่าเวลาหนาวแล้วอยากกอดกันให้อุ่นจริงๆ ต้องแบบ 'เนื้อห่มเนื้อ' ใช่มั้ยคะ? <<< ไรท์: หา? เดี๋ยวนะคะ... งั้นเอา nc เลยดีมั้ยคะ? / รีด: ดีค่ะ ^^ / ไรท์: *ปิดคอม ปิดไฟ ห่มผ้าแล้วหลับ*
อีกอย่างนะมินโฮอะอยากได้เค้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็บอกเถอะค่ะ ทั้งในหนังด้วยเถอะ... เราคิดจริงจังมากนะ ตอนที่นัดไปเจอที่กระท่อมกลางป่านั้นนะ (ผมนี้คิดไปถึงดาวอังคารเลยครับ...)
อิอิ ได้อ่านละ... ต่อจากนี้คงได้มาอ่านมากขึ้น เพราะงานเริ่มเคลียร์ละ (ความจริงหนีงานมาต่างหาก...) รักไรท์ ม๊วฟฟฟ สู้ๆ นะคะ ขอให้ได้คณะและมหาวิทยาลัยที่หวังไว้นะคะ ^^ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ได้อ่านฟิคแล้วรู้สึกดีขึ้น เพราะช่วงนี้อะไรๆ คนอื่นก็เอาแต่ดราม่ากัน เครียด... อ่านฟิควันละนิดจิตแจ่มใส~
ด้วยรัก...จากรีดเดอร์
โทมัสตัวเล็กกอดแล้วคงเหมือนกอดเด็ดตัวน้อยๆ สินะ ไงละ...ฟินเลยนะคะมินโฮ อิอิ ทำตัวเหมือนไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่งั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วนี่ชอบเค้าไปแล้วอะดิ *-*
โทมัสหนาว...เอ๊ะ ไรท์ค่ะ เหมือนเราเคยได้ยินมาว่าเวลาหนาวแล้วอยากกอดกันให้อุ่นจริงๆ ต้องแบบ 'เนื้อห่มเนื้อ' ใช่มั้ยคะ? <<< ไรท์: หา? เดี๋ยวนะคะ... งั้นเอา nc เลยดีมั้ยคะ? / รีด: ดีค่ะ ^^ / ไรท์: *ปิดคอม ปิดไฟ ห่มผ้าแล้วหลับ*
อีกอย่างนะมินโฮอะอยากได้เค้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็บอกเถอะค่ะ ทั้งในหนังด้วยเถอะ... เราคิดจริงจังมากนะ ตอนที่นัดไปเจอที่กระท่อมกลางป่านั้นนะ (ผมนี้คิดไปถึงดาวอังคารเลยครับ...)
อิอิ ได้อ่านละ... ต่อจากนี้คงได้มาอ่านมากขึ้น เพราะงานเริ่มเคลียร์ละ (ความจริงหนีงานมาต่างหาก...) รักไรท์ ม๊วฟฟฟ สู้ๆ นะคะ ขอให้ได้คณะและมหาวิทยาลัยที่หวังไว้นะคะ ^^ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ได้อ่านฟิคแล้วรู้สึกดีขึ้น เพราะช่วงนี้อะไรๆ คนอื่นก็เอาแต่ดราม่ากัน เครียด... อ่านฟิควันละนิดจิตแจ่มใส~
ด้วยรัก...จากรีดเดอร์
ว่าแล้วในวงกตมันต้องมีอะไรมากกว่านี้! แม่คะ. เขากอดกันด้วยแหละ 555555 โทมันตัวเล็กๆน่ะดีแล้ว จะได้ให้มินโฮกอดและปกป้อง ฟินเอ้าะะะ กอดกันยังเช้าอีก แอร้ยยย
แสดงความคิดเห็น